กรุงเทพฯ--24 ธ.ค.--บลจ.กรุงไทย
นายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในสัปดาห์สุดท้ายของปีนี้ บริษัทยังคงเดินหน้าเปิดจำหน่ายกองทุนเปิดกรุงไทยประจำ 3เดือนคุ้มครองเงินต้น 1 (KTFIX3M1) . ในระหว่างวันที่ 24 - 30 ธันวาคม 2551 อายุโครงการ 3 เดือน มูลค่า 5,000 ล้านบาท เป็นกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐ และเงินฝากสถาบันการเงิน โดยกองทุนจะลงทุนในตั๋วเงินคลัง และพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย ในสัดส่วน 56% ส่วนที่เหลือจะลงทุนในเงินฝากของธนาคารสินเอเซีย และธนาคารเกียรตินาคิน อีกจำนวน 44% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม ส่งผลให้ผู้ลงทุนจะได้รับอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนประมาณ 1.75%
นายสมชัย กล่าวต่อไปว่า ความต้องการลงทุนในพันธบัตรระยะสั้นยังมีอยู่ในระดับสูง เนื่องจากมีเม็ดเงินใหม่เข้าสู่กองทุนรวมตราสารหนี้ค่อนข้างมาก และเป็นไปตามแนวโน้มการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยในช่วงขาลง โดยผลตอบแทนของพันธบัตรระยะสั้นอายุไม่เกิน 1 ปี ยังคงปรับลดลงในช่วง 0.26 - 0.31% เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้า โดยลงมาอยู่ที่ระดับ 1.93 - 2.24% ซึ่งพันธบัตรรุ่นที่อายุยาวกว่าจะมีอัตราผลตอบแทนต่ำกว่า เนื่องจากนักลงทุนต้องการลดความเสี่ยงจากการปรับลดลงของอัตราดอกเบี้ย (Reinvestment Risk) ในการประชุม กนง. ครั้งหน้า (14 ม.ค. 52)
สำหรับการเปิดจำหน่ายกองทุน KTFIX3M1 ซึ่งเป็นกองทุนประเภท Roll Over ทุก 3 เดือน เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในตราสารที่มีความมั่นคงสูง พร้อมทั้งมีโอกาสได้รับอัตราผลตอบแทนสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร และไม่เสียภาษีหัก ณที่จ่าย 15%
ทางด้านฝ่ายวิจัย ของบริษัท ได้มีการสรุปภาวะเศรษฐในประเทศ โดยตัวเลขการส่งออกของไทยประจำเดือน พ.ย. ลดลง 18.6%YoY ซึ่งนับเป็นการหดตัวครั้งแรกในรอบ 6 ปี โดยกระทรวงพาณิชย์ประกาศ ว่า มูลค่าการส่งออกในเดือน พ.ย. เท่ากับ 11,870.2 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 404,773 ล้านบาท เนื่องจากสินค้าส่งออกลดลงหลายกลุ่ม โดยเฉพาะสินค้าเกษตรและสินค้าอุตสาหกรรมเกษตร สาเหตุเนื่องจาก 2 ปัจจัยหลักคือ วิกฤตเศรษฐกิจโลก และปัญหาม็อบปิดสนามบิน โดยปกติไทยสามารถส่งออกผ่านทางสนามบินได้ 4,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯต่อเดือน แต่การปิดสนามบินทำให้เดือนพฤศจิกายนส่งออกได้เพียง 2,700 ล้านเหรียญสหรัฐ หายไปถึง 1,300 ล้านเหรียญสหรัฐ
นอกจากนี้ ฝ่ายวิจัยได้รายงานว่า นายศุภชัย พานิชภักดิ์ เลขาธิการ สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและพัฒนา( United Nations Conference on Trade and Development :UNCTAD ) ระบุว่า เศรษฐกิจโลกปีหน้า ถือว่าหนักหนาในรอบ 70 ปี แต่ประเทศในกลุ่มเอเชียรวมถึงประเทศไทย เหตุการณ์คงไม่เหมือน 11 ปีที่แล้ว เพราะหนี้สินโดยเฉพาะหนี้เอกชน ต่ำกว่าหนี้ในประเทศสหรัฐ 10 เท่า ขณะที่เงินสำรองของเอเชียมีถึง 60% ของโลก ฉะนั้นปัญหาที่จะกระทบเอเชียและไทย จะมาจากภายนอกประเทศเป็นหลัก กระทบโดยตรงต่อการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งส่วนนี้มีผลเนื่องจากประเทศในเอเชียพึ่งพาตลาดส่งออกเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศถึง 50%
ทั้งนี้ การลงทุนในกองทุนประเภทตราสารหนี้ ที่กำหนดระยะเวลาในการลงทุน และประมาณการผลตอบแทนที่ผู้ลงทุนมีโอกาสจะได้รับ นับเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ โดยเฉพาะในช่วงภาวะเศรษฐกิจที่ยังมีความผันผวน
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อ
ไก่
โทร 0-2670-4900 ต่อ 1235 หรือ 085-1800-441