ปี 52 บางจากฯ ก้าวสู่ศักยภาพใหม่ โรงกลั่นทันสมัยรุกธุรกิจครบวงจร

ข่าวเศรษฐกิจ Monday December 15, 2008 16:22 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--15 ธ.ค.--บางจากปิโตรเลียม บางจากฯ คาดการณ์แนวโน้มการใช้น้ำมันในประเทศลดลงตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว บริหารความเสี่ยงเตรียมสภาพคล่องทางการเงินอย่างเพียงพอต่อการดำเนินกิจการและขยายธุรกิจเพิ่มเติม ชี้มีโรงกลั่นทันสมัยระดับโลกช่วยลดต้นทุนและเพิ่มรายได้ ดร.อนุสรณ์ แสงนิ่มนวล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แนวโน้มการขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจในปี 2552 จะชะลอตัวลง และมีปัจจัยภายนอกหลายด้านที่อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินงาน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของราคาน้ำมัน สภาพคล่องในระบบการเงิน ภาวะการว่างงาน ฯลฯ บริษัทฯ จึงได้วางยุทธศาสตร์และแผนการดำเนินงานอย่างระมัดระวัง เพื่อรักษาอัตราการเติบโตทางธุรกิจให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม พร้อมทั้งขยายธุรกิจใหม่เพื่อสร้างรายได้ให้กับบริษัทอย่างต่อเนื่อง ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างงานในภาวะที่เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจของประเทศอยู่ในภาวะชะลอตัว ดร.อนุสรณ์ กล่าวอีกว่า จากวิกฤติเศรษฐกิจโลกส่งผลให้สภาพคล่องทางการเงินในตลาดมีความตึงตัว บริษัทฯ จึงได้เตรียมสภาพคล่องโดยทำสัญญากับสถาบันการเงินซึ่งเป็นกรอบเงินกู้ทั้งระยะสั้นและระยะยาวกว่าหมื่นล้านบาท ในเงื่อนไขและอัตราดอกเบี้ยที่ดีเพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านการเงิน รองรับการดำเนินธุรกิจและการขยายธุรกิจเพิ่มเติมตามความเหมาะสมของสภาวะเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ ดร.อนุสรณ์ กล่าวถึงแนวโน้มของค่าการกลั่นและความต้องการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในปี 2552 ว่า จะลดลงตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ส่งผลให้การแข่งขันในกลุ่มธุรกิจโรงกลั่นเพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ มีจุดแข็งที่มีธุรกิจด้านการตลาดรองรับการผลิต จึงสามารถกำหนดการผลิตและจำหน่ายให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมและมีกำไรได้ส่วนโครงการปรับปรุงคุณภาพน้ำมัน (Product Quality Improvement: PQI) ที่บริษัทฯ ใช้งบลงทุน 15,000 ล้านบาท เพื่อให้ได้น้ำมันเบนซินและดีเซลที่มีคุณภาพในปริมาณและมูลค่าที่สูงขึ้น โดยลดสัดส่วนน้ำมันเตาจากร้อยละ 33 เหลือร้อยละ 9 เป็นการปรับโฉมภาพลักษณ์โรงกลั่นน้ำมันบางจากแบบ Simple Refinery เป็น Complex Refinery มีความทันสมัย ศักยภาพระดับโลก ใช้เทคโนโลยีล่าสุดจากสหรัฐอเมริกาทำให้ประหยัดพลังงานในกระบวนการกลั่น และลดต้นทุนด้านการผลิต ซึ่งจะเริ่มผลิตในไตรมาสแรกปี 2552 คาดว่าจะทำให้บริษัทฯ มีกำไรก่อนหักภาษี ดอกเบี้ยจ่าย และค่าเสื่อมราคา (EBITDA) เพิ่มขึ้นจากเฉลี่ยปีละ 2,000-4,000 ล้านบาท เป็น 6,000-8,000 ล้านบาท ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ราคาน้ำมันในขณะนั้น นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้ติดตั้งเครื่องมือตรวจวัดคุณภาพอากาศ คุณภาพน้ำทิ้ง และข้อมูลอื่นๆ ที่อาจมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในบริเวณชุมชนรอบโรงกลั่น โดยแสดงผลให้สาธารณชนทราบอย่างเปิดเผยผ่านระบบออนไลน์ที่หน้าโรงกลั่นน้ำมันบางจาก ถือว่าเป็นโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่แห่งแรกในประเทศไทยที่มีการเปิดเผยข้อมูลต่อประชาชนด้วยระบบที่ทันสมัย ในขณะเดียวกัน บริษัทฯ อยู่ระหว่างการศึกษาถึงความเป็นไปได้ของธุรกิจใหม่ เพื่อสร้างรายได้ให้กับบริษัทอย่างต่อเนื่อง เช่น ธุรกิจด้านทรัพยากรธรรมชาติ พลังงานทดแทน และธุรกิจเอทานอลครบวงจร เป็นต้น เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างงานในภาวะที่เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจของประเทศอยู่ในภาวะชะลอตัว สำหรับธุรกิจด้านการตลาด บริษัทฯ ได้พัฒนาและปรับปรุงอยู่ตลอดเวลา เพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้ามีเป้าหมายเป็น 1 ใน 3 บริษัทที่ผู้บริโภคเลือกใช้บริการ โดยมีแผนปรับโฉมสถานีบริการในทำเลหลักให้มีภาพลักษณ์ใหม่ (Re-branding) และพัฒนาสถานีบริการใหม่ขนาดใหญ่ รวมทั้งพัฒนางานบริการให้เป็น “สถานีบริการในใจคุณ” เพื่อจูงใจให้ลูกค้ามาใช้ซ้ำ และสร้างความเชื่อมั่นต่อแบรนด์ “บางจาก” ในช่วงที่ภาวะราคาน้ำมันแพง บริษัทฯ ได้ผลิตและจำหน่ายพลังงานทดแทนให้ประชาชนได้ใช้น้ำมันที่มีคุณภาพดี ราคาถูก ซึ่งที่ผ่านมาได้รับการยอมรับจากประชาชนอย่างกว้างขวางถึงความเป็นผู้นำพลังงานทดแทน ทั้งแก๊สโซฮอล์ E10, E20, E85 และไบโอดีเซล B5 และสนับสนุนเศรษฐกิจชุมชนด้วยการปรับปรุงให้ปั๊มสหกรณ์และปั๊มชุมชนเป็นปั๊มมาตรฐานให้บริการครบวงจร พร้อมทั้งขยายธุรกิจ Non-Oil เช่น กาแฟอินทนิล บริการ Green Service เพื่อเพิ่มรายได้ในสถานีบริการน้ำมัน“บางจากฯ ได้สร้างจุดเด่นในสถานีบริการด้วยการทำห้องน้ำให้มีความร่มรื่นเหมือนอยู่ในสวน บนทำเลทางหลวงสายหลัก ปรับปรุงปั๊ม Self Serve ให้มีความทันสมัย พัฒนางานด้านบริการให้เป็น Fast Service ภายใต้แนวคิดเติมน้ำมันทันใจใน 3 นาที และเพิ่มสถานีบริการจำหน่าย NGV เพื่อรองรับความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้น” ดร.อนุสรณ์ กล่าว สำหรับธุรกิจอุตสาหกรรมน้ำมันหล่อลื่นจะขยายฐานลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ ขยายช่องทางการจำหน่ายผ่าน Lube Shop โรงงานอุตสาหกรรม และเพิ่มตัวแทนจำหน่ายในต่างประเทศให้มากขึ้น เช่น ไต้หวัน นิวซีแลนด์ ฟิจิ พม่า ลาว กัมพูชา ฯลฯ ดร.อนุสรณ์ กล่าวถึงภาวะราคาน้ำมันในปี 2551 ว่าทรงตัวอยู่ในระดับสูงตั้งแต่ต้นปี โดยราคาในตลาดนิวยอร์ก (WTI) ในเดือนกรกฎาคม แตะระดับสูงสุดที่ 147.27 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เพราะมีการเก็งกำไรของนักลงทุนในตลาดซื้อขายน้ำมันดิบล่วงหน้า เนื่องจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่ผันผวน นับตั้งแต่ช่วงปลายปี 2550 ที่เกิดวิกฤตการณ์ ทางการเงินในสหรัฐอเมริกา จากปัญหาการปล่อยสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ที่ด้อยคุณภาพ (Sub-prime Mortgages) และกรณีข้อพิพาทโครงการนิวเคลียร์ระหว่างอิหร่านกับชาติตะวันตกที่ไม่มีทางออกอย่างเป็นรูปธรรม อย่างไรก็ดี ตั้งแต่ไตรมาส 3 เป็นต้นมา เศรษฐกิจโลกโดยรวมเข้าสู่ภาวะถดถอย จากปัญหาวิกฤติการเงินในหลายประเทศที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาที่แพร่ขยายเป็นวงกว้าง ส่งผลให้สถาบันการเงินขาดสภาพคล่องในการลงทุน จึงเทขายสัญญาน้ำมันล่วงหน้า ทำให้ราคาน้ำมันดิบปรับลงอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งแตะจุดต่ำสุดในรอบ 3 ปี ที่ระดับ 40 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เมื่อต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ทั้งที่ก่อนหน้านี้หลายฝ่ายไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา ยุโรป เอเชีย ต่างพยายามร่วมมือกันในการกอบกู้วิกฤติเศรษฐกิจที่ลุกลามไปทั่วโลก แต่ก็ยังไม่บรรลุผล ส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันปรับลดลงด้วย อีกทั้งกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (OPEC) ได้มีความพยายามในการพยุงราคาน้ำมัน โดยใช้มาตรการปรับลดกำลังการผลิต เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการที่ชะลอตัวลง “ล่าสุดกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ประเมินการขยายตัวทางเศรษฐกิจโลกในปี 2551 อยู่ที่ร้อยละ 3.7 และในปี 2552 อยู่ที่ระดับร้อยละ 2.2 นอกจากนี้ International Energy Agency (IEA) ยังปรับลดประมาณการความต้องการใช้น้ำมันของโลกปี 2551 ลดลงจากปีก่อนหน้า 200,000 บาร์เรล ซึ่งเป็นการหดตัวครั้งแรกในรอบ 25 ปี และในปี 2552 ประมาณการความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้น 200,000-500,000 บาร์เรล และนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าราคาเฉลี่ยน้ำมันดิบในตลาดนิวยอร์ก ปี 2552 จะปรับตัวลดลงจากที่ระดับ 75-90 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ระดับประมาณ 50-65 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ประมาณ 45-60 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล โดยคาดว่าเศรษฐกิจจะยังคงซบเซาต่อเนื่อง ทั้งนี้ ราคาน้ำมันที่ถูกลง น่าจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยกระตุ้นให้ความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้น และคาดว่าราคาน้ำมันจะปรับตัวสูงขึ้นได้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2552” ดร.อนุสรณ์ กล่าว ส่วนประชาสัมพันธ์ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) โทร. 089-664-8766, 081-621-2225, 0-2335-4557 e-mail : viriya@bangchak.co.th

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