IDC คาดว่าวิกฤตทางเศรษฐกิจขณะนี้ในปีพ.ศ. 2552 ยังมีช่องทางและ โอกาสทางธุรกิจเกิดขึ้นในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ยกเว้นญี่ปุ่น

ข่าวทั่วไป Tuesday December 16, 2008 17:27 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--16 ธ.ค.--IDC แม้ว่าเศรษฐกิจทั่วโลกกำลัง ประสบปัญหาการ ชะลอตัวอยู่ในขณะนี้ แต่ IDC เชื่อว่า ในปีพ.ศ. 2552 ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกยกเว้นญี่ปุ่น ยังคงเป็น ภูมิภาคที่มีแนวโน้มการเติบโตที่ดี ไม่ว่าจะเป็นด้านการเติบโตทางเศรษฐกิจและการนำเทคโนโลยีต่างๆ มาประยุกต์ใช้งานที่ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่องและก้าวหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่มีการคาดการณ์กันว่า บรรดาธุรกิจต่างๆ จะทบทวนอัตราการเติบโตของธุรกิจตนเองนั้น แต่จะมีโอกาสในการดำเนินธุรกิจใหม่ๆ เกิดขึ้นเมื่อภูมิภาคนี้พลิกฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง นายแกรม มุลเลอร์ ห้วหน้าคณะทำงานเรื่องการคาดการณ์แนวโน้มต่างๆ ของ IDC เอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า ขณะที่ภาพรวมทั้งหมดของการใช้จ่ายด้านไอทีชะลอตัวลง แต่ IDC คาดว่าแรงกดดันจาก วิกฤตเศรษฐกิจจะเป็นการตอกย้ำอย่างแท้จริงให้กับความมุ่งมั่นในเรื่องการแสวงหาตลาดเกิดใหม่ และ การนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาประยุกต์ใช้งาน โดยที่ธุรกิจต่างๆ นั้น กำลังมองหาทางลดต้นทุน พัฒนา รูปแบบการดำเนินธุรกิจ และ การเข้าถึงลูกค้าให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น บรรดาบริษัทไอทีที่ กำลังมองหาการเติบโตในปีพ.ศ.2552 จำเป็นต้องเร่งปรับเปลี่ยนตนเอง และปรับแต่งสินค้าหรือบริการ ของตนเองให้เข้าหาโอกาสใหม่ๆ นี้ ซึ่งเป็นตลาดที่กำลังเปิดกว้างอยู่ ลำดับถัดไปนี้จะเป็นการคาดการณ์หลักๆ 10 หัวข้อที่ IDC เชื่อว่าจะสิ่งที่ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรม ไอซีทีของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกยกเว้นญี่ปุ่นในปีพ.ศ. 2552 นี้ 1. อัตราการเติบโตของการใช้จ่ายด้านไอทีของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกยกเว้นญี่ปุ่นจะลดลง แต่ ไม่ติดลบในปีพ.ศ. 2552 เมื่อเปรียบเทียบกับสหรัฐฯ และภูมิภาคอื่นๆ ทั่วโลกแล้ว เอเชียแปซิฟิกยกเว้นญี่ปุ่นยังคงถูกมองว่าเป็น ภูมิภาคที่มีลักษณะเด่นกว่าด้วยการใช้จ่ายด้านไอทีที่คาดหมายว่าจะมีมูลค่าสูงถึง 196 พันล้านเหรียญ สหรัฐฯ ภายในสิ้นปีพ.