กรุงเทพฯ--22 ธ.ค.--สหมงคลฟิล์ม
เหลียงเฉาเหว่ย เล่าถึงประสบการณ์ในการทำงานในภาพยนตร์เรื่อง Red Cliff ให้ผมฟังว่า จากที่เขาได้พบกับคนมากหน้าหลายตา ทั้งทีมงานนักแสดงและทีมงานสร้าง แต่ก็ดูเหมือนว่าใบหน้าที่เด่นชัดที่สุดในความทรงจำของเขา นั้นก็คือใบหน้าของผู้กำกับ จอห์น วู “ใช่ ผมยังจดจำใบหน้าของเขาได้เป็นอย่างดี ผมเห็นเขานั่งจ้องดูมอนิเตอร์ในแต่ละฉาก เขาเป็นคนอารมณ์ดีและมีรอยยิ้มอยู่บนหน้าเสมอ แต่ทุกคนก็จะรู้ดีว่า ภายในจิตใจเขานั้น มันไม่อ่อนโยนเหมืออนกับลักษณะภายนอกของเขาอย่างแน่นอน”
เขายังกล่าวชมยอดผู้กำกับคนนี้ต่อว่า “มันไม่ใช่เรื่องยากสำหรับผม ที่จะเข้าใจถึงเบื้องหน้าและเบื้องหลังของบทที่ผมเล่น เพราะ วู คิดว่าอุปสรรคที่เกิดขั้นทั้งหลายนั้น เป็นสิ่งที่ดีสำหรับตัวเขาเอง ถึงแม้ว่าเราจะแค่ถ่ายทำฉากสงครามในเรื่อง แต่มันก็เหมือนกับเป็นการต่อสู้ที่แท้จริง และเขาเหมือนเป็นแม่ทัพที่นำเราเข้าต่อสู้ในสงครามครั้งนี้ ซึ่งตลอดระยะเวลาหลายปีที่พวกเราได้ร่วมงานกันมา (ทะลักจุดแตก, กอดคอกันไว้ อย่าให้ใครเจาะกระโหลก) ผมก็รู้สึกปลาบปลื้มใจในผลงานเหล่านั้นมาก พวกเราเหมือนกับเป็นพี่น้องร่วมสาบานกันจริงๆ"
เขาเล่าพลางยิ้มไป พร้อมกับนิ้วชี้ทั้งสองข้างที่กระทบไปบนริมฝีปาก สายตาอันแน่วแน่ของเขาที่มองตรงไปข้างหน้า มันก็เหมือนกับการที่เขาเล่าเรื่องถึงสิ่งที่อยู่ภายในจิตใจของเขา จากการที่ถูกเลือกให้มารับบทเป็น ขงเบ้ง ก่อนที่จะเปลี่ยนมารับบทเป็น จิวยี่ ในที่สุด เหลียงเฉาเหว่ย คือนักแสดงเอเชียในเวทีระดับโลก ที่พัฒนาขึ้นไปอย่างไม่หยุดยั้ง เขาอยู่ในสังเวียนการแสดงมามากกว่า 25 ปี ได้รับรางวัลสูงสุดของเกาะฮ่องกงมา 7 ครั้ง "ผมจะตรึกตรองให้ดีก่อนเสมอที่จะตกลงรับบทใดบทหนึ่ง ซึ่งในบทสำคัญอย่าง จิวยี่ นี้ ผมก็ต้องมีการเตรียมตัวที่ดี ผมอยากจะทำให้ตัวละครนี้เหมือนกับ จิวยี่ ที่อยู่ในประวัติศาสตร์จริงที่สุด เช่น การที่เขาชอบดื่มและร้องเพลง หรือการใช้ดาบประหนึ่งการเต้นระบำ และยังเป็นคนที่คิดถึงเรื่องรักโรแมนติคในมุมมองสมัยใหม่ ผมคิดว่าเขาเป็นได้ทั้งนักดนตรีหรือศิลปิน”
เหลียงเฉาเหว่ย ยังได้ตั้งข้อสังเกตุถึงการตีความ จิวยี่ ในแบบฉบับ จอห์น วู เอาไว้อย่างน่าสนใจ “ผมคิดว่า จอห์น วู พยายามถ่ายทอดความสัมพันธ์ของเขาและภรรยาลงไปในตัวละคร จิวยี่ และ เสี่ยวเกี้ยว เพราะการที่ภรรยาของ วู ติดตามสามีของเธอไปตามกองถ่ายหนัง ก็เหมือนกับเธอติดตาม จิวยี่ ไปในทุกๆสนามรบ ซึ่งเธอก็จะคอยดูแลและให้กำลังใจเขา นี้คือความสัมพันธ์ของทั้งคู่ในภาพยนตร์เรื่องนี้ จนในที่สุดบทสรุปสำคัญของการรบครั้งนี้ ก็เกิดขึ้นจากฝีมือของ เสี่ยวเกี้ยว ซึ่งก็เปรียบเสมือนตัวแทนของภรรยาของ วู นั้นเอง ผมคิดว่าหัวจิตหัวใจของ จิวยี่ นั้น ก็เปรียบเสมือนกับกระจกที่สะท้อนอาชีพของ วู ซึ่งผมเองก็มีหน้าที่ในการถ่ายทอดมันออกมา พูดง่ายๆก็คือผมต้องรับบทเป็น จอห์น วู"
ผมถามเขาว่า มีความอยากลำบากไหมระหว่างการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง Red Cliff เขาพยักไหล่พลางตอบว่า "หน้าที่ของผมคือการช่วยทำฝันของ จอห์น วู ให้เป็นจริง ถึงแม้ว่าการถ่ายทำจะมีความลำบากอยู่บ้าง เช่นในแต่ละวันคุณอาจจะถ่ายทำได้แค่สองฉากเท่านั้น เพราะกว่าที่จะใส่และถอดชุดเกราะนั้น ก็กินเวลาไปกว่าชั่วโมงแล้ว อีกทั้งสภาพอากาศนั้นก็ไม่เคยที่จะปราณีเราเลย โดยเฉพาะการต้องใส่หมวกที่ทำจากเหล็กในอุณหภูมิที่สูงถึง 40 องศา ในขณะเดียวกัน เมื่อหน้าหนาวเดินทางมาถึง มันก็อาจทำให้หัวคุณแข็งเหมือนอยู่ในตู้เย็นได้"
ผมถามต่อว่า “แล้วระหว่าง Red Cliff และ Lust, Caution ล่ะ ภาพยนตร์เรื่องไหนที่คุณรู้สึกมีความลำบากมากกว่ากัน” เขาตอบว่า "ถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะต้องใช้พลังงานสูง อีกทั้งยังสร้างความเหน็ดเหนื่อยให้กับร่างกาย แต่ถ้าพูดถึงสภาพจิตใจแล้ว ผมรู้สึกผ่อนคลายและเข้าถึงเรื่องราวนี้ได้มากกว่า ผมไม่มีความกดดันใดๆในการเล่นเป็นตัวละครคนนี้"
"แล้วระหว่าง ถางเหว่ย (ดารานำหญิงจาก Lust, Caution) กับ หลินจื้อหลิง ซึ่งต่างก็เป็นนักแสดงหน้าใหม่ล่ะ การแสดงร่วมกับพวกเธอเป็นอย่างไรบ้าง" เขาตอบว่า "การแสดงกับ ถาง เป็นอะไรที่ดูเป็นกันเองกว่า เพราะผมได้ซ้อมกับเธอมาก่อนถ่ายทำจริงมาพอสมควรแล้ว ดังนั้นเราจึงมีความเข้าใจซึ่งกันและกัน และเมื่อเราต้องเล่นบทเลิฟซีน ความผ่อนคลายมันก็ช่วยคุณได้เยอะ ในขณะเดียวกัน Red Cliff ถูกทำในสไตล์ภาพยนตร์จากฮ่องกง คือเราต้องเริ่มถ่ายทำกันอย่างรวดเร็ว ผมจึงแทบไม่รู้จัก หลินจื้อหลิง เป็นการส่วนตัวมาก่อน ดังนั้นเราก็มีก็ความเชินอายกันบ้างเล็กน้อย แต่สุดท้ายแล้ว ผมก็อยากบอกว่า เธอเป็นนักแสดงที่มีพรสวรรค์จริงๆ"
ผมถามคำถามสุดท้ายก่อนที่จะจบการสนทนา "ช่วยเล่าถึงลักษณะของ จิวยี่ ที่จะทำให้คนจดจำเขาได้จากภาพยนตร์เรื่องนี้หน่อย" เขาตอบทันทีว่า "จิวยี่ ใน Red Cliff จะไม่เป็นคนขี้อิจฉาและโมโหร้ายอย่างที่ทุกคนเคยรับรู้มา เขาจะเป็นคนที่เก็บความรู้สึกเอาไว้ในใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่ต่างจากทุกคนจินตนาการและตีความเอาไว้อย่างแน่นอน เมื่อดูจบแล้ว คนดูจะต้องเข้าใจถึงความลำบากในภาระหน้าที่อันมหาศาลของเขาในเรื่อง ที่ต้องทำเพื่อให้ทุกคนยอมรับในที่สุด"