กรุงเทพฯ--29 ธ.ค.--สหมงคลฟิล์ม
“เข็มอัปสร สิริสุขะ” สาวสวยหน้าคมมากความสามารถประเดิมงานภาพยนตร์เรื่องแรกกับ “สตางค์” (2543) ภาพยนตร์ดราม่า-พีเรียดของผู้กำกับชั้นครู “บัณฑิต ฤทธิ์ถกล” ซึ่งเธอให้การแสดงที่เป็นธรรมชาติจนสามารถคว้ารางวัลนักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมประจำปี 2543 จากชมรมวิจารณ์ภาพยนตร์มาได้
หลังจากนั้น เธอก็ห่างหายจากจอภาพยนตร์ข้ามสู่จอโทรทัศน์ ก่อนจะกลับคืนจอใหญ่อีกครั้งเมื่อปี 50 ที่ผ่านมา ด้วยการพลิกบทบาทครั้งสำคัญกับบทหญิงสาวลึกลับที่เป็นจุดศูนย์กลางของเรื่องราวทั้งหมดใน “โอปปาติก (โอ-ปะ-ปา-ติ-กะ)-เกิดอมตะ” ผลงานแอ็คชั่นแฟนตาซีของผู้กำกับรุ่นใหม่น่าจับตามองอย่าง “ธนกร พงษ์สุวรรณ”
และล่าสุด ในต้นปี 52 นี้ไม่เพียงแต่ผู้ชมจะได้เห็นบทบาทการแสดงอันเรียบลึกของเธอในภาพยนตร์ที่สร้างจากวรรณกรรมซีไรต์เรื่อง “ความสุขของกะทิ” แล้ว เธอยังมีโอกาสก้าวเข้ามาอยู่เบื้องหลังภาพยนตร์เปี่ยมสุขเรื่องนี้ด้วยการเป็นผู้ช่วยผู้กำกับการแสดงอีกด้วย
หน้าฉาก - ฝีไม้ลายมือทางการแสดงหายห่วงได้อยู่แล้ว
หลังฉาก — ความท้าทายครั้งใหม่ของเธอกำลังเริ่มต้นก้าว...อย่างมั่นคง
บทบาท-คาแร็คเตอร์
คาแร็คเตอร์ของ “น้าฎา” ก็จะเป็นเหมือนลูกน้องของแม่กะทิ เป็นเลขาของแม่ที่ทำงานมาด้วยกันอะไรอย่างนี้ค่ะ ช่วยแม่ของกะทิจัดการงานอะไรต่าง ๆ ได้ จะดูเป็นผู้หญิงสมัยใหม่ที่คล่องแคล่ว และก็ยังมีความเป็นผู้หญิงสมัยก่อนที่อ่อนโยน ถ่อมตัว และก็เหมือนไม่กล้าบอกความในใจเท่าไหร่ค่ะ
เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่ 3 แล้ว คาแร็คเตอร์แต่ละเรื่องต่างกันยังไงบ้าง
แต่ละเรื่องก็จะแตกต่างกันออกไปแน่นอนค่ะ อย่าง “สตางค์” นี่ก็ออกแนวพีเรียดและก็ค่อนข้างสู้ชีวิต ส่วน “โอปปาติกฯ” ก็จะเป็นเหมือนไม่ใช่คนจริง ๆ น่ะค่ะ ก็แปลกไปอีกแบบ ส่วนตัวน้าฎาใน “ความสุขของกะทิ” เรื่องนี้นี่ดูจะเป็นมนุษย์ปัจจุบันที่สุดตั้งแต่เล่นมาค่ะ
ได้มีโอกาสได้อ่านหนังสือเรื่องกะทิก่อนไหม แล้วรู้สึกยังไงบ้าง
ได้อ่านเรื่องนี้มาก่อนนะคะ ก็รู้สึกประทับใจค่ะ เนื้อเรื่องมันน่ารัก และก็เป็นความผูกพันของแม่กับลูก แล้วในตัวหนังสือเนี่ยเขาก็เล่าเหมือนว่าทำให้เราอยากรู้ว่าแม่หายไปไหน แม่มีเหตุผลอะไรที่ทิ้งให้กะทิอยู่กับตากับยาย เป็นหนังสือที่อ่านจบเร็วมาก เพราะด้วยความที่มันอ่านแล้วก็อยากที่จะติดตาม แล้วมันก็ซึ้งใจด้วยค่ะ อ่านแล้วก็ร้องไห้
จากที่อ่านมากับจินตนาการที่เราวาดเอาไว้ตรงกันบ้างไหม
ก็ค่อนข้างตรงมากค่ะไม่ว่าจะเป็นด้วยคาแร็คเตอร์ของผู้แสดงท่านอื่น ๆ หรือสถานที่โลเกชั่นในเรื่องก็หามาได้เหมือนในหนังสือมาก ๆ ค่ะ
ภาพรวมของหนังกับในหนังสือเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร
ในความที่โดยส่วนตัวเป็นคนที่เปิดกว้างนะคะ หมายถึงว่าถ้าเราเห็นงานอ่านในจินตนาการมันเป็นอย่างหนึ่ง ในขณะที่ภาพบนฟิล์มมันจะออกมาเป็นอีกอย่างหนึ่ง ถ้าถามเรื่องนี้มันค่อนข้างจะใกล้เคียงกันมากเลย ไม่ว่าจะเป็นคาแร็คเตอร์ของตัวละคร หรือว่าฉากต่าง ๆ กลิ่นอายบรรยากาศของในเรื่องมันค่อนข้างตรงเหมือนอย่างที่เราเห็นในจินตนาการมาก แต่ว่าด้วยความที่เราเปิดอยู่แล้ว มันเลยไม่จำเป็นที่มันจะต้องตรงตามความคิดของเราคนเดียว