ศ. 2552 IDC คาดว่าในปี 2552 นี้ อัตราการเติบโตของการใช้จ่ายด้านไอทีใน ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ยกเว้นญี่ปุ่นจะลดลงจากที่คาดการณ์ไว้ล่วงหน้าก่อนเกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจ ที่ ร้อยละ 9.5 จะเหลือเพียงร้อยละ 5.8 หลังวิกฤตเศรษฐกิจ แม้ว่าอัตราการเติบโตที่ลดลงของการใช้จ่าย ด้านไอทีคาดว่าจะเกิดขึ้นในบางหมวดของการใช้จ่ายที่เกิดจากการตัดลดงบประมาณโดยตรง มากกว่า จะนำใช้ในเรื่องอื่น แต่เหตุการณ์นี้ก็ได้เปิดโอกาสใหม่ๆ ให้กับการดำเนินธุรกิจซึ่งยังคงมีปัจจัยมาจาก สภาพเศรษฐกิจที่ซบเซา เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการเติบโตในการหาตลาดใหม่ๆ และการนำเทคโนโลยี ใหม่ๆ มาใช้งาน ตลาดพีซีและอุปกรณ์ต่อพ่วงจะเป็นตลาดทีได้รับผลกระทบมากที่สุด โดยมีปัจจัย หลักๆ มาจากผู้บริโภคที่จับจ่ายลดลงและภาคธุรกิจต่างๆ ยืดอายุการใช้งานผลิตภัณฑ์ให้นานขึ้น ใน ขณะที่ตลาดบริการด้านไอทีได้รับผลกระทบน้อย เนื่องมาจากการทำสัญญาใช้บริการในระยะยาว และ ยังคงเป็นช่องทางที่ทำรายได้หลัก นอกจากนี้ การใช้จ่ายของภาครัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นเพื่อนำมากระตุ้นและขับ เคลื่อนเศรษฐกิจไม่ให้อ่อนแอ และบริการสาธารณูปโภคอย่าง ไฟฟ้า หรือ โทรคมนาคม จะมีการเปลี่ยน การใช้จ่ายด้านไอทีน้อยมาก เป็นที่คาดการณ์กันว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่หดตัวลง ในปีพ.ศ. 2552 และ ปีพ.ศ. 2553 อย่างไรก็ตาม หลายประเทศภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกยกเว้นญี่ปุ่น ยังมีอัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (GDP) สูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ระดับร้อยละ 1.9 ในปีพ.ศ. 2552 (อาทิ อินเดีย ร้อยละ 6.8 จีนร้อยละ 8.0 และเวียดนามร้อยละ 5.3) ดังนั้น IDC จึงคาดว่า ตลาดไอทีของประเทศต่างๆ ในภูมิภาคนี้จะยังคงมีอัตราการเติบโตที่สูงกว่าภูมิภาคอื่นทั่วโลก 2. การใช้จ่ายของภาครัฐฯจะใช้เพื่อการเพิ่มประโยชน์สูงสุดและพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานเป็นที่คาดหมายกันว่า ภาครัฐฯ จะอัดฉีดงบประมาณการใช้จ่ายของตนเองมากขึ้นเพื่อเป็นการกระตุ้น เศรษฐกิจที่กำลังอยู่ในช่วงขาลง ในสถานการณ์วิกฤตทางการเงินในปัจจุบัน IDC คาดว่าหน่วยงานของ รัฐฯ จะออกมาตรการต่างๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แม้ว่าจะมีนโยบายบางอย่างที่ไม่ประกาศออกมาอย่าง ชัดเจน โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการใช้จ่ายด้านไอซีที แต่ทว่าผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นได้ส่งผลกระทบอย่าง มากต่ออุตสาหกรรมไอซีทีภายในภาวะเศรษฐกิจดังกล่าว IDC คาดว่าการผลักดันโครงการหลักต่างๆ ให้มีการเดินหน้าต่อไปจากภาครัฐจะเป็นส่วนหนึ่งของการส่งเสริมให้เกิดการจับจ่ายภายในประเทศ โดย เฉพาะอย่างยิ่งโครงการที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ สำหรับภาคธุรกิจคาด หวังว่ารัฐบาลจะเป็นตัวหลักในการกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายภายในประเทศ มีส่วนช่วยพัฒนาชีวิตความ เป็นอยู่ของประชาชน