กรุงเทพฯ--12 พ.ย.--ฟิทช์ เรทติ้งส์
บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศให้อันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้น (National Short-term Rating) ที่ระดับ ‘F1(tha)’ แก่โปรแกรมการออกตั๋วแลกเงินอายุไม่เกิน 270 วัน ซึ่งสามารถออกหมุนเวียนใหม่ได้ มูลค่าไม่เกิน 8 พันล้านบาทของบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด มหาชน (“บริษัทฯ”)
อันดับเครดิตสะท้อนถึงโรงกลั่นน้ำมันของบริษัทฯ ที่มีศักยภาพและความสามารถเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ ความได้เปรียบในการจัดหาน้ำมันดิบและวัตถุดิบ และต้นทุนการกลั่นที่ต่ำ รวมถึงการดำเนินธุรกิจภายใต้เครื่องหมายการค้า “เอสโซ่”(Esso) ที่มีชื่อเสียงอันยาวนานในประเทศไทย การผลิตที่ต่อเนื่องไปยังการผลิตพาราไซลีนเป็นการเพิ่มความหลากหลายของสายผลิตภัณฑ์ สามารถทำให้การบริหารหน่วยผลิตต่างๆได้ประโยชน์สูงสุด และยังเป็นการลดความผันผวนของรายได้จากการกลั่นน้ำมัน นอกจากนี้อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงการสนับสนุนในด้านการดำเนินธุรกิจและการเงินจาก เอ็กซอน โมบิล คอร์ปอเรชั่นและบริษัทในเครือ โดยฟิทช์ได้จัดอันดับเครดิตสากลของเอ็กซอน โมบิล คอร์ปอเรชั่น ระยะยาวที่ระดับ ‘AAA’ และระยะสั้นที่ระดับ ‘F1+’ แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ เอ็กซอนโมบิล เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทฯ ซึ่งสามารถแต่งตั้งกรรมการส่วนใหญ่ของบริษัทฯ และยังสนับสนุนบุคลากรให้มาดำรงตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงในบริษัทฯ อีกด้วย นอกจากนั้น บริษัทฯ ยังได้รับประโยชน์จากการใช้เครือข่ายที่มีอยู่ทั่วโลกของเอ็กซอนโมบิล ในการจัดหาวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์น้ำมัน และสามารถใช้ประโยชน์จากการบริการทางด้านเทคโนโลยี การบริการด้านวิศวกรรม ทรัพยากรบุคคล และการวิจัยและพัฒนาของเอ็กซอนโมบิลเพื่อเพิ่มประสิทธิในการดำเนินงานของบริษัทฯ นอกจากนี้ เอ็กซอนโมบิล ยังได้เคยให้ความช่วยเหลือทางด้านการเงินแก่บริษัทฯ ซึ่งได้แก่การให้เงินกู้ยืมระหว่างบริษัทและวงเงินสินเชื่อต่างๆ หลังวิกฤตการเงิน 2540 (โดยมีเงื่อนไขเท่าเทียมกับธุรกรรมที่ทำกับบุคคลภายนอก) และการเพิ่มทุนในปี 2550 เป็นต้น
อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงฐานะการเงินที่ดีขึ้นของบริษัทฯ การเพิ่มทุนในครึ่งปีหลังของปี 2550 การเสนอขายหลักทรัพย์ต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) ในครึ่งปีแรกของปี 2551 และกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่แข็งแกร่งตลอดระยะเวลาสามปีที่ผ่านมา ได้ทำให้อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อม ค่าตัดจำหน่ายและค่าเช่า (Adjusted net debt/Operating EBITDAR) ลดลงเป็นอย่างมาก โดยลดลงจาก 7.3 เท่าในปี 2549 เป็น 2.6 เท่าในปี 2550 และ 1.6 เท่าในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2551 อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเนื่องจากการลงทุนของบริษัทฯ ที่มากขึ้น
ความแข็งแกร่งของอันดับเครดิตของบริษัทฯ ถูกลดทอนโดยปัจจัยความเสี่ยงจากความผันผวนที่สูงของราคาน้ำมันดิบ ค่าการกลั่น ตลอดจนราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีในตลาดโลก ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไรและการสร้างกระแสเงินสดของบริษัทฯ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงการที่บริษัทฯ จะต้องลงทุนปรับปรุงโรงกลั่นเพื่อสามารถผลิตผลิตภัณฑ์น้ำมันตรงตามมาตราฐานน้ำมัน EURO IV และความเสี่ยงจากการที่บริษัทฯ ต้องพึ่งพาแหล่งน้ำมันดิบและวัตถุดิบจากต่างประเทศ (ถึงแม้ความเสี่ยงดังกล่าว อาจลดทอนลงจากการที่บริษัทฯ ได้ใช้เครือข่ายทั่วโลกของเอ็กซอนโมบิล ในการจัดหาดังกล่าว) นอกจากนั้นบริษัทฯ ยังมีความเสี่ยงจากการที่มีโรงกลั่นน้ำมันที่เดียว (Single-Site)
