กรุงเทพฯ--8 ธ.ค.--บีโอไอ
บีโอไอเผยยอดขอรับส่งเสริมการลงทุน 11 เดือน 4.36 แสนล้านบาท โดยจำนวนโครงการเพิ่มขึ้น 2.8% มูลค่าเงินลงทุนลดลงจากช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 25% ยอมรับตัวเลขเงินลงทุนเป็นไปตามคาด เพราะต้องเผชิญปัญหาทั้งภาวะการเมืองและเศรษฐกิจโลกชะลอตัว หากรวมโครงการที่ได้รับส่งเสริมช่วง 2 เดือนและในวันนี้ จะมีมูลค่าถึง เร่งอนุมัติแล้วกว่า 200,000 ล้านบาท และยังมีโครงการต่อคิวรอพิจารณาอีกกว่า 1.9 แสนล้านบาท
นายประชา พรหมนอก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) ว่า ที่ประชุมได้รับทราบรายงานภาพรวมของการขอรับส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) โดยในช่วง 11 เดือน (ม.ค.-พ.ย.2551) ที่ผ่านมา มีโครงการที่ยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนทั้งสิ้น 1,198 โครงการ เพิ่มขึ้น 2.8 %จากช่วงเดียวกันปี 2550 ที่มีจำนวน 1,165 โครงการ
ทั้งนี้มีมูลค่าเงินลงทุนรวม 436,000 ล้านบาท ปรับลดลงประมาณ 25% จากช่วงเดียวกันของปี 2550 ที่มีมูลค่าอยู่ที่ 586,000 ล้านบาท โดยอุตสาหกรรมที่นักลงทุนให้ความสนใจขอรับส่งเสริมการลงทุนสูงสุด ได้แก่ อุตสาหกรรมบริการ และสาธารณูปโภค อุตสาหกรรมชิ้นส่วน ยานยนต์ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น
“แม้มูลค่าขอรับส่งเสริมการลงทุนจะลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา แต่ก็เป็นไปตามที่ได้คาดการณ์ไว้แล้วว่ามูลค่าเงินลงทุนปีนี้จะอยู่ที่ประมาณ 4-5 แสนล้านบาท เนื่องจากประเทศไทยต้องเผชิญกับปัญหาทางด้านการเมือง และเศรษฐกิจโลกอยู่ในภาวะชะลอตัว โดยหากพิจารณาที่จำนวนโครงการที่ยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนยังมีทิศทางที่ดีและเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ยังคงให้ความสนใจเข้ามาดำเนินกิจการในประเทศไทย” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมกล่าว
นายประชา กล่าวต่อไปว่า สำหรับการเร่งรัดส่งเสริมการลงทุนในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ปัจจุบันบีโอไอ สามารถพิจารณาส่งเสริมการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ ที่คั่งค้างตั้งแต่ช่วงกลางปีได้แล้วจำนวนมาก โดยช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา (ต.ค. - พ.ย. 2551) มีการอนุมัติส่งเสริมการลงทุนไปแล้วถึง 358 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวมกว่า 159,825 ล้านบาท ซึ่งเมื่อรวมจำนวนโครงการ และมูลค่าเงินลงทุนของโครงการที่ได้รับการอนุมัติในการประชุมบอร์ดในวันนี้ จะทำให้มีโครงการที่ได้รับการส่งเสริม 368 โครงการ รวมมูลค่าเงินลงทุน 216,170 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีโครงการลงทุนที่รอการพิจารณาให้การส่งเสริมอีก 253 โครงการ รวมมูลค่าเงินลงทุน 190,256 ล้านบาท
ส่วนการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) มีมูลค่ารวม 290,000 ล้านบาท ปรับลดลงประมาณ 38% จากช่วงเดียวกันปี 2550 ที่มีมูลค่า 473,000 ล้านบาท ซึ่งกลุ่มนักลงทุนญี่ปุ่นให้ความสนใจลงทุนในประเทศไทยมากที่สุด มีมูลค่าลงทุนรวม 97,000ล้านบาท รองลงมาเป็นกลุ่มยุโรป มีมูลค่ารวม 64,000 ล้านบาท และสิงคโปร์ มีมูลค่ารวม 38,000 ล้านบาท เป็นต้น
สำหรับบริษัทขนาดใหญ่ที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนไปแล้ว อาทิ Western Digital มูลค่าเงินลงทุน 15,260 ล้านบาท โกลว์ พลังงาน มูลค่าเงินลงทุน 16,896 ล้านบาท บริษัทการบินไทย มูลค่าเงินลงทุน 17,622 ล้านบาท ทิพากรโซล่า มูลค่าเงินลงทุน 6,500 ล้านบาท กรุงเทพ ซินธิติกส์ มูลค่าเงินลงทุน 6,089 ล้านบาท และสยามโตโยต้าอุตสาหกรรม มูลค่าเงินลงทุน 8,129 ล้านบาท เป็นต้น