กรุงเทพฯ--13 พ.ย.--สหมงคลฟิล์ม
Twilight เป็นภาพยนตร์ที่เล่าถึงเรื่องราวเหนือธรรมชาติ แต่ลึกๆแล้วมันก็ยังเกี่ยวกับหนุ่มสาววัยรุ่นทั่วไปที่พูดถึงแรงรักแรงปรารถนา สิ่งเหล่านี้มันมีผลกระทบต่อการแสดงของพวกคุณอย่างไร
คริสเทน: สิ่งที่น่าสนใจคือ ถึงแม้ว่ามันจะพูดถึงความสัมพันธ์ของมนุษย์ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นรวมถึงโลกที่พวกเขาอยู่นั้นต่างจากความเป็นจริงอย่างสิ้นเชิง เหมือนกับว่าคุณจะต้องรับมือกับมันอย่างไร มันเป็นการเล่าถึงตำนานแวมไพร์ มันมีหลายสิ่งหลายอย่างที่อ้างอิงมาจากความจริง แต่ความจริงบางข้อนั้นมันก็ขัดกับอีกข้ออย่างสิ้นเชิง มันยังเป็นเรื่องของการอธิบายถึงว่าความรักคืออะไร ว่ามันแตกต่างแค่ไหนในการตกหลุมรักกับแวมไพร์... ฉันไม่รู้ว่าตัวเองกำลังพูดมีเหตุผลรึเปล่า ร๊อบ นายเข้าใจในสิ่งที่ฉันพูดไหม?
โรเบิร์ต: ไม่ (หัวเราะ) คือผมใช้เวลาอยู่นานเหมือนกันในการพยายามทำให้แวมไพร์ดูเป็นมนุษย์ที่สุด คือ เอ็ดเวิร์ด เป็นคนที่รู้ตัวเองดีว่าเขาคืออะไร และเขาก็รู้ดีว่าตัวเองจะมีผลกระทบอย่างไรบ้างกับมนุษย์คนอื่นๆ เพราะโดยทั่วไปแล้วมนุษย์ธรรมดาสามารถสร้างแรงดึงดูดให้กับเผ่าพันธ์แวมไพร์ได้ แต่การเข้ามาของ เบลล่า ก็ยกระดับแรงดึงดูดที่เขาไม่เคยสัมผัสถึงมาก่อน
เอ็ดเวิร์ด และ เบลล่า เป็นวัยรุ่นที่มีความสงสัยในตัวเอง พวกเขามีความกลัวและบางครั้งก็รู้สึกไม่มั่นใจในตัวเอง แต่การมาพบกันระหว่างสองคนนั้น ก็เหมือนเป็นส่วนประกอบหลักในการเติมเต็มให้แก่กันและกัน
คริสเทน: ฉันคิดว่าความสงสัยในตัวเองจะไม่เกิดขึ้นเฉพาะในหมู่เด็กวัยรุ่นเท่านั้น เพราะตัวละครหลักตัวหนึ่งในเรื่องมีอายุมากกว่า 100 ปีแล้ว ส่วนตัวละครที่ฉันเล่นเล่นนั้น เดินทางเข้ามาในเรื่องด้วยความสงสัยและความไม่มั่นใจในตัวเองมากมาย แต่เธอก็พร้อมสละทุกสิ่งทุกอย่างเมื่อพบกับเขาคนนี้ มันฟังดูอาจจะไร้เดียงสา แต่เธอก็มั่นใจในการตัดสินใจของตัวเอง และตกลงใจที่จะทำทุกอย่างเพื่อเขา
โรเบิร์ต: ใช่ ผมเห็นด้วยกับ คริสเทน มันยังเป็นเรื่องของมุมมองของแต่ละฝ่าย เธอเห็นเขาว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่สมบูรณ์แบบ และเขาก็เห็นเธอในแบบเดียวกัน คุณจะเห็นได้จากการที่เขาพูดกับเธอว่า "ผมจะไม่มีชีวิตถ้าปราศจากคุณ เพราะคุณคือชีวิตของผม" ซึ่งก่อนหน้าที่จะพบ เบบล่า เขาก็จะคิดอยู่กับตัวเองว่า "ฉันอยากตาย หรือไม่ก็กลับไปเป็นมนุษย์" คือผมว่าเขาเหมือนอยู่ในโลกแห่งการลงทัณฑ์ และเมื่อ เบลล่า เดินทางเข้ามาในชีวิต ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป
พวกคุณรู้สึกกดดันไหมที่ต้องเข้ามาสวมวิญญาณเป็นตัวละครที่มีคนนิยมชมชอบกันทั่วโลกเช่นนี้
คริสเทน: ตอนแรกฉันไม่ทราบถึงความหมกมุ่นของเหล่าแฟนๆเลย แต่พวกเราเริ่มรู้สึกได้ในระหว่างการถ่ายทำ แต่หลังจากนั้น ฉันก็ค่อยมารู้ว่าสิ่งที่พวกเราได้สร้างสรรค์ขึ้นมานั้นเป็นสิ่งที่ดูยิ่งใหญ่จริงๆ มีผู้หญิงหลายคนแสดงความเห็นเกี่ยวกับตัวฉัน ซึ่งบางครั้งมันก็อาจจะดูรุนแรงเกินไปซะหน่อย ซึ่งฉันคิดว่าตัวเองโชคดีที่เพิ่งจะมารับรู้ เพราะมันอาจจะกระทบถึงการแสดงของฉันในระหว่างถ่ายทำก็เป็นได้ และถ้าคุณรู้สึกกดดันในระหว่างแสดงแล้ว ตัวละครที่คุณเล่นนั้นก็จะไม่สามารถขึ้นมามีชีวิตได้จริงๆ
โรเบิร์ต: ผมรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องดีในการมีความกดดัน เพราะเมื่อคุณแสดงหนังเรื่องไหนด้วยความยากลำบาก แต่สุดท้ายแล้วกลับไม่มีคนหันมาสนใจ คุณก็จะรู้สึกท้อแท้ไปกับพลังงานที่คุณอุตส่าห์ทุ่มลงไป ดังนั้นในเรื่องนี้ ที่ผมได้ใส่ทุกสิ่งทุกอย่างลงไปหมด ผมรู้ดีว่าอย่างน้อยก็มีคนรอคอยผลงานอยู่มากมาย และคุณก็ต้องพยายามทำให้มันอยู่เหนือความคาดหวังของคนดู ผมว่านั้นแหละคือเรื่องที่ท้าทายมาก
พูดถึงความสัมพันธ์ พวกคุณมีการทำความรู้จักกันอย่างไรบ้าง
คริสเทน: พวกเรานั่งคุยกันที่โต๊ะกาแฟอยู่สองวันสองคืน โดยส่วนมากแล้วจะเป็นการอ่านบทภาพยนตร์ร่วมกัน ถึงแม้ว่าพวกเราก็มีการเตรียมตัวกันมาในช่วง พรี-โปรดักชั่น แล้ว แต่ฉันคิดว่านั้นก็เป็นสองวันที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด (หัวเราะ)
โรเบิร์ต: คือพวกเรามีการซ้อมบทด้วยการหลายครั้ง เพราะสถานที่ที่พวกเราเราอยู่ระหว่างถ่ายทำ มันอยู่ห่างกันแค่สองช่วงตึกเท่านั้นเอง
พวกคุณมีสิ่งที่ชอบเหมือนกันไหม เช่น ภาพยนตร์, หนังสือ, นักประพันธ์ ฯลฯ
คริสเทน: ภาพยนตร์เรื่อง Last Tango in Paris
โรเบิร์ต: ผมว่านั้นเป็นการบอกถึงความสัมพันธ์ของตัวละครทั้งสอง สำหรับสิ่งเราเลือกที่จะแสดงออกมาใน Twilight
คุณรู้สึกยังไงกับ คริสเท็น เช่น สไตล์ในการแสดงของเธอ หรืออะไรเป็นสิ่งที่ทำให้คุณประทับใจในตัวเธอ
โรเบิร์ต: ผมว่า คริสเท็น เป็นนักแสดงที่เก่งที่สุดในเจเนเรชั่นนี้ และนั้นก็สิ่งที่ทำให้ผมตกลงรับบทในภาพยนตร์เรื่องนี้... ขอผมขีดฆ่าสิ่งที่พูดออกไปได้ไหม (หัวเราะ)
คริสเทน: ฉันคิดแค่ว่าเขาหล่อมาก (หัวเราะ)