กรุงเทพฯ--17 พ.ย.--แบรนด์คอม คอนซัลแทนส์
บริษัทเหมราชพัฒนาที่ดิน (มหาชน) ประกาศผลการดำเนินงานสำหรับไตรมาส 3 ปี 2551 สรุปได้ดังนี้
กำไรสุทธิไตรมาส 3 และ กำไรสุทธิ ช่วง 9 เดือนแรกของปี 2551
ในไตรมาส 3 ปี 2551 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 389.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 27 จากไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา บริษัทฯ มีกำไรจากการดำเนินงานจำนวน 386.2 ล้านบาทเพิ่มขึ้นร้อยละ 30 จากไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา การเพิ่มขึ้นของกำไรสุทธิจากการดำเนินงานในไตรมาส 3 ปี 2551 นี้เนื่องมาจากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นและภาษีเงินได้ของบริษัทฯ ที่ลดลงจากในปีที่ผ่านมา
สำหรับงวดระยะเวลา 9 เดือนแรกของปี 2551 บริษัทฯ มีผลกำไรสุทธิทั้งสิ้น 1,265.6 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 418.6 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 49 จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2550 เนื่องมาจากกำไรสุทธิงวดระยะเวลา 9 เดือนแรกของปี 2551 ได้รวมเงินปันผลและกำไรจากบริษัทร่วมจำนวน 62.1 ล้านบาท การปรับปรุงภาษีธุรกิจเฉพาะและค่าธรรมเนียมการโอนจำนวน 248.2 ล้านบาทจากไตรมาสที่ผ่านๆมาและภาษีเงินได้ของบริษัทฯ ลดลงเมื่อเปรียบเทียบปีที่ผ่านมา
นายเดวิด นาร์โดน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ได้ให้ความเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ว่า “บริษัทเหมราชฯ มีกำไรสุทธิใน 9 เดือนแรกปี 2551 จำนวน 1,266 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 419 ล้านบาทหรือร้อยละ 49 มีรายได้รวมจำนวน 4,199 ล้านบาทเมื่อเปรียบเทียบกับ 3,742 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาหรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 12 ดังที่บริษัท ฯ ได้คาดการณ์ล่วงหน้าถึงการลดลงของรายได้จากโครงการที่พักอาศัยในปี 2551 (ร้อยละ 5 ของรายได้จากการดำเนินงาน) เมื่อเทียบกับปี 2550 (ร้อยละ 43 ของรายได้จากการดำเนินงาน) ซึ่งได้ถูกแทนที่ทั้งหมดด้วยรายได้ที่เติบโตขึ้นจากธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม สาธารณูปโภค และอสังหาริมทรัพย์ของบริษัท ฯ
บริษัทฯ มีความพึงพอใจเป็นอย่างยิ่งที่เป็นผู้นำในการขายที่ดินนิคมอุตสาหกรรมด้วยยอดขาย 1,319 ไร่ (419 เอเคอร์) ใน 9 เดือนแรก ปี 2551 ซูซูกิ มอเตอร์และบริษัทฯ ชั้นนำอื่นๆ ได้เลือกนิคมอุตสาหกรรมเหมราชจากจำนวนรวมสัญญา 47 สัญญา เป็นลูกค้ารายใหม่จำนวน 21 รายและจากการขยายกิจการของลูกค้าเก่าอีก 26 ราย บริษัทได้คาดการณ์และได้เตรียมความพร้อมถึงความผันผวนของตลาดเงินในระยะสั้นเนื่องมาจากวิกฤตการเงินโลก สำหรับระยะยาวปัจจัยพื้นฐานของประเทศไทยยังแข่งแกร่งและรูปแบบการทำธุรกิจ(Business Model) ของบริษัทก็ยังแข็งแกร่ง การลงทุนในโครงการสาธารณูปโภคโดยภาครัฐและการรวมกลุ่มกันของกลุ่มอุตสาหกรรมเป็นตัวขับเคลื่อนการลงทุนของภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมปิโตรเคมี และกลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆ ในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ดีทรอย์ตะวันออกที่อีสเทิร์นซีบอร์ด
ด้วยยอดขายของบริษัทที่มีจนถึงปัจจุปันนี้ บริษัทฯ ขอยืนยันเป้าหมายยอดขายที่ดินอุตสาหกรรมในปี 2551 ที่ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 1,700 ไร่ (680 เอเคอร์) จากประมาณการเมื่อต้นปี 2551 จำนวน 1,300 ไร่ (520 เอเคอร์)
บริษัทฯ มีจุดยืนทางธุรกิจที่มั่นคงท่ามกลางสภาวะที่ผันผวนและได้ขยายฐานรายได้ออกไปเพื่อเตรียมพร้อมเมื่อสภาวะทุกอย่างกลับสู่ปกติ บริษัทฯ มุ่งมั่นใช้ทักษะในการพัฒนาไม่ว่าจะเป็นโครงการพลังงานหรือโครงการสาธารณูปโภค ใช้ความแข็งแกร่งทางการเงินไปสู่การขายธุรกิจ ในขณะเดียวกันเพื่อลดความเสี่ยงให้กับบริษัทฯ และเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนสูงสุดให้แก่ผู้ถือหุ้น”
รายได้รวมและผลการดำเนินงานใน 9 เดือนแรก ปี 2551
ในช่วง 9 เดือนแรกปี 2551 บริษัทฯ มีรายได้รวมจำนวน 4,198.9 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมาจำนวน 3,742.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 12 โดยมีรายได้จากการประกอบธุรกิจหลักจำนวน 3,810.6 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 3 เปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา รายได้การขายที่ดินนิคมอุตสาหกรรมในครึ่งปีแรกปี 2551 ซึ่งรวมกำไรจากนิคมอุตสาหกรรมร่วมทุนจำนวน 2,462.5 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 101 โดยมีรายได้จากการขายพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมที่รอการรับรู้อีกเป็นจำนวน1,120 ล้านบาทจากวิธีการรับรู้รายได้ตามการแล้วเสร็จของการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมเฟสใหม่อีก 3 เฟสที่จะรอการรับรู้ในช่วง 3-18 เดือนข้างหน้า
รายได้จากระบบสาธารณูปโภครวมถึงค่าบริการระบบสาธารณูปโภคในนิคมอุตสาหกรรม กำไรและเงินปันผลจากบริษัทร่วมด้านพลังงงานและสาธารณูปโภค และค่าบริการระบบสาธารณูปโภคและบริการอื่นๆ ที่เพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 681.9 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 19 รายได้จากเช่าที่รวมถึงการเช่าโรงงานสำเร็จรูป การให้เช่าฐานวางท่อ และการให้เช่าออฟฟิสสำนักงานเพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 277.6 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 32 รายได้จากการขายอสังการิมทรัพย์ที่รวมถึงการขายโรงงานสำเร็จรูปการขายโครงการที่พักอาศัย ที่ดินและอสังหาริมทรัพย์อื่นๆ ลดลงเป็นจำนวน 305.8 ล้านบาทจาก 1,676.1 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 77 ซึ่งลดลงจากการแล้วเสร็จของการพัฒนาโครงการที่พักอาศัยในปีที่ผ่านมา
บริษัทฯ มีกำไรขั้นต้นจำนวน 1,649.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา มีกำไรจากการดำเนินงาน (EBITDA) จำนวน 1,324.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6 ด้วยอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) และอัตรากำไรจากการดำเนินงาน (EBITDA Margin) ที่ 43% และ 35% ตามลำดับ
เหตุการณ์สำคัญใน 9 เดือนแรก ปี 2551
- บริษัทฯ มียอดขายที่ดินอุตสาหกรรม จำนวน 1,319 ไร่ (528 เอเคอร์) จาก 47 สัญญา โดยในจำนวนนี้เป็นลูกค้าใหม่จำนวน 21 รายและจากการขยายกิจการของลูกค้ารายเดิมจำนวน 26 ราย รวมจำนวนลูกค้าจนถึงปัจจุบันทั้งสิ้น 388 ราย จาก 571 สัญญา เป็นลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์จำนวน 129 รายด้วยเงินลงทุนรวมกว่า 15,000 ล้านเหรียญดอลล่าร์สหรัฐ
- บริษัทฯ ได้ขายที่ดินจำนวน 412 ไร่ (165 เอเคอร์) ที่นิคมอุตสาหกรรมเหมราชอีสเทิร์นซีบอร์ดเฟส 2 ให้กับซูซูกิมอเตอร์
- บริษัทฯให้เช่าโรงงานสำเร็จรูปจำนวน 11 สัญญา ขายจำนวน 5 สัญญา รวมทั้งสิ้น 16 สัญญา
- ทริสเรตติ้งได้เพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทฯ เป็น A-/Stable จาก BBB+/Stable
- โครงการโรงไฟฟ้า 660 เมกกะวัตต์โดยบริษัท เกคโค่-วัน จำกัด ซึ่งบริษัทฯถือหุ้นอยู่ 35% ได้เซ็นสัญญาก่อสร้างโรงงาน เซ็นสัญญาซื้อขายไฟกับ กฟผ. และเซ็นสัญญาเงินกู้เรียบร้อยแล้ว
- คณะกรรมาการบริษัทฯ ได้มีมติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจำนวน 0.035 บาทต่อหุ้นสำหรับผลประกอบการครึ่งปีแรกในปี 2551 ในวันที่ 12 ธันวาคม 2551 และจะมีการปิดสมุดพักการโอนหุ้นในวันที่ 28 พฤศจิกายน 2551
งบดุลรวมสิ้นสุด วันที่ 30 กันยายน 2551
ณ วันที่ 30 กันยายน 2551 บริษัทฯ ได้แสดงสินทรัพย์รวม จำนวน 14,23 ล้านบาท หนี้สินรวมจำนวน 5,754 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้น จำนวน 8,469 ล้านบาท สำหรับสัดส่วนของหนี้สินสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ อยู่ในระดับที่ 0.49 ต่อ 1 โดยมีเงินสดและเงินฝากเป็นจำนวน 1,605 ล้านบาท
รายละเอียดเพิ่มเติมของบริษัทเหมราช สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.hemaraj.com หรือ www.theparkresidence.co.th หรือติดต่อทางอีเมล์ที่
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อ
บริษัท แบรนด์คอม คอนซัลแทนส์ จำกัด
คุณ ไพลิน บูรณะมิตรานนท์ หรือ คุณศศินี เอาเจริญภักดิ์
โทร. 0-2642-9620 (12 สาย) โทรสาร 0-2642-9622