กรุงเทพฯ--18 พ.ย.--อาซิแอม เบอร์สัน-มาร์สเตลเลอร์
บิ๊กซีเผยยอดขายและกำไรสุทธิไตรมาส 3 เพิ่มขึ้น แม้ภาพรวมตลาดยังนิ่ง พร้อมเปิดอีก 3 สาขาในไตรมาส 4 ย้ำสิ้นปีนี้ เติบโตไม่ต่ำกว่าปีที่แล้ว
นายอีฟ แบร์กนาร์ เบรบ็อง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลประกอบการในช่วงไตรมาสที่ 3 ปี 2551 ว่า บิ๊กซีมียอดขาย 16,943 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มียอดขาย 15,113 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิจำนวน 568 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.2 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 493 ล้านบาท แม้ภาพรวมตลาดจะไม่เอื้ออำนวย อีกทั้งเป็นช่วงฤดูฝนและมีปัญหาน้ำท่วม
“ยอดขายและกำไรที่เติบโตขึ้นนี้ เป็นผลจากความสำเร็จของการออกแคมเปญและโปรโมชั่นส่งเสริมการขายในไตรมาส 3 โดยเฉพาะแคมเปญครบรอบ 15 ปีของบิ๊กซี ‘ฉลอง 15 ปี แจกรถ 15 คัน’ และการแจกคูปองส่วนลดซื้อสินค้าทุกเดือน เพื่อสร้างสีสันและกระตุ้นการใช้จ่ายของผู้บริโภค ซึ่งจูงใจลูกค้าให้เข้ามาจับจ่ายซื้อสินค้าที่บิ๊กซีเพิ่มขึ้นประมาณ 25% จากช่วงปกติ รวมทั้งการเปิดตัวแคมเปญ “ช้อปโทรฟรี” กับ ทรูมูฟ ซึ่งเป็นรายการส่งเสริมการขายกับลูกค้าโดยตรงแบบ one-to-one marketing ทำให้ในปีนี้มียอดซื้อของสมาชิกบัตรเพิ่มขึ้นถึง 334% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว” นายอีฟกล่าว
นอกจากนี้ ในไตรมาส 3 บิ๊กซียังได้เปิดสาขาใหม่เพิ่มขึ้นรวม 3 แห่ง ได้แก่ สาขานวนคร สาขารังสิต คลอง 6 และสาขายโสธร ทำให้บิ๊กซีมียอดขายและรายได้ค่าเช่าที่เพิ่มขึ้นจากสาขาใหม่ โดยมีรายได้ค่าเช่าและค่าบริการในช่วงไตรมาส 3 จำนวน 840 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 166 ล้านบาทหรือ 24.7%
สำหรับช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ บิ๊กซียังคงเปิดสาขาใหม่ตามแผนการดำเนินงานที่วางไว้ ได้แก่ สาขาสระแก้ว สาขาวารินชำราบ และสาขามหาสารคาม ซึ่งเป็นสาขาขนาดคอมแพ็คและมีร้านค้าเช่าในส่วนพลาซ่า โดยมีมูลค่าเงินลงทุนรวมประมาณ 1,200 ล้านบาท ซึ่งเปิดไปแล้วเมื่อเดือนตุลาคมและต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยได้รับการตอบรับอย่างดีจากประชาชนในจังหวัดทั้ง 3 สาขา โดยปัจจุบันบิ๊กซีมีสาขารวมทั้งสิ้น 66 สาขา
ทั้งนี้ การขยายสาขาของบิ๊กซีในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดการจ้างงานในท้องถิ่นรวมกว่า 15,000 คน และช่วยกระจายรายได้ให้แรงงานท้องถิ่นมีรายได้รวมทั้งสิ้นกว่า 5,000 ล้านบาท อีกทั้ง บิ๊กซียังได้ชำระภาษี สู่ท้องถิ่นกว่า 8,000 ล้านบาท นอกจากนี้ บิ๊กซียังร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนกิจกรรมของชุมชน โดยเปิดโอกาสให้ชุมชนได้มีสถานที่จำหน่ายสินค้าโอทอปและนำเสนอสินค้าโอทอปจากภูมิปัญญาท้องถิ่นหลากหลายชนิดมาให้ประชาชนต่างถิ่นได้ซื้อสินค้าอีกด้วย
“สำหรับไตรมาส 4 ซึ่งเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดของปี เนื่องจากเป็นช่วงเทศกาลรื่นเริงต่างๆ และกำลังซื้อของผู้บริโภคในต่างจังหวัดน่าจะเพิ่มขึ้นจากการที่สินค้าเกษตรมีราคาสูงขึ้น โดยบิ๊กซีจะยังคงเน้นกิจกรรมทางการตลาด ตลอดจนกิจกรรมส่งเสริมการขายต่างๆ ซึ่งนอกจากจะสอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคแล้ว บิ๊กซียังคงเน้นกลยุทธ์ด้านราคา ซึ่งจะช่วยให้ผู้บริโภคได้ซื้อสินค้าในราคาพิเศษ รวมทั้งสินค้าเฮ้าส์แบรนด์ ทำให้เรามั่นใจว่า รายได้ของปี 2551 จะเติบโตไม่ต่ำกว่าปีที่ผ่านมาตามเป้าหมาย” นายอีฟกล่าวอย่างมั่นใจ
บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) (ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ฯ: BIGC) ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2536 เป็นผู้ดำเนินธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ในรูปแบบซูเปอร์เซ็นเตอร์ ชื่อ บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ ซึ่งจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคและบริโภคที่หลากหลายในราคาสมเหตุสมผล ภายใต้สโลแกน “เราให้คุณมากกว่าคำว่าถูก” เพื่อสร้างความพึงพอใจแก่ผู้บริโภค ปัจจุบันมีสาขาที่เปิดให้บริการจำนวน 66 สาขาครอบคลุมทั่วประเทศ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ สามารถเข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ของบริษัทฯ ได้ที่ www.bigc.co.th
รายละเอียดเพิ่มเติม โปรดติดต่อ:
สาธิดา ศรีธัญญาธรณ์ หรือ สุภาภรณ์ สุธรรมโกศล
อาซิแอม เบอร์สัน-มาร์สเตลเลอร์
โทร. 0 2252 9871