บริษัทฯ ประกาศผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในปี 2550 โดยมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อม ค่าตัดจำหน่ายและค่าเช่า (Operating EBITDAR) จำนวน 1.28 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 66.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของค่าการกลั่นจาก 3.4 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2549 เป็น 7.3 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2550 Operating EBITDAR ของ บริษัทฯ ได้เพิ่มขึ้นต่อเนื่องในครึ่งปีแรกของปี 2551 โดยมีจำนวน 1.1 หมื่นล้านบาท เนื่องจากการค่าการกลั่นที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องถึงระดับ 15.3 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2551 โดยมีสาเหตุหลักมาจากกำไรจากน้ำมันในสินค้าคงคลัง แม้ว่าจะถูกลดทอนลงบางส่วนจากการลดลงอย่างมากของส่วนต่างระหว่างราคาขายของพาราไซลีนกับต้นทุนวัตถุดิบและปริมาณการขายของพาราไซลีนที่ลดลง อย่างไรก็ตามการที่ราคาน้ำมันดิบได้ปรับลดลงอย่างมากจากเดือนกรกฏาคม 2551 จนถึงปัจจุบัน จะมีผลทำให้กำไรในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2551 ของบริษัทฯ ลดลง โดยสาเหตุหลักมาจากการขาดทุนจากน้ำมันในสินค้าคงคลัง
บริษัทฯ ได้จัดตั้งขึ้นในปี 2508 โดยเป็นส่วนหนึ่งในกลุ่มของเอ็กซอนโมบิล เพื่อดำเนินธุรกิจการกลั่นและการตลาดน้ำมัน และธุรกิจปิโตรเคมีในประเทศไทย และบริษัทฯ ได้เติบโตจนกลายเป็นหนึ่งในบริษัทชั้นนำในธุรกิจการกลั่นและการตลาดน้ำมันในประเทศไทย โดยมีการผลิตต่อเนื่องไปยังผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี บริษัทฯ มีกำลังการกลั่นน้ำมันใหญ่เป็นอันดับสามและมีกำลังการผลิตพาราไซลีนใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังดำเนินธุรกิจด้านน้ำมันหล่อลื่น สารละลาย และสารพลาสติก แต่กำไรจากการดำเนินงานจากธุรกิจเหล่านี้คิดเป็นสัดส่วนเพียงเล็กน้อยของกำไรจากการดำเนินงานทั้งหมดของบริษัทฯ ทั้งนี้บริษัทฯ มีผู้ถือหุ้นประกอบด้วยกลุ่มเอ็กซอนโมบิล 66% กระทรวงการคลัง 7.3% และส่วนที่เหลือถือโดยนักลงทุนทั่วไป
หมายเหตุ : การจัดอันดับเครดิตภายในประเทศ (National Ratings) เป็นการวัดระดับความน่าเชื่อถือในเชิงเปรียบเทียบกันระหว่างองค์กรในประเทศนั้นๆ โดยจะใช้ในประเทศที่อันดับเครดิตแบบสากลของรัฐบาลในประเทศนั้นอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ อันดับเครดิตขององค์กรที่ดีที่สุดของประเทศได้จัดไว้ที่ระดับ “AAA” และการจัดอันดับเครดิตอื่นในประเทศ จะเป็นการเปรียบเทียบความเสี่ยงกับองค์กรที่ดีที่สุดนี้เท่านั้น อันดับเครดิตภายในประเทศได้ถูกจัดทำขึ้นเพื่อใช้ในตลาดในประเทศเป็นหลักและจะมีสัญลักษณ์ที่กำหนดไว้ต่อท้ายจากอันดับเครดิตสำหรับประเทศนั้นๆ เช่น “AAA(tha)” ในกรณีของประเทศไทย ดังนั้นอันดับเครดิตภายในประเทศจึงไม่สามารถใช้เปรียบเทียบระหว่างประเทศได้
ติดต่อ: เลิศชัย กอเจริญรัตนกุล, เอกพันธ์ พรหมประพันธ์, Vincent Milton, + 662 655 4755
คำจำกัดความของอันดับเครดิตและการใช้อันดับเครดิตดังกล่าวของ ฟิทช์ เรทติ้งส์ สามารถหาได้จาก www.fitchratings.com อันดับเครดิตที่ประกาศ หลักเกณฑ์และวิธีการจัดอันดับเครดิต ได้แสดงไว้ในเว็บไซต์ดังกล่าวตลอดเวลา หลักจรรยาบรรณ การรักษาข้อมูลภายใน ความขัดแย้งทางผลประโยชน์ที่อาจเกิดขึ้น แนวทางการเปิดเผยข้อมูลระหว่างบริษัทในเครือ กฏข้อบังคับรวมทั้งนโยบายและกระบวนการที่เกี่ยวข้องอื่นๆของฟิทช์ ได้แสดงไว้ในส่วน ‘หลักจรรยาบรรณ’ ในเว็บไซต์ดังกล่าวเช่นกัน