แล้วคาแร็คเตอร์น้าฎามีความเหมือนหรือแตกต่างจากตัวเชอรี่ยังไง
ก็ที่อ่านในหนังสือ เราอาจจะยังไม่ค่อยเห็นชัดเจนนะคะ เพราะว่าในหนังสือก็ไม่ได้บรรยายถึงหน้าตาของน้าฎาไว้สักเท่าไหร่นะคะ ส่วนที่เห็นแล้วรู้สึกว่าแบบใช่เลย นี่ก็คือเป็นน้องกะทิ และก็คุณตา คุณยาย ลุงตองเนี่ย ส่วนพี่น้อยตอนแรกก็นึกภาพเขาไม่ออกเหมือนกัน เพราะว่าเคยเห็นแต่ตอนที่เขาอยู่บนเวที และพอมาเห็นตัวจริงเขาก็เป็นน้ากันต์ที่น่ารักได้เหมือนกัน ส่วนตัวน้าฎามันก็ไม่ได้ต่างหรือเหมือนจากตัวเองซะทีเดียว มันก็ไม่ได้ไกลไปมากจากคนทั่วไปนะคะ เพราะว่ามันก็จะเป็นคนที่มีทั้งความนุ่มนวลแล้วก็มีความเข้มแข็งอยู่ในตัว ก็อาจจะเหมือนเรา แต่ว่ามันอาจจะไม่ได้มีในระดับสัดส่วนที่เท่ากันอะไรอย่างงี้ค่ะ ก็เหมือนและต่างกันไปเล็ก ๆ น้อย ๆ ค่ะ
บทน้าฎามีความน่าสนใจที่ตรงไหน
จริง ๆ ต้องบอกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของเด็กหญิงกะทิอยู่แล้ว และก็เป็นเรื่องราวกะทิกับแม่ ส่วนน้าฎา, น้ากันต์ หรือลุงตองเองก็เหมือนตัวแทนของแม่ที่วันหนึ่งที่แม่จะต้องไม่อยู่ แม่จะต้องจากไป แล้วกะทิจะได้รับรู้เรื่องราวของแม่ผ่านน้า ๆ ลุง ๆ ทั้งหลายที่เป็นคนมาช่วยดูแลกะทิต่อ นั่นมันก็คือหน้าที่ของน้าฎาในเรื่องซึ่งมันเป็นตัวละครตัวหนึ่งที่รับช่วงต่อมาจากแม่ของกะทิในการที่จะรับช่วงดูแลกะทิต่อไป และเหมือนว่ามันน่าสนใจตรงที่การที่เราจะบอกเด็กคนหนึ่งเรื่องแม่ของเขา ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างทำใจยากเหมือนกันกับเด็กที่ต้องสูญเสียแม่ในวัยที่เร็วเกินไป วิธีการในการรับมือกับเขาแบบที่ทำให้เขาดำเนินชีวิตต่อไปได้อะไรอย่างนี้ มันน่าสนใจตรงนี้น่ะค่ะ คือโดยรวมของเรื่องมันเป็นอะไรที่อบอุ่น เรียบง่าย ก็ชอบเรื่องแนว ๆ นี้ค่ะ
ความรู้สึกแรกที่ได้มารับบทนี้ แล้วหนังสือเล่มนี้ได้รับรางวัลซีไรต์ด้วย รู้สึกอย่างไรบ้าง
ตอนแรกเลยรู้สึกแปลกมาก คือ “พี่นก กรกนก” (สนิทวงศ์ ณ อยุธยา) มาบอกเรา เพราะไปตัดผมกับพี่นก พี่นกบอกว่ามีคนโทรหาหรือยัง เขาลุ้นตัวโก่งมากเพราะว่าอยากให้เชอร์รี่เล่นบทนี้มาก ชอบเรื่องนี้มาก แล้วพี่ไปทำเสื้อผ้าด้วยนะ พี่นกก็บอก เล่นเถอะ เล่นเถอะ อยากให้เล่น เราก็เออ ๆ ๆ ได้ ๆ ๆ พี่ เดี๋ยวรอทีมงานเขาโทรมาคุยก่อนแล้วกัน ก็ไม่มีใครโทรมาคุยเลยค่ะหายไปนานพอควร เอ๊ะ...ก็งงว่าจะยังไง จนวันหนึ่งพี่เจน (ผู้กำกับ) ก็โทรมา เราก็เลยบอกไปว่า อ๋อ...พี่นกเขาบอกแล้วค่ะ ก็สนใจก็ชอบ แล้วชอบเรื่องนี้อยู่แล้วอะไรอย่างงี้ เขาก็เลยแวะมาคุยแล้วก็ตกลงกันได้ง่ายมาก แล้วก็เลยรับเล่นค่ะ
ทำไมพี่นกถึงอยากให้เชอร์รี่เล่นเรื่องนี้ เป็นเพราะคาแร็คเตอร์ตรงหรือว่ายังไง
ไม่ทราบเหมือนกันค่ะว่าทำไมถึงอยากให้เล่นนะคะ แต่ว่าคือพี่นกนี่เห็นว่าเป็นคนไปแนะนำกับคุณเจนด้วยหรือเปล่าไม่รู้ ไม่แน่ใจ แบบประมาณว่า เออ...อ่านแล้วนึกถึงคนