กรุงเทพฯ--6 ต.ค.--เอ็ม พิคเจอร์ส
20th century boys
มหาวิบัติ...ดวงตาถล่มล้างโลก
ปฐมบทของเรื่องราว
ในวัยเด็ก หลายๆคนอาจเคยเล่นสนุกกับการจินตนาการ"เหล่าร้าย"ตามแบบการ์ตูนฮีโร่ แล้วสนุกกับการจินตนาการว่าตนจะเป็นฮีโร่ไปปราบเหล่าร้ายนั้น ในวัยเด็ก “เคนจิ” กับพวก ที่กำลังเล่นเป็นหน่วยกู้โลก ได้จินตนาการองค์กรวายร้ายขึ้นมา และช่วยกันคิดแผนการร้ายที่วายร้ายจะใช้ บันทึกลงในสมุด เรื่องราวแปลกประหลาดเริ่มต้นขึ้นเมื่อคนคนนึงที่เรียกตัวเองว่า ''เพื่อน'' องค์กรของเพื่อนค่อยโผล่ในทุกซอกมุมของประเทศ จากลัทธิเล็กๆ กลายเป็นองค์กรใหญ่ระดับประเทศ จนกลายเป็นระดับโลก
ตัวเอกของเรื่องคือ ''เคนจิ'' ที่เป็นพนักงานซุปเปอร์มาเก็ตทั่วไป ที่มีความฝันอยากเป็นนักดนตรีร็อก ได้เห็นสัญลักษณ์ขององค์กรนี้เข้าโดยบังเอิญ และสัญลักษณ์นั้นเหมือนกับสัญลักษณ์ที่พวกเค้ากับกลุ่มเพื่อนในวัยประถมเป็นคนคิดกันเอง และแผนการครองโลกที่เพื่อนกำลังใช้อยู่นั้น มันก็คือแผนการที่พวกเค้าคิดขึ้นมาเองในวัยเด็ก และที่สำคัญหัวหน้าลัทธิ "เพื่อน" นั้นเป็นหนึ่งในเพื่อนสมัยเด็กของเคนจิ เขาจึงเป็นเพียงคนเดียวที่รู้ทันว่าเพื่อนกำลังคิดอะไรอยู่ และเค้าเป็นคนเดียวที่สามารถหยุดแผนร้ายนี้ได้
เคนจิต้องหาให้ได้ว่า "เพื่อน" เป็นใคร แล้วหาทางหยุดยั้ง ก่อนที่ทุกอย่างจะเลวร้ายไปกว่านี้ การสืบหาตัวตนที่แท้จริงของ ''เพื่อน'' จึงเริ่มต้นขึ้น
ผู้ถือลิขสิทธิ์ บริษัท เอ็ม พิคเจอร์ส จำกัด
ชื่อไทย มหาวิบัติ...ดวงตาถล่มล้างโลก
ภาพยนตร์แนว วิทยาศาสตร์
จากประเทศ ญี่ปุ่น
กำหนดฉาย 20 พฤศจิกายน 2551
ณ โรงภาพยนตร์ ทุกโรงภาพยนตร์
ผู้กำกับภาพยนตร์ ยูกิฮิโกะ ซึซึมิ
มังงะต้นฉบับ 20th Century Boys และ 21st Century Boys โดย นาโอกิ อุราซาวา, สำนักพิมพ์โชกาคุคัง
บทภาพยนตร์ ยาสึชิ ฟุคุดะ, ทากาชิ นากาซากิ, นาโอกิ อุราซาวา, ยูสึเกะ วาตานาเบ
เพลงประกอบ เรียวเมอิ ชิราอิ
เพลงธีม 20th Century Boy ของวง T.Rex (Imperial records)
จากการ์ตูนยอดฮิตสู่ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์
ปรมาจารย์การ์ตูนมังงะ นาโอกิ อุราซาวา ผู้สร้างสรรค์ Yawara! และ Monster ใช้เวลาตั้งแต่ปี 1999 ถึงปี 2007 รวมแล้วกว่า 8 ปี เพื่อเรียงร้อยเรื่องราวใน 20th Century Boys จำนวน 24 เล่ม อันเป็นปรากฏการณ์ระดับชาติด้วยยอดจำหน่ายสูงลิบกว่า 20 ล้านฉบับ ก่อนจะโด่งดังแพร่หลายในอีก 12 ประเทศ ทั้ง ฮอลแลนด์, เบลเยียม, เยอรมนี, สเปน, ฝรั่งเศส, อิตาลี, อินโดนีเซีย, ฮ่องกง, เกาหลีใต้, สิงคโปร์ และประเทศไทย ที่สำคัญ มังงะเรื่องนี้ยังชนะ ‘รางวัลการ์ตูนชุดยอดเยี่ยม’ จากเทศกาล Angoul?me International Comics Festival ในฝรั่งเศสอีกด้วย และหลังจากที่สร้างความตื่นเต้นให้กับผู้คนทั่วโลกไปแล้ว วันนี้ถึงเวลาแล้วที่ 20th Century Boys จะสร้างความตื่นตาตื่นใจในรูปแบบภาพยนตร์ไลฟ์แอ็กชั่นแห่งศตวรรษ
ผู้คนต่างกล่าวตรงกันว่า “ไม่มีทางดัดแปลงมาขึ้นจอได้หรอก” ก็ด้วยความที่มังงะเรื่องนี้ครอบคลุมสเกลใหญ่เกินกว่าปกติ โดยมีเรื่องราวสลับซ้อนกินเวลายาวนานกว่า 50 ปีซึ่งโยงใยไปถึงทั่วทุกมุมโลก ทว่าสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ก็กลับเป็นไปได้ หากแต่ต้องแบ่งออกเป็น 3 ภาค พร้อมด้วยทุ่มงบประมาณมหาศาลเป็นประวัติการณ์ในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ญี่ปุ่นกว่า 6 พันล้านเยน ทั้งยังต้องยกกองข้ามน้ำข้ามทะเลไปถ่ายทำกันในนิวยอร์ก ลอนดอน ปารีส ปักกิ่ง และกรุงเทพฯ
ทันทีที่ข่าวประกาศสร้างหนังแพร่สะพัดในปี 2007 ก็เกิดประเด็นร้อนโต้แย้งกันในโลกไซเบอร์ว่าด้วยเรื่องนักแสดงคนไหนจะมารับบทใด เนื่องจากตลอดไตรภาคนั้นมีบทบาทหลักๆ กระจายอยู่กว่า 300 บทบาท เมื่อทีมผู้สร้างประกาศรายชื่อนักแสดงในปฐมบท อันได้แก่ โทชิอากิ คาราซาวา, เอตสึชิ โทโยกาวา และ ทากาโกะ โทกิวา ในบท เคนจิ, โอตโจะ และยูคิจิ ตามลำดับ สื่อต่างๆ ก็ให้การตอบรับเป็นอย่างดีโดยจับข่าวขึ้นหน้าหนึ่งทันที นอกจากนี้ ยังเห็นได้ชัดว่า 20th Century Boys จะต้องเป็นหนังที่รวบรวมนักแสดงดาวเด่นทั้งหมดมาไว้ด้วยกันอย่างยิ่งใหญ่อลังการในแบบที่ไม่เคยมีหนังเรื่องใดทำได้มาก่อน
“เหมือนสร้างหนังจากคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ครับ” คือเสียงสะท้อนของผู้กำกับฯ ซึซึมิ จากภาระยิ่งใหญ่ในครั้งนี้ บนเส้นทางอันยาวนานกว่าครึ่งศตวรรษของ 20th Century Boys ซึ่งมีตัวละครมากมายเป็นร้อยๆ ทำให้มันลอยเด่นอยู่เหนือมังงะเรื่องอื่นๆ ที่สำคัญ นี่คือมังงะประเภทที่วางไม่ลงจนกว่าจะอ่านจนจบ ในช่วงต้นของงานสร้างชิ้นนี้จึงต้องมีผู้สร้างสรรค์ต้นฉบับ นาโอกิ อุราซาวา มาคอยดูแลเรื่องราวโดยรวมและร่วมเขียนบทของภาคแรก พร้อมทั้งบิดเรื่องราวในหนังให้ต่างจากมังงะ ตัวร้ายของเรื่องคือ ‘เพื่อน’ จะได้รับการตีความใหม่ในหนัง อีกทั้งคนดูจะได้เห็นรายละเอียดแปลกใหม่และตื่นตาตื่นใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เรื่องราวอันยาวนานของมังงะเริ่มขึ้นในฉากที่ เคนจิ ยึดห้องเรียนเป็นสถานที่บรรเลงเพลง 20th Century Boy ของวง T.Rex ซึ่งนอกจากจะเป็นที่มาของชื่อมังงะแล้ว ก็ยังมีความหมายลึกซึ้งต่อเรื่องราวอีกด้วย หนังจึงเลือกเพลงนี้มาใช้เป็นเพลงธีม นำเพลงร็อกรุ่นลายครามอายุ 35 ปีกลับมาเยือนปัจจุบันอีกครั้ง
หลังจากที่มังงะต้นฉบับพิสูจน์ศักยภาพให้เห็นกันไปแล้วทั่วโลก หนังก็กำลังจ่อคิวรอพิสูจน์ตัวมันเองในระดับสากลเช่นเดียวกัน ข่าวคราวเกี่ยวกับการสร้างหนังได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยม อีกทั้งในงาน American Film Market 2007 ที่ผ่านมา มีถึง 42 บริษัทจาก 34 ประเทศมาแย่งกันซื้อลิขสิทธิ์ไปจัดจำหน่าย เมื่อการขายเสร็จสิ้น ทั่วโลกต่างก็ใจจดใจจ่อรอให้มันเข้าโรงฉาย
ผู้เขียนการ์ตูน : นาโอกิ อุราซาวา
อุราซาวาเกิดในปี 1960 ที่กรุงโตเกียว เขาคือหนึ่งในผู้เข้ารอบสุดท้ายของการประกวด Shokakukan New Comic Award ในปี 1982 ก่อนจะเริ่มงานอย่างมืออาชีพในปี 1983 ผลงานเด่น : Pineapple Army (เขียนโดย คาซูยะ คูโด), Yawara!, Happy!, Monster และ 20th Century Boys ทุกวันนี้อุราซาวากำลังวาดเรื่อง Pluto ให้กับแม็กกาซีน Weekly Big Comic Original
รางวัลที่ได้รับ
1989 The 35th Shogakukan Manga Award จากเรื่อง Yawara!
1997 The Best Manga Award from the 1st Japan Media Arts Festival จากเรื่อง Monster
1999 The 3rd Tezuka Osamu Cultural Prize Manga Award จากเรื่อง Monster
2000 The 46th Shogakukan Manga Award จากเรื่อง Monster
2001 The 25th Kodansha Manga Award จากเรื่อง 20th Century Boys
2002 The 48th Shogakukan Manga Award และ the Best Manga Award ในเทศกาล Japan Media Arts Festival จากเรื่อง 20th Century Boys
2004 The Angoul?me International Comics Festival จากเรื่อง 20th Century Boys
2005 The 9th Tezuka Osamu Cultural Prize Manga Award จากเรื่อง Pluto (ร่วมกับ ทากาชิ นากาซากิ และ มาโคโตะ เทซึกะ) และ the Best Manga Award ในเทศกาล Japan Media Arts Festival จากเรื่อง Pluto อีกเช่นกัน
แรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์เรื่อง 20th Century Boys คืออะไร?
“ผมคิดถึงมังงะสักเรื่องซึ่งเกี่ยวโยงกับสัญลักษณ์ปริศนาครับ วันที่ผมวาด Happy! (มังงะเรื่องยาวก่อนหน้า 20th Century Boys) เสร็จเรียบร้อย ผมลงไปนอนแช่ในอ่าง แล้วอยู่ๆ กลับมีสุนทรพจน์แวบเข้ามาในหัวสมอง ‘ถ้าไม่มีพวกเขา เราจะไม่มีวันได้เห็นศตวรรษที่ 21 ท่านสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีทั้งหลาย พวกเขาคือ 20th Century Boys!’ ต่อมาผมรีบจดความคิดส่งแฟ็กซ์ไปหาบรรณาธิการ Big Comic Spirits ทันที ในขณะที่ความทรงจำตอนบรรเลงเพลง 20th Century Boy ของวง T.Rex สมัยเรียนในโรงเรียนมัธยม P.A. ก็ย้อนคืนกลับมา ฉากที่เคนจิบรรเลงเพลงของวง T.Rex น่ะอ้างอิงจากประสบการณ์จริงของผมนี่เองครับ”
ในฐานะผู้เขียนบทภาพยนตร์ องค์ประกอบส่วนไหนที่จำเป็นต้องรักษาเอาไว้?
“ความรู้สึกแปลกๆ ในมังงะยังไงล่ะครับ ‘ต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น?’ คือปฏิกิริยาที่สำคัญที่สุดระหว่างการอ่าน 20th Century Boys ในการดัดแปลงมังงะเป็นบทภาพยนตร์นั้น หากตัดความคลุมเครือออกไปเสียแล้ว เรื่องราวก็จะเป็นแบบราบ ผมถึงได้พยายามรักษามิติอันซับซ้อนของเรื่องราวเอาไว้น่ะครับ อีกทั้งยังเชื่อมั่นว่าผู้กำกับ ซึซึมิ จะถ่ายทอดมันออกมาเป็นหนังได้อย่างยอดเยี่ยม”
คิดอย่างไรกับนักแสดง?
“พวกเขาเหมาะสมกับบทบาทที่ได้รับนะครับ ไม่ธรรมดาเสียด้วย แต่ละคนศึกษามังงะต้นฉบับมาเป็นอย่างดี แถมยังมอบชีวิตและลมหายใจให้กับตัวละครในโลกของ 20th Century Boys ได้อย่างสมจริง”
หวังอะไรจากหนังเรื่องนี้บ้าง?
“นี่เป็นหนังไตรภาคทุนสร้างมหาศาลกว่า 6 พันล้านเยน ฟังแล้วเหมือนจะเป็นมหากาพย์ยิ่งใหญ่อลังการนะครับ แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ มันเป็นแค่เรื่องราวส่วนตัวของใครคนหนึ่งเสียมากกว่า หรืออาจกล่าวได้ว่าชีวิตของใครสักคนก็เป็นมหากาพย์สุดยิ่งใหญ่ได้ทั้งนั้น ผมได้แต่หวังว่าหนังน่าจะเข้าถึงโลกส่วนตัวใบเล็กๆ ของผู้ชมเท่านั้นแหละครับ”
ผู้กำกับภาพยนตร์ : ยูกิฮิโกะ ซึซึมิ
ซึซึมิเกิดในปี 1955 ที่เมืองไอจิ ประเทศญี่ปุ่น มีผลงานกำกับครั้งแรกในปี 1980 คือ หนึ่งตอนในรวมหนังสั้น ได้แก่ Eigo ga nanda หรือ To Hell with English ในหนังชื่อ Bakayaro หรือ I'm Plenty Mad หลังจากนั้น เขาย้ายไปนิวยอร์ก โดยมีผลงานกำกับมิวสิกวิดีโอและหนังคุณภาพตามมาอีกมากมาย อาทิ ผลงานร่วมกับ โยโกะ โอโนะ เรื่อง Homeless ต่อมาในปี 1994 ซึซึมิร่วมเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทสร้างหนัง Office Crescendo, Inc. ซึ่งเปิดโอกาสให้เขาได้กำกับงานแตกต่างหลากหลาย ทั้ง ภาพยนตร์, ดราม่าทางโทรทัศน์, มิวสิกวิดีโอ และโฆษณาต่างๆ
ผลงานกำกับหนังที่เพิ่งผ่านมา ได้แก่ Maboroshi no Yamataikoku หรือ The Lost Legend of Yama Kingdom(2008), Ginmakuban Sushi Oji หรือ Sushi King Goes to New York(2008), Hotai Kurabu หรือ The Bandage Club(2007), Jigyaku no Uta หรือ Happily Ever After(2007), Taitei no Tsurugi หรือ The Sword of Alexander(2007), TRICK, the Movie 2(2006) และ Ashita no Kioku หรือ Memories of Tomorrow(2006)
คุ้นเคยกับมังงะต้นฉบับมาก่อนแล้วหรือเปล่า?
“คุ้นเคยสิครับ มังงะออกจะสนุกตั้งแต่ต้นจนจบขนาดนี้ ผมเข้าถึงองค์ประกอบมากมายของเรื่องก็เพราะเติบโตมาในยุคเดียวกับตัวละครต่างๆ พอดี รู้ว่าเด็กสมัยนั้นชอบอะไร รู้ว่าพวกเขาตื่นเต้นกับดนตรีแนวใหม่อย่างไร กีตาร์ไฟฟ้าตัวแรกของเคนจิซึ่งพี่สาวซื้อให้เป็น เกรโค เทเลคาสเตอร์ สีเหลืองสด เขาจับมันขึ้นมาบรรเลงอีกครั้งตอนโตเป็นผู้ใหญ่เพื่อย้อนวันเวลาไปสู่สมัยยังเป็นเด็กครับ ที่สำคัญ นั่นเป็นกีตาร์แบบเดียวกันกับกีตาร์ตัวแรกของผมครับ!”
หลักในการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้คืออะไร?
“ต้องดำเนินรอยตามมังงะต้นฉบับ! เรื่องราวในมังงะนั้นยอดเยี่ยมมากๆ อยู่แล้ว ผมควรจะเจริญรอยตามมากกว่าจะเปลี่ยนแปลงมันน่ะครับ อันที่จริงแล้ว ผมอยากให้คุณดูหนังไปพร้อมๆ กับเปิดมังงะตามไปเสียด้วยซ้ำ แต่คงทำไม่ได้หรอกครับ เพราะในโรงหนังน่ะมืด (หัวเราะ) สตอรี่บอร์ดที่ใช้ก็คือมังงะนี่แหละครับ มิหนำซ้ำ ยังใช้มุมกล้องเดียวกันกับกรอบต่างๆ ในมังงะอีกด้วย เราจะเลือกฉากต่างๆ จากมังงะมาถ่ายเอกสาร แล้วแจกจ่ายให้ทีมงานทุกคน จะได้เข้าใจตรงกันว่าเราต้องการอะไรในแต่ละฉาก”
“ตอนผมเป็นเด็ก มีแม็กกาซีนรวมมังงะฮิตมากๆ ชื่อ Boken-O (Adventure King) ครั้งหนึ่งมันมีของแถมติดมาด้วย ชื่อว่า Moving Monster ซึ่งเป็นแค่ภาพวาดปิศาจบนกระดาษแผ่นหนึ่ง แต่เราสามารถสร้างจินตนาการขยับแขนขาของมันด้วยมือของเราเองตามใจชอบ อาจจะดูกระจอกงอกง่อยนะแต่กลับกระชากใจผมสุดๆ ผมเองก็ตั้งเป้าไว้ว่าจะมอบ 20th Century Boys ให้เป็นเซอร์ไพรส์คล้ายๆ อย่างนั้นกับคนดูน่ะครับ”
หนังเรื่องก่อนๆ นี้จะมีสไตล์ที่แปลกแหวกแนวแถมยังขำไม่บันยะบันยัง แล้วเรื่องนี้ล่ะยังอยู่ในแนวทางเดิมๆ ที่เคยทำมาหรือเปล่า?
“ผมยังทำในสิ่งที่เป็นตัวผมอยู่นะ แต่ครั้งนี้คงต้องพึ่งเรื่องของการตัดต่อด้วย (หัวเราะ) โลกในมังงะต้นฉบับซึ่งจะไม่ต่างจากโลกในหนังสักเท่าไหร่เป็นเหมือนป้อมปราการแข็งแกร่งเข้าถึงยากทีเดียวครับ การเปลี่ยนแปลงแม้แต่เพียงเล็กน้อยอาจส่งผลให้เรื่องราวผิดเพี้ยนหลงทิศหลงทางไปเลยก็ได้ เพราะเรื่องราวทั้งหมดได้รับการถักทอต่อเนื่องกันไปโดยสลับซับซ้อนน่ะครับ เป็นต้นว่า ถ้านิ้วในมังงะชี้ไปทางไหน ในหนังก็ต้องชี้ไปทางนั้นด้วย ไม่อย่างนั้นความหมายของเรื่องอาจเปลี่ยนไปจากเดิมได้ครับ ก็เลยตกลงใจว่าจะถ่ายทอดตามมังงะต้นฉบับ อีกอย่างหนึ่งคือ ภาพในมังงะมีความเป็นภาพยนตร์อยู่ในตัวมากอยู่แล้ว เพียงแต่จะต้องปรับเปลี่ยนภาษาเล็กน้อยเพื่อให้มีความเป็นภาพยนตร์มากขึ้น”
นักแสดงนำภาพยนตร์ทเวนตี้ เซนจูรี่ บอยส์
โทชิอากิ คาราซาวา รับบท เคนจิ
คาราซาวาเกิดในปี 1963 ที่กรุงโตเกียว และเริ่มเป็นที่ดึงดูดความสนใจจากการแสดงในดราม่าสุดฮิตทางโทรทัศน์ในปี 1992 เรื่อง Ai toiu Nanomotoni หรือ In the Name of Love นอกจากนี้ ยังแสดงในดราม่าย้อนยุคทุนสร้างสูง อย่าง Toshiie to Matsu หรือ Toshiie and Matsu รวมถึงแสดงในเมโลดราม่าเกี่ยวกับวงการแพทย์ในปี 2007 เรื่อง Shiroi Kyoto หรือ The White Tower และยังฝากผลงานไว้ในภาพยนตร์อีกมากมาย ในส่วนของผลงานทางด้านละครเวทีโดยผู้กำกับ ยูกิโอะ นินากาวะ เรื่อง Macbeth แสดงที่นิวยอร์ก และ The Tragedy of Coriolanus แสดงที่ลอนดอน
ผลงานทางภาพยนตร์ก็เช่น ภาพยนตร์โดย โกกิ มิตานิ เรื่อง Koki Mitani's The Magic Hour (2008), U-Choten Hotel หรือ Suite Dreams (2006), Mina no Ie หรือ All about Our House (2001), Rajio no JIkan หรือ Welcome Back, Mr. McDonald, ภาพยนตร์โดย คาซูอากิ คิริยะ เรื่อง Casshern (2004), ภาพยนตร์โดย ยูกิโอะ นินากาวะ เรื่อง Warau Iemon หรือ Iemon Sneers (2004), Ao no Hono หรือ The Blue Light (2003) และภาพยนตร์โดย ทากาโยชิ วาตานาเบ เรื่อง Kimi o Wasurenai หรือ FlyBoys, Fly! (1995)
“เคนจิเป็นผู้ชายธรรมดาทั่วๆ ไปครับ แต่กลายเป็นว่าอยู่ๆ จินตนาการในวัยเด็กของเขากลับนำมาซึ่งวันหายนะของโลก ก่อนที่จะถูกบีบบังคับให้รับผิดชอบและแสดงท่าทีต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งเปรียบเสมือนการดึงเขาให้หลุดพ้นจากสภาพของผู้พ่ายแพ้ต่อชีวิต ในวันส่งท้ายปีเก่า เขาต้องเผชิญหน้ากับ ‘เพื่อน’ หลังจากนั้นก็ก้าวเข้าสู่เหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งค่อยๆ เปลี่ยนแปลงชีวิตของเขา ลำดับขั้นการเปลี่ยนแปลงของเขานี่แหละครับคือสิ่งที่น่าสนใจที่สุดในหนัง ผมได้แต่หวังว่าคนดูจะรู้สึกคล้อยตามเป็นหนึ่งเดียวไปกับเคนจิและเข้าถึงโศกนาฏกรรมในชีวิตของตัวละครตัวนี้ได้ครับ”
ทากาโกะ โทกิวา รับบท ยูคิจิ
โทกิวาเริ่มงานแสดงในดราม่าสุดฮิตทางโทรทัศน์ในปี 1993 ก่อนจะปรากฏโฉมให้เห็นกันบนจอเงินครั้งแรกในภาพยนตร์ฮ่องกงของผู้กำกับฯ เดเนียล ลี ปี 1999 เรื่อง Xing yue tong hua หรือ Moonlight Express ต่อด้วยภาพยนตร์ของ ยูโซ อะซาฮารา เรื่อง Tsuribaka Nisshi 19 หรือ Free and Easy, Part 19 รวมถึงแสดงในดราม่าย้อนยุคทุนสร้างสูงซึ่งออกฉายทางโทรทัศน์เรื่อง Tenchijin
ผลงานทางภาพยนตร์อื่นๆ ยังมี ภาพยนตร์โดย เคนจิ อุชิดะ เรื่อง After School (2008), ภาพยนตร์โดย จุนจิ ซากามาโต เรื่อง Tamamoe (2007), ภาพยนตร์โดย ฮิซาโกะ ยามาดะ เรื่อง Fudeko, sono Ai หรือ Fudeko and her Love (2007), ภาพยนตร์โดย เทตสึโร ชิโนฮารา เรื่อง Metoro ni Notte หรือ On the Metro (2006), ภาพยนตร์โดย โยชิมิตสึ โมริตะ เรื่อง Mamiya Kyodai หรือ The Mamiya Brothers (2006), ภาพยนตร์โดย ชุนซากุ คาวาเกะ เรื่อง Hoshi ni natta Shonen หรือ Shining Boy and Little Randy (2005), ภาพยนตร์โดย ยาซูโอะ ฟุรุฮาตะ เรื่อง Akai Tsuki หรือ Red Moon (2004) และภาพยนตร์โดย คาซุโยชิ ซึซึอิ เรื่อง Gerropa หรือ Getup! (2003)
“มังงะเรื่องนี้เป็นเพื่อนเก่าของฉันค่ะ ฉันรู้จักมาตั้งแต่สมัยยังเรียนประถม ที่บ้านของฉันมีมังงะกองเป็นตั้งๆ อย่างกับมังงะคาเฟ่เลยค่ะ (หัวเราะ) นั่นแหละคือที่ที่ฉันได้อ่านมันเป็นครั้งแรก ฉันรู้สึกว่าเราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก และทุกวันนี้มิตรภาพก็ยังเหนียวแน่น ฉันชอบกลวิธีการคลี่คลายปมของเรื่องค่ะ แม้ว่าเรื่องจะยาวมาก แต่ฉันก็อ่านรวดเดียวจบได้โดยไม่ลุกไปไหนเลย มีอยู่วันหนึ่ง ก่อนการถ่ายทำ ฉันแค่อยากอ่านหน้าที่กำลังจะถ่ายทำเท่านั้น แต่กลายเป็นว่าฉันหยุดอ่านมันไม่ได้”
เอตสึชิ โทโยกาวา รับบท โอตโจะ
โทโยกาวาเกิดที่โอซาก้าในปี 1962 โดยเริ่มเป็นที่รู้จักหลังจากแสดงในธริลเลอร์สุดฮิตทางโทรทัศน์ในปี 1992 เรื่อง Night Head จากนั้นก็มีผลงานเรื่อยมาทั้งในภาพยนตร์และทางโทรทัศน์ เขาได้รับรางวัลทางการแสดงมาแล้วมากมาย อาทิ รางวัล Outstanding Performance by an Actor in a Leading and Supporting Role จากงาน Japan Academy Awards, รางวัล Best Actor Award จากงาน Takasaki Film Festival และ Hochi Film Festival โดยส่วนตัวแล้วเขาชอบร่วมงานกับผู้กำกับฯที่ไม่เคยร่วมงานกันมาก่อน เพื่อขยายขอบเขตความสามารถทางการแสดงออกไปเรื่อยๆ
ผลงานทางภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ก็เช่น ภาพยนตร์โดย คัตสึอากิ โมโตกิ เรื่อง Inu to Watashi no Ju no Yakusoku หรือ 10 Promises to My Dog (2008), ภาพยนตร์โดย คาเนโตะ ชินโด เรื่อง Hana wa Chiredomo หรือ Though the Petals have Fallen (2008), ภาพยนตร์โดย โยชิมิตสึ โมริตะ เรื่อง Southbound and Tsubaki Sanjuro หรือ Sanjuro (2007), ภาพยนตร์โดย คุนิโตชิ มันดะ เรื่อง Seppun หรือ The Kiss (2007), ภาพยนตร์โดย จุนจิ ซากามาโต เรื่อง Tamamoe (2007), ภาพยนตร์โดย ยาซูโอะ ซึรุฮาชิ เรื่อง Ai no Rukeichi หรือ Love Never to End (2007) และ ภาพยนตร์โดย โทโมยูกิ ทาคิกาวา เรื่อง Hanin ni Tsugu หรือ The Investigation Game (2007)
“แน่นอนครับว่าหนังจะต้องสนุกมากๆ สำหรับคนดูที่ไม่เคยอ่านมังงะมาก่อน แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้ละเลยความคาดหวังของแฟนมังงะ ผมคิดว่าถ้าเราไม่ซื่อสัตย์ต่อต้นฉบับแล้วล่ะก็ หนังคงไร้ความหมาย ที่สำคัญ แผนหลักๆ ที่เราวางไว้คือต้องถ่ายทอดออกมาให้ใกล้เคียงกับมังงะที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมเองก็พยายามสวมบทบาทให้ใกล้เคียงกับภาพวาดในต้นฉบับที่สุดแล้วครับ”
เทรุยูกิ คากาวา รับบท โยชิสึเนะ
คากาวะ เกิดที่โตเกียวในปี 1965 มีงานแสดงชิ้นแรก คือ ดราม่าทุนสร้างสูงซึ่งออกฉายทางโทรทัศน์ในปี 1989 เรื่อง Kasugano Tsubone หรือ Lady Kasuga ก่อนที่พรสวรรค์ของเขาจะเป็นที่ยอมรับในวงกว้าง โดยมีผลงานทางภาพยนตร์และละครเวทีตามมาอีกมากมาย นอกจากนี้ เขายังเป็นนักเขียนชั้นเลิศอีกด้วย
รายชื่อผลงานภาพยนตร์
Yureru หรือ Sway กำกับโดย มิกะ นิชิกาวะ (2006)
Kisaragi กำกับโดย ยูอิจิ ซาโต (2007)
Tocha หรือ Tea Fight กำกับโดย หยี่หมิง หวัง (2008)
Tokyo! กำกับโดย จุนโฮ บอง (2008)
Sea Gulls กำกับโดย วากาโก คาคุ และ ชุนทาโร ทานิกาวะ (2008)
Tokyo Sonata กำกับโดย คิโยชิ คุโรซาวา (2008)
“ผู้กำกับแนะว่าควรจะสวมบทโยชิสึเนะในฉากแรกให้เหมือนเป็นคนขาพิการครับ โยชิสึเนะเป็นตัวละครที่สร้างความประทับใจในแบบเงียบขรึมไม่ค่อยพูดจากับใคร ในขณะที่ตัวเอกของเรื่องอย่างเคนจิก็ไม่ใช่ตัวเอกที่โดดเด่นมากมายนัก โอตโจะต่างหากคือตัวละครที่แสดงความแข็งแกร่งในหลายๆ ฉาก แต่เขาก็เป็นแค่ลูกจ้างประจำบริษัทซื้อมาขายไปเท่านั้น อันที่จริงแล้ว พลพรรคแห่งฐานลับล้วนแต่เป็นคนธรรมดาๆ ในสถานการณ์ที่ไม่ธรรมดา นั่นคือ ต้องพิทักษ์โลก ผมว่าเรื่องราวทำนองนี้น่าจะเพิ่มพลังและสร้างกำลังใจให้เราทุกคนได้ไม่น้อยครับ”
ฮิเดอิโกะ อิชิซูกะ รับบท มารูโอะ
อิชิซูกะเกิดในปี 1962 ที่เมืองคานางาวะ เขาคือหนึ่งในคู่หูดูโอ้สุดฮานามว่า Honjamaka นอกจากงานแสดงตลกแล้ว ก็ยังได้เห็นหน้าค่าตาของเขาทางโทรทัศน์อยู่บ่อยครั้ง เขาเป็นส่วนหนึ่งของวาไรตี้โชว์อย่าง Tokyo Friend Park, Melenge no kimochi หรือ How Melenge Feels และอื่นๆ อีกมากมาย
รายชื่อผลงานภาพยนตร์
Fat Man Brothers กำกับโดย ฮิคารุ อิจุอิน (1995)
Monsters, Inc. (ให้เสียง) กำกับโดย ปีเตอร์ ด็อกเตอร์, ลี อันคริช และ เดวิด ซิลเวอร์แมน (2002)
Naruto หรือ Naruto the movie, Princess Yuki's Ninja Scroll (ให้เสียง) กำกับโดย เทนไซ โอกามูระ (2004)
Open Season (ให้เสียง) กำกับโดย โรเจอร์ อัลเลอร์, จิลล์ คัลตัน และ แอนโธนี สตัชชี (2006)
“ในวาไรตี้โชว์ที่ผมเคยผ่านมาแล้วมากมาย ผมมักเป็นตัวปล่อยมุขและคอยสร้างเสียงหัวเราะ แต่ในหนัง ผมต้องจดจ่ออยู่กับอารมณ์ในแต่ละฉาก จะวอกแวกไม่ได้เลยครับ ระหว่างการถ่ายทำ ผู้กำกับถึงได้พยายามหานู่นนี่มาให้ผมกัดผมเคี้ยวอยู่เรื่อยๆ เพื่อช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายขึ้น ซึ่งก็ช่วยได้มากจริงๆ ครับ สำหรับผมแล้ว ฉากประทับใจที่สุดเห็นจะเป็นตอนที่เคนจิมาเยี่ยมผมที่ร้าน Fancy Shop เพราะผมได้ยินมาว่าฉากนี้เขียนขึ้นเพื่อหนังโดยเฉพาะน่ะครับ ท้ายที่สุด การแสดงของเราผ่านพ้นไปด้วยดี เหมือนมีเทพธิดามิวส์ (เทพแห่งงานศิลป์) ลอยจากฟ้ามาแตะบ่าให้พรทีเดียวครับ”
ทากาชิ อุกาจิ รับบท มงจัง
อุกาจิเกิดในปี 1962 ที่กรุงโตเกียว หลังจากทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยของนักแสดงดังอย่าง บุนตะ ซูกาวาระ อยู่พักหนึ่ง อากิฮิโระ มิวะ ผู้เป็นทั้งนักร้อง นักแสดง และผู้กำกับฯ ก็เริ่มสังเกตเห็นพรสวรรค์ในตัวอุกาจิ และชักนำเขาเข้าสู่การแสดงละครเวที จากนั้นเป็นต้นมา เขามีผลงานบันเทิงหลากหลายทั้งในจอแก้ว, จอเงิน, ละครเวที หรือแม้แต่ให้เสียงตัวละครในอนิเมชั่น
รายชื่อผลงานภาพยนตร์
Score กำกับโดย อัตสึชิ มุโรกะ (1996)
GTO-Great Teacher Onizuka กำกับโดย มาซายูกิ ซูซูกิ (1999)
Eiko กำกับโดย อิคุโอะ คามง (2003)
Chikin Deka หรือ Chicken Cop กำกับโดย ทาคุจิ คิตามูระ (2004)
Otosan no Bakkudoroppuหรือ Backdrop Del Mio Papa กำกับโดย โตชิโอะ ลี (2004)
Hokuto no kenหรือ Fist of the North Star: New Savior Legend (ให้เสียง) กำกับโดย ทาคาฮิโร อิมามุระ(2007
“เอกลักษณ์อย่างหนึ่งของมงจังคือจะยังคงความสงบนิ่งและไม่สะทกสะท้านใดๆ ถึงแม้จะรู้ว่าสถานการณ์เข้าขั้นเลวร้ายมาก ซึ่งในมังงะต้นฉบับ เขาก็เป็นอย่างนี้เหมือนกันครับ ฝ่ายเครื่องแต่งกายและฝ่ายแต่งหน้าพยายามทำให้ผมใกล้เคียงกับมงจังอย่างสุดความสามารถ ในขณะที่ตัวผมเองก็ต้องสำรวจเข้าไปให้ถึงความรู้สึกนึกคิดภายในตัวละครตัวนี้ให้ได้ เพราะหน้าที่ของเราคือซื่อสัตย์ต่อมังงะต้นฉบับให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และจะสนุกมากๆ เวลาที่เราทำได้อย่างที่ตั้งใจ ผมถือปืนด้วยท่าทางเดียวกับมงจังในมังงะด้วยนะครับ ผลปรากฏว่าทุกคนร้องลั่น ‘อย่างกับหลุดออกมาจากมังงะเลย!’”
ฮิโรยูกิ มิยาซาโกะ รับบท เคโรยอง
มิยาซาโกะเกิดในปี 1970 ที่โอซาก้า เขาโด่งดังมาจากการเป็นหนึ่งในคู่หูสุดฮา Ameagari Kesshitai นอกเหนือไปจากงานแสดงตลกแล้ว เขายังเป็นนักดนตรีและนักแสดงฝีมือดีอีกด้วย โดยได้แสดงภาพยนตร์ครั้งแรกคือเรื่อง Gontakure หรือ Misfits ในปี 1995
รายชื่อผลงานภาพยนตร์
Hebi Ichigo หรือ Mock Strawberries กำกับโดย มิวะ นิชิกาวะ (2002)
13 kaidan หรือ Thirteen Steps กำกับโดย มาซาฮิโกะ นากาซาวะ (2003)
Casshern กำกับโดย คาซุอากิ คิริยะ (2004)
Moryo no Hako หรือ The Shadow Spirit กำกับโดย มาซาโตะ ฮาราดะ (2007)
Junkissa Isobe หรือ Cafe Isobe กำกับโดย เคอิสุเกะ โยชิดะ (2008)
“ผมเป็นแฟนตัวจริงของแม็กกาซีน Weekly Big Comic Spirits ซึ่งมี 20th Century Boys ตีพิมพ์เป็นตอนๆ อยู่ด้วย แทบไม่อยากเชื่อเลยครับว่าตัวเองจะโชคดีถึงขนาดได้แสดงในหนังเรื่องนี้ ตกใจมาก อยากรู้จริงๆ ว่าจะสร้างหนังจากเรื่องราวยาวเหยียดของ 20th Century Boys ได้ยังไง? มีใครร่วมแสดงบ้าง? หลังจากนั่งคิดเล่นๆ ว่าใครจะแสดงบทไหนไปสักพัก ผมถึงรู้ว่าตัวเองได้แสดงเป็น เคโรยอง งงๆ อยู่เหมือนกันครับ ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้แสดงบทนี้ แต่พอได้แต่งหน้าเติมนู่นเติมนี่ ถึงตระหนักได้ว่าตัวเองเหมือนเคโรยองจริงๆ ผมพยายามแสดงให้เขาเป็นผู้ชายธรรมดาๆ นะครับ แต่เสียดายอยู่นิดหนึ่งตรงที่ไม่ได้ร่วมแสดงในฉากการนองเลือดในวันส่งท้ายปีเก่า ผมอยากร่วมแสดงฉากนี้จริงๆ ครับ” (หัวเราะ)
คัตสึชิตะ นามาเสะ รับบท ดองกี้
นามาเสะเกิดในปี 1960 ที่เมืองเฮียวโก หลังจากประสบความสำเร็จในฐานะนักแสดงละครเวที จึงเริ่มมีผลงานทั้งทางจอเงินและจอแก้ว แต่ก็ยังไม่ทิ้งเวที หนึ่งในดราม่าทางโทรทัศน์ที่เขาร่วมแสดง คือ Trick and Gokusen
รายชื่อผลงานภาพยนตร์
Yatter Man กำกับโดย ทากาชิ มิอิเกะ (2009)
The Last Princess กำกับโดย ชินจิ ฮิกูชิ (2008)
Maiko Haaaan!!! กำกับโดย โนบุโอะ มิซูตะ (2007)
The U-Choten Hotel หรือ Suite Dreams กำกับโดย โกกิ มิตานิ (2006)
Trick 2, the Movie กำกับโดย ยูกิฮิโกะ ซึซึมิ (2006)
“ตัวละครดองกี้สร้างความประทับใจไว้มากมายเมื่อตอนเป็นเด็ก แต่จะได้เห็นเขาตอนเป็นผู้ใหญ่แค่ช่วงสั้นๆ เท่านั้น คือถึงแม้จะมีบทบาทน้อยแต่ก็มีความสำคัญมากครับ เพราะเขาคือจุดเริ่มต้นของปริศนาทั้งหมดในเรื่อง ผมรู้สึกเป็นเกียรติจริงๆ ที่ได้แสดงเป็นเขา ตัวตนของเขาในวัยเด็กยังคงแจ่มชัดอยู่ในใจของเพื่อนร่วมชั้นเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ ตอนที่ผมแสดง ผมจะคิดถึงภาพตอนเด็กๆ ของเขา เขาคือนักวิ่งลมกรดผู้แสนจะใสซื่อครับ ส่วนฉากที่ดองกี้ถูกสาวกของ ‘เพื่อน’ รุมเล่นงาน เราถ่ายทำกันบนหลังคาโดยมีระบบรักษาความปลอดภัยดีเยี่ยม ในขณะที่ตัวร้ายอย่าง เคนอิจิ เอ็นโด และ อาราตะ ก็แสดงได้สมจริงมากๆ น่ากลัวจริงๆ ครับ!” (หัวเราะ)
ฟูมิโยะ โคฮินาตะ รับบท ยามาเนะ
โคฮินาตะเกิดในปี 1954 ที่ฮอกไกโด พอถึงปี 1977 จึงได้เข้าเป็นสมาชิกของคณะละคร On Theater Jiyu Gekijo (Freedom Theater) กระทั่งคณะปิดตัวลงในปี 1996 โคฮินาตะเคยแสดงในละครเวทีเรื่อง Hamlet และอื่นๆ อีกมากมาย ก่อนจะก้าวเข้าสู่การแสดงทางจอแก้วและจอเงิน
รายชื่อผลงานภาพยนตร์
Soredemo Bokuwa Yattenai หรือ I Just Didn't Do It กำกับโดย มาซายูกิ ซูโอะ (2007)
Always, Zoku Sanchome no Yuheหรือ Always: Sunset on the Third Street 2 กำกับโดย ทากาชิ ยามาซากิ (2007)
Ano so ra o Oboeteiru หรือ I Remember the Sky กำกับโดย ชิน โทกาชิ (2008)
Za Majikku Awa หรือ The Magic Hour กำกับโดย โกกิ มิตานิ (2008)
Happi Furaito หรือ Happy Flight กำกับโดย ชิโนบุ ยูกาชิ (2008)
“สมัยที่ผมแสดงละครเวทีอยู่กับคณะ Okepi (Orchestra Pit) คณะเราชอบอ่าน 20th Century Boys กันในห้องพักนักแสดงครับ ตอนที่ได้อ่าน ผมรู้สึกว่าน่าสนใจมากแล้วก็น่าขนลุกด้วยเช่นกัน แต่เป็นคนละความรู้สึกกับเวลาอ่านเรื่องผีๆ นะ เพราะสิ่งที่ชวนขนลุกในมังงะ คือ ความไม่แน่นอนของอนาคตและโชคชะตาอันโหดร้ายครับ ในมังงะ ตัวละครยามาเนะที่ผมแสดงจะมีบทบาททั้งตอนเป็นเด็กและตอนโตเป็นผู้ใหญ่ในช่วงปี 2000 แต่ในหนัง ยามาเนะจะมีบทบาทในช่วงปี 1997 เพิ่มเข้ามา งานนี้ผมต้องสวมวิกเพื่อให้ดูหนุ่มขึ้นเสียด้วย ควรจะไปดูหนังกันนะครับ ไม่อย่างนั้นจะพลาดอะไรดีๆ”
คุราโนซุเกะ ซาซากิ รับบท ฟุคุเบะ
ซาซากิเกิดในปี 1968 ที่โตเกียว เขาเริ่มแสดงละครเวทีกับคณะละคร Wakusei Pisutachio (Planet Pistachio) ก่อนจะมีผลงานทางจอแก้ว, จอเงิน และละครเวทีอื่นๆ ตามมากอีกมากมาย ในขณะที่ทุกวันนี้ ก็มีผลงานทางจอแก้วในดราม่าสุดฮิตเรื่อง Monster Parents
รายชื่อผลงานภาพยนตร์
Jam Films (Hijiki) กำกับโดย ยูกิฮิโกะ ซึซึมิ
Mamiya Kyodai หรือ The Mamiya Brothers กำกับโดย โยชิมิตสึ โมริตะ
Tsukigami หรือ The Haunted Samurai กำกับโดย ยาซูโอะ ฟุรุฮาตะ
Bokutachi to Chuzaisan no 700 nichi sensoหรือ Our 700-day War with the Policeman กำกับโดย เรนเปอิ ซึกาโมโตะ
After School กำกับโดย เคนจิ อุชิดะ
“ผมตื่นเต้นมากทันทีที่รู้ข่าวว่าทีมผู้สร้างประกาศสร้างหนังเรื่องนี้อย่างเป็นทางการแล้ว ใครๆ ก็บอกว่าผมเหมาะกับบทฟุคุเบะมากๆ ครับ จนอดสงสัยไม่ได้ว่าจริงๆ แล้วพวกเขาหมายความว่ายังไงกันแน่ (หัวเราะ) ผมเคยร่วมงานกับผู้กำกับคนนี้มาแล้วหลายครั้ง ซึ่งทุกๆ ครั้ง ผมจะรู้สึกดีมากๆ เวลาเขาแนะนำและพูดคุยกับนักแสดงก่อนเข้าฉากถ่ายทำ ในหนังเรื่องนี้ เขาก็ยังคงใช้วิธีการเดิมๆ แบบนี้อยู่ครับ เพียงแต่ไม่ใช้กับผมเท่านั้นเอง ผมไม่เคยได้คำแนะนำอะไรเลย! เสียใจจริงๆ ครับ” (หัวเราะ)
เร็นจิ อิชิบาชิ รับบท อินชู มันโจเมะ
อิชิบาชิเกิดในปี 1941 ที่โตเกียว ตลอดทศวรรษที่ 70 เขาคือนักแสดงละครเวทีชั้นเยี่ยมในคณะของ ยูกิโอะ นินากาวะ อันได้แก่ Gendaijin Gekijo (Modern People's Theater) และ Sakurasha (Cherry Company) ต่อมาอิชิบาชิจึงได้ตั้งคณะละครของตัวเอง ชื่อ Dainana Byoto (The 7th Hospital Ward) รวมถึงมีผลงานมากมายทั้งในจอแก้วและจอเงิน
รายชื่อผลงานภาพยนตร์
Trick กำกับโดย ยูกิฮิโกะ ซึซึมิ (2002)
Sakuran กำกับโดย มิกะ นินากาวะ (2007)
Tsukigami หรือ The Haunted Samurai กำกับโดย ยาซูโอะ ฟุรุฮาตะ (2007)
Hannin ni Tsugu หรือ To the Abductor กำกับโดย โทโมยูกิ ทาคิโมโตะ (2007)
L change the WorLd กำกับโดย ฮิเดโอะ นากาตะ (2008)
“เพื่อที่จะอ่าน 20th Century Boys ให้ครบทุกเล่ม ผมถึงได้เข้าไปนั่งในมังงะคาเฟ่เป็นครั้งแรกในชีวิต ช่วงทศวรรษที่ 70 ในหนังเป็นยุคของผมครับ ตอนนั้นผมหนุ่มแน่นและมีกำลังวังชาเต็มเปี่ยม ผมผ่านยุคนั้นมาจริงๆ ผมรู้ว่าทำไมผู้คนถึงรู้สึกว่างเปล่า และเรื่องราวในยุคนั้นจบลงอย่างไร ผมเชื่อมั่นว่าสามารถสวมบทบาทชายผู้ผ่านการใช้ชีวิตในยุคนั้นได้เป็นอย่างดี มังงะต้นฉบับวิเศษมากครับ แต่ผมไม่อยากยึดติดกับมันสักเท่าไหร่ เพราะอยากทุ่มเทให้การแสดงมากกว่า อยากให้คนดูเห็นว่าหนังขยายศักยภาพของเรื่องราวออกไปได้มากกว่ามังงะต้นฉบับ”
คัตสึโอะ นากามูระ รับบท ก๊อด คามิซามะ
นากามูระเกิดในปี 1938 ที่โตเกียว เขาเป็นลูกของนักแสดงคาบูกิ โทกิโซ นากามูระ ที่ 3 และเริ่มแสดงบนเวทีครั้งแรกในปี 1943 เขามีผลงานในภาพยนตร์เรื่องแรกตั้งแต่ยังเรียนมัธยม ก่อนจะมีผลงานทั้งในจอเงินและจอแก้วตามมาอีกมากมาย คินโนซุเกะ โยโรซุยะ นักแสดงดังจากซีรี่ส์ทางโทรทัศน์สุดฮิตเรื่อง Lone Wolf and Cub คือพี่ชายคนโตของเขา
รายชื่อผลงานภาพยนตร์
Hashi no Nai kawa หรือ The River with No Bridge กำกับโดย โยอิชิ โฮกาชิ (1992)
Gozira tai Mekagojiraหรือ Godzilla Against Mecha Godzilla กำกับโดย มาซาอากิ เทซูกะ (2002)
Steam Boy (ให้เสียง) กำกับโดย คัตสึชิโร โอโตโมะ (2004)
Crozudo Noto หรือ Closed Note กำกับโดย ซาดาโอะ ยูกิซาดะ (2007)
Sad Vacation กำกับโดย ชินจิ อาโอยามา (2007)
“ผมกังวลเรื่องการพลาดและผิดเพี้ยนไปจากมังงะต้นฉบับมากๆ ครับ ผมพยายามแสดงให้ดีที่สุด แต่ก็ยังยากอยู่ดี มีอยู่ฉากหนึ่งครับ ผมต้องร่ายคำคมยาวๆ เกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างสไตรก์กับล้างท่อในการโยนโบว์ลิ่ง นั่นแหละยากจริงๆ ครับ ผมตีความว่าเหตุที่ตัวละครตัวนี้เล่าเรื่องเป็นเกร็ดเล็กน้อย เพราะการพูดความจริงตรงไปตรงมานั้นมักทำให้รู้สึกกระอักกระอ่วน ก๊อดจะกล่าวกับบรรดาตัวละครเอกในเชิงสัญลักษณ์เปรียบเทียบน่ะครับ และก็กล่าวสิ่งเดียวกันนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่ากับบรรดาเพื่อนร่อนเร่ของเขาด้วย”
ฮิโตมิ คุโรกิ รับบท คิริโกะ
คุโรกิเกิดที่เมืองฟุกุโอกะ หลังจากสำเร็จการศึกษาจากวิทยาลัยดนตรีทาการะซุกะในปี 1985 ก็มีผลงานการแสดงทั้งบนเวที จอเงิน และจอแก้ว ออกสู่สายตามากมาย เธอชนะรางวัล the Most Outstanding Performance by an Actress in a Leading Role จากเวที Japan Academy Awards จากการแสดงในเรื่อง Shitsurtakuen หรือ Lost Paradise
รายชื่อผลงานภาพยนตร์
Hasen no Marisu หรือ The Frame กำกับโดย ซาโตชิ อิซากะ (2000)
Honogurai Mizuno Sokokara หรือ Dark Water กำกับโดย ฮิเดโอะ นากาตะ (2002)
Ashura no Gotoku หรือ Like Asura กำกับโดย โยชิมิตสึ โมริตะ (2003)
Tokyo Tower กำกับโดย ทากาชิ มินาโมโตะ (2005)
Kaidan กำกับโดย ฮิเดโอะ นากาตะ (2007)
“ฉันหยุดอ่านมังงะต้นฉบับ 24 เล่มไม่ได้ค่ะ! เรื่องราวดึงดูดลุ้นระทึกมากๆ นี่ไม่ใช่มังงะสำหรับผู้ชายเท่านั้น ผู้หญิงก็อ่านแล้วเข้าถึงได้เหมือนกัน ฉันแสดงเป็นพี่สาวของเคนจิและแม่ของคันนะตัวน้อยๆ เป็นบทที่สำคัญมากนะคะ ชีวิตเธอเศร้า เธอเป็นหญิงสาวที่มักจะเลือกพลาด แต่ก็รับผิดชอบในทุกๆ สิ่งที่เธอเลือก ทั้งยังพยายามแก้ไขความผิดพลาดเหล่านั้นด้วย ฉากไหนที่มีฉันร่วมแสดงจะเป็นฉากเครียดๆ ค่ะ ในขณะที่ตัวฉันเองกลับมีความสุขมากๆ เพราะได้ร่วมงานกับผู้กำกับซึ่งตั้งใจจะสร้างหนังดีๆ ให้คนได้ดูอย่างสุดความสามารถ”