และต้องรักษาธรรมภิบาลที่ดี รวมไปถึงมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการมองถึง ประโยชน์หรือความคุ้มค่าที่จะได้รับของงบประมาณที่ใช้จ่ายไปผ่านโครงการต่างๆ 3. การให้บริการแบบกลุ่มก้อนเมฆยังคงมีตลาดที่รองรับ แม้ว่าจะมีสภาพเศรษฐกิจที่ซบเซา ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาในปัจจุบัน พร้อมกันกับการเกิดขึ้นของการให้บริการแบบกลุ่มก้อนเมฆ (cloud-based service) ที่กำลังเป็นที่นิยมและมีการนำเสนอบริการหลายประเภทจากผู้ค้าในปัจจุบัน ทางเลือกใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นสำหรับการจัดซื้อจัดหาบริการนี้โดยการให้คำมั่นสัญญาถึงประโยชน์ที่จะได้รับ ของการมีค่าใช้จ่ายที่ถูกลง พร้อมกันกับการคิดราคาบนพื้นฐานของการใช้งานจริง ก็ได้มีการนำมา ประยุกต์ใช้งานจริงในปัจจุบันแล้ว ประโยชน์ที่ได้เพียงลำพังนี้จะสร้างความมั้นใจว่ารูปแบบบริการใหม่นี้ จะถูกพิจารณาให้เป็นทางเลือกใหม่สำหรับการจัดซื้อจัดหาบริการในรูปแบบเดิม และด้วยเหตุผลนี้ IDC คาดว่า การใช้บริการแบบกลุ่มก้อนเมฆจะมีอัตราที่เพิ่มขึ้นในปีพ.ศ. 2552 แม้ว่าจะประสบปัญหาจาก ภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา IDC ยังเชื่อว่าการแบ่งหน้าที่การทำงานและการรวมตัวกันระหว่างผู้ให้บริการ แบบกลุ่มก้อนเมฆ รวมถึงแรงขับเคลื่อนในการรุกตลาดใหม่ จะถูกยึดครองโดยผู้เล่นรายใหญ่ที่มีความ หลากหลายของผลิตภัณฑ์มากกว่า 4. แรงกดดันที่ต้องรักษาฐานลูกค้าไว้จะเป็นตัวเร่งให้เกิดวิธีดูแลลูกค้าแนวใหม่ IDC คาดว่า ตัวจักรสำคัญถัดไปของการนำเทคโนโลยีเวป 2.0 มาใช้งานขององค์กรต่างๆ ในปีพ.ศ. 2552 มาจากการที่ภาคธุรกิจต่างๆ ที่ไม่เพียงมองหาแค่เพียงการเพิ่มประสิทธิภาพเท่านั้น แต่ยังครอบ คลุมไปถึงการสร้างสัมพันธ์อันดีกับลูกค้าอีกด้วย เครื่องมือในการบริหารและดูแลลูกค้ายุคใหม่จะทำให้ องค์กรมีความคล่องตัวขึ้นในด้านของการเพิ่มขีดความสามารถในการเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ ที่มีกำลังซื้อ ผ่านช่องทางอินเตอร์เน็ต ในขณะที่ภาวะตลาดโดยรวมกำลังอยู่ในช่วงถดูถดถอย IDC คาดว่ารายได้ ของ ไอพีคอนแทคเซ็นเตอร์ ในภูมิภาคนี้จะมีมูลค่าสูงถึง 278 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปีพ.ศ. 2551 และจะเพิ่มขึ้นเป็น 518 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปีพ.ศ. 2555 โดยมีอัตราการเติบโตถัวเฉลี่ยต่อปีที่ร้อยละ 17 โดยมีแรงกดดันจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงทำให้องค์กรต่างๆ ต้องรักษาฐานลูกค้าของตนเอง ไว้ ด้วยเทคโนโลยีต่อยอดที่เกิดใหม่นี้จะค่อยๆ ปรับเปลี่ยน คอนแทคเซ็นเตอร์และสร้างระบบบริหารดู แลลูกค้ายุคใหม่ให้เกิดขึ้นในปีพ.ศ. 2552 5. ผู้เล่นรายหลักๆ สำหรับการให้บริการค้นหาคำ หรือ ข้อมูล กำลังมุ่งมาสู่ตลาดเอเชียแปซิฟิก ความสำคัญของการควบคุมค่าใช้จ่ายด้านการค้นหาข้อมูลภายในองค์กรเริ่มมีมากขึ้น เนื่องจากนโยบาย ประหยัดและรัดเข็มขัดภายในเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ดังนั้นจึงเป็นผลทำให้ตลาดบริการค้นหาข้อมูล สำหรับองค์กร (Enterprise Search) เติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ การเติบโตขึ้นของบริการแบบกลุ่ม ก้อนเมฆ เป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่ง ที่เป็นตัวผลักดันให้เกิดการใช้บริการค้นหาข้อมูลสำหรับองค์กร IDC คาดว่า ด้วยภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงนี้ และการให้ความสำคัญเพิ่มขึ้นของงานค้นหาข้อมูล จะเป็นแรงผลักดันให้เกิดการรวมกลุ่มกันของผู้ค้าต่างๆ เพื่อนำเสนอบริการค้นหาข้อมูลสำหรับองค์กร ในปีพ.ศ. 2552 โดยตลาดนี้กำลังเปิดช่องทางให้กับผู้ให้บริการค้นหาคำผ่านอินเตอร์เน็ตอย่าง Google และ Yahoo เข้ามาสู่ตลาดนี้ ซึงบริษัทอย่าง Autonomy Microsoft และ IBM เป็นผู้ครองตลาดนี้ใน ปัจจุบัน สิ่งที่น่าดึงดูดสำหรับการพัฒนากระบวนการค้นหาสำหรับเอเชียและเครื่องมือในการค้นหาคำ ที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษจะเป็นปัจจัยให้เกิดการใช้บริการสำหรับประเทศในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งกำลังเป็นที่จับ ตามองของผู้ให้บริการค้นหาคำในระดับโลก ในการที่จะขยายตลาดใหม่ๆ ของตนเอง 6. เทคโนโลยีสีเขียวจะกลายเป็นตัวหลักในเรื่องการลดค่าใช้จ่าย IDC คาดว่าในปีพ.ศ. 2552 การใช้จ่ายด้านการนำเทคโนโลยีสีเขียวมาใช้จะยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง อาทิเช่น การทำเวอร์ชวลไลเซชั่น เพื่อลดต้นทุนด้วยการตระหนักถึงการช่วยลดภาวะโลกร้อน ที่ข้ามฝั่ง จากประเทศที่พัฒนาแล้วมาสู่กลุ่มประเทศที่กำลังพัฒนา และจากข้อมูลการสำรวจล่าสุดของ IDC เกี่ยว กับเทคโนโลยีสีเขียว เมือเดือนกันยายน 2551 ที่ซักถามกับผู้บริหารระดับสูงด้านไอทีในประเทศจีน และ อินเดีย พบว่าค่าใช้จ่ายด้านพลังงานที่เพิ่มขึ้นเป็นเหตุผลที่ทำให้องค์กรเริ่มที่จะประยุกต์ใช้เทคโนโลยี สีเขียว IDC เชื่อว่า นโยบายการควบคุมการค่าใช้จ่าย และการนำเทคโนโลยีสีเขียวมาประยุกต์ใช้งาน ในปี 2552 นั้นจะมีจุดมุ่งหมายเพิ่มขึ้นที่จากเดิมมีการใช้งานกันเพื่อลดการใช้พลังงาน ในดาต้าเซ็นเตอร์ และช่วยลดภาวะโลกร้อน จะขยายไปสู่การนำเทคโนโลยีนี้มาใช้งานให้เกิดคุณค่าสุงสุดกับการดำเนิน ธุรกิจขององค์กร 7. ภาวะตลาดซบเซาจะทำให้ผู้ให้การโทรคมนาคมกลับมาพิจารณาแผนธุรกิจอีกครั้ง IDC คาดการณ์ว่า ผู้ให้บริการโทรคมนาคมที่ยังมีสถานะทางการเงินดีอยู่จะยังคงให้ความสำคัญด้านเงิน ลงทุน เพื่อซื้อสินทรัพย์ถาวร (CAPEX) สำหรับการพัฒนาเครือข่ายแกนหลัก ในผู้บริโภคและบริษัท ที่รับช่วงต่อในการให้บริการโทรคมนาคม จะชะลอโครงการลงทุนขนาดใหญ่เพื่อซื้อสินทรัพย์ถาวรนี้ แต่ จะหันไปให้ความสนใจในเรื่องของวิธีการหาผลตอบแทนจากการลงทุนที่รวดเร็ว การเติบโตของบริการ บรอดแบนด์ในภูมิภาคนี้ จะยังคงให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า และรวดเร็วกับผู้ให้บริการ ซึ่งจะเห็นได้จากการ เพิ่มอย่างรวดเร็วของผู้ขอเปิดบริการ (subscribers) ในประเทศต่างๆ นอกจากนี้ในเรื่องการนำ เทคโนโลยีใหม่ๆ มาให้บริการ ก็มีแนวโน้มที่จะเลื่อนออกไปก่อน อาทิเช่น บริการ 3G ในอินเดีย จีน และเวียดนาม บริการไวแมกซ์ ไอพีทีวี เมโทรอีเทอร์เน็ต บริการมัลติมีเดียต่างๆ, การขยายเครือข่าย สถานีฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ และบริการบรอดแบนด์ไร้สาย แตทว่าความรุนแรงของผลกระทบนี้จะขึ้น อยู่กับว่าอะไรคือผลประโยชน์ที่จะได้รับจากเทคโนโลยีอย่างแท้จริง หากผู้ให้บริการนำเสนอบริการเหล่า นี้เข้าสู่ตลาด 8. องค์กรธุรกิจต่างๆ จะหันมาใช้รูปแบบบริการดาต้าเซ็นเตอร์จากภายนอก เพื่อหวังที่จะลด ค่าใช้จ่าย จากแนวโน้มการใช้จ่ายด้านไอทีที่ลดลง IDC เชื่อว่าด้วยเศรษฐกิจที่ชะลอตัวเช่นนี้ จะเป็นตัวกระตุ้น ความสนใจสำหรับความริเริ่มหรือโซลูชั่นของดาต้าเซ็นเตอร์ ว่าจะทำอย่างไรให้สามารถลดค่าใช้จ่าย ด้านการบริหารจัดการได้ องค์กรธุรกิจบางแห่งเริ่มที่จะกลับมาใช้รูปแบบการใช้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ ที่ ให้บริการโดยบุคคลภายนอก (managed datacenter) และทำการรวมดาต้าเซ็นเตอร์ทั้งภายในและภาย นอกเข้าด้วยกัน โดยอาจจะเริ่มในส่วนของการควบรวมก่อน นอกเหนือจากการประหยัดค่าใช้จ่ายแล้ว การใช้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ที่ให้บริการจากบุคคลภายนอกนี้ ยังช่วยให้องค์กรสามารถเข้าถึงเทคโนโลยี ชั้นนำใหม่ๆ ของดาต้าเซ็นเตอร์อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบสถาปัตยกรรมใหม่ของ Server Storage Virtualization WAN optimization Cloud computing Disaster recovery ฯลฯ ในปัจจุบัน IDC ประมาณว่ามีเพียงร้อยละ 23 ขององค์กรธุรกิจทั้งหมดในภูมิภาคนี้ที่ใช้บริการดาต้าเซ็นเตอร์นี้ จากผู้ให้ บริการภายนอก ดังนั้นจึงมีตลาดที่รองรับและโอกาสในการดำเนินธุรกิจนี้อีกมากสำหรับผู้ที่จะให้บริการ ประเภทนี้ และการนำเสนอโซลูชั่นที่ตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายจะเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญ สำหรับการค้นพบความสำเร็จในตลาดนี้ 9. เทคโนโลยี Thin Clients จะได้รับความสนใจในเรื่องการลดค่าใช้จ่ายและสนับสนุน Desktop Virtualization จากภาวะตลาดที่เริ่มอิ่มตัว และ ผลลัพธ์ของการควบรวมระหว่างผู้ค้าไอที ในเรื่องการรวมมาตรฐาน ซอฟท์แวร์ไว้ด้วย การทำ virtualization เพื่อลดค่าใช้จ่ายจะมีส่วนต่อขยายที่มากกว่าแค่การทำ server virtualization ในดาต้าเซ็นเตอร์ แต่จะรุกเข้าสู่การทำ desktop virtualization นอกจากนี้ การนำ เทคโนโลยี thin clients และ virtualized desktop มาใช้งานในองค์กรธุรกิจ จะยังมีส่วนช่วย ในเรื่องของการลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อนอีกด้วย ดังนั้น IDC จึงเชื่อ ว่า เทคโนโลยี thin clients ที่สนับสนุนการทำงาน desktop virtualization จะได้รับความนิยม ในปี พ.ศ. 2552 และจะเริ่มเติบโตอย่างก้าวกระโดดในปีพ.ศ. 2553 ซึ่งมีเหตุผลมาจากการถึงจุดครบ รอบที่จะต้องเปลี่ยนเครื่องพีซีในภูมิภาคนี้ คาดว่าในปีพ.ศ. 2552 การจำหน่าย think clients จะมี อัตราการ เติบโตอยู่ระหว่างร้อยละ 12-15 จากปีพ.ศ. 2551 และจะมีจำนวนอยู่ที่ราว 765,000 เครื่อง 10. โน๊ตบุ๊คขนาดเล็กจะลายเป็นปรากฏการณ์ใหม่สำหรับการซื้อและใช้งานคอมพิวเตอร์ ใน ภูมิภาคนี้ IDC คาดว่าคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คขนาดเล็ก ซึ่งเป็นสายผลิตภัณฑ์คอมพิวเตอร์ใหม่ ที่เกิดจากความต้อง การใช้งานด้าน mobility ที่มากขึ้น จะมีสัดส่วนยอดจำหน่ายที่เพิ่มขึ้นจากที่มีราวร้อยละ 5 ในปีพ.ศ. 2551 ของยอดจำหน่ายโน๊ตบุ๊คทั้งหมดในภูมิภาคนี้ยกเว้นประเทศญี่ปุ่น และมากกว่าร้อยละ 10 ในปี พ.ศ. 2552 ไม่ใช่แค่จุดขายหลักที่มีรูปร่างที่กะทัดรัดและดูน่าใช้งานเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการปรับ เปลี่ยนพฤติกรรมการใช้งานไปจากเดิมอีกด้วย ด้วยการมีโปรเซสเซอร์และสตอเรจที่จำกัดทำให้ผู้ใช้ งานจะต้องพึ่งพาการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตอย่างมากเพื่อสนับสนุนการใช้งานประเภทต่างๆ ผ่านสถาปัตย- กรรม กลุ่มก้อนเมฆจากความจำเป็นที่ต้องเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต จะทำให้รูปแบบการขายโน๊ตบุ๊คขนาด เล็กนี้เปลี่ยนไปจากเดิมแทนที่จะขายผ่าน ร้านค้าปลีกไอทีทั่วไป แต่จะเป็นการจับมือร่วมกันระหว่างผู้ให้ บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่เพื่อขยายการจำหน่ายของผลิตภัณฑ์นี้ให้กว้างขึ้น ซึ่งอาจจะทำในลักษณะของ รายการส่งเสริมการขายในลักษณะการจัดแพ็คเกจที่ไปรวมกับบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ หรือตัวเครื่อง จากผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G IDC เชื่อว่าโน๊ตบุ๊คขนาดเล็กนี้จะเปลี่ยนรูปแบบการขายโน๊ตบุ๊ค ไปจากเดิมไม่ว่าเป็นรูปแบบการขายและการใช้งาน เนื่องจากผู้ค้ายี่ห้อต่างๆ ได้เริ่มที่จะมองหาหนทางใน การแก้ไขอุปสรรคที่เกิดขึ้นจากผลิตภัณฑ์ชนิดนี้ไว้เรียบร้อยแล้ว การคาดการณ์ประจำปีของ IDC สำหรับตลาดไอซีที ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกยกเว้นญี่ปุ่น ได้พิจารณา จากงานวิจัยล่าสุดของ IDC และการระดมสมองร่วมกันทั่วโลกระหว่างนักวิเคราะห์มากกว่า 900 คน ทีม งานของแต่ละภูมิภาคที่จะได้ให้น้ำหนักขององค์ประกอบในเรื่องต่างๆ โดยจะดูจากเหตุการณ์หลักๆ ที่ เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมหรือไม่อย่างไร แนวโน้มพฤติกรรมของผู้ใช้งาน แผนธุรกิจของผู้ค้า และสภาวะเศรษฐกิจ หลังจากนั้นจะพิจารณาและกลั่นกรองเพื่อค้นหาแนวโน้มเทคโนโลยีที่สำคัญๆ ซึ่ง จะส่งผลกระทบและผลักดันอุตสาหกรรมไอซีที ของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ยกเว้นญี่ปุ่น ในปีพ.ศ. 2552 IDC จะมีการเผยแพร่เกี่ยวกับแนวโน้มทางเทคโนโลยีที่สำคัญ 10 อันดับทั่วโลก โดยจะจัดแบ่งตาม ภูมิภาคต่างๆ และเป็นการคาดการณ์แนวโน้มที่เฉพาะเจาะจงของแต่ละภูมิภาคภายในเดือนหน้านี้ หาก ท่านสนใจสามารถเข้าไปเยี่ยมชมได้ที่เวปไซด์ http://www.idc.com.sg/Predictions09/ ซึ่งจะมีการ อัพเดทอยู่เสมอ สำหรับผู้ที่สนใจสั่งซื้อรายงานฉบับบสมบูรณ์กรุณาติดต่อ ธารวลัย แซ่ฉั่ว ทที่หมายเลข +66-2651-5585 ต่อ 111 หรือ อีเมลล์ thannwalai@idc.com ข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับบรรณาธิการ ท่านสามารถลงทะเบียนเข้าฟังการบรรยายเรื่อง "IDC's Asia/Pacific Predictions 2009" ผ่าน ทางเว็บไซท์ ได้ตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2552 การลงทะเบียนเพื่อเข้าฟังการบรรยายผ่านทางเว็บไซท์มีขั้นตอนดังนี้ ลงทะเบียนที่ Webcast Portal (http://www.idc.com.sg/wca_portal/view.aspx) การลง ทะเบียนครั้งนี้จะเป็นการลงทะเบียนเฉพาะครั้งแรกเท่านั้นหลังจากลงทะเบียนเรียบร้อยแล้วท่านจะได้รับอีเมลล์ตอบกลับกรุณาคลิกที่ URL ที่ท่าน ได้รับแล้วนำ ID และ Password ที่ท่านตั้งไว้กลับมา Login อีกครั้ง ที่ Webcast Portal (http://www.idc.com.sg/wca_portal/view.aspx)หลังจากนี้กรุณาเลือก หัวข้อ " IDC's Asia/Pacific Predictions 2009" โดยคลิกที่ "Complimentary Code" พร้อมระบุ "C0012GM" เกี่ยวกับIDC IDC เป็นบริษัทที่ปรึกษา และ วิจัยข้อมูลการตลาดชั้นนำระดับโลก ที่มีความเชี่ยวชาญด้าน เทคโนโลยี สารสนเทศ โทรคมนาคม และ คอนซูเมอร์เทคโนโลยี โดยนำเสนอข้อมูลจากการ วิเคราะห์ เจาะลึก แก่ผู้เชี่ยวชาญด้านไอที ผู้บริหาร และ นักลงทุน ให้สามารถนำไปใช้ประกอบ การตัดสินใจจัดซื้อ เทคโนโลยีและกำหนดกลยุทธ์ทางธุรกิจ ปัจจุบัน IDC มี นักวิเคราะห์ กว่า 1,000 คน ใน 100 ประเทศ ทำหน้าที่นำเสนอข้อมูล และ ให้คำปรึกษา เชิงกลยุทธ์อย่างรอบด้านแก่ลูกค้าในเรื่องเทคโนโลยี รวม ถึงโอกาสทางธุรกิจและแนวโน้มของอุตสาหกรรมต่างๆ ทั้ง ในระดับโลก ระดับภูมิภาค และ ในแต่ละประเทศ ด้วยประสบการณ์ และ ความเชี่ยวชาญที่สั่งสม มากว่า 44 ปี เพื่อช่วยให้ลูกค้าบรรลุทุก วัตถุประสงค์ ทางธุรกิจ IDC เป็นบริษัทในเครือของ IDG ซึ่งดำเนินธุรกิจสื่อสายเทคโนโลยี วิจัย และ จัดงานสัมมนาชั้นนำระดับโลก ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่ www.idc.co.th สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม : คุณศศิธร แซ่เอี้ยว ที่หมายเลข 662-651-5585 ต่อ 113 Email: sasithorn@idc.com

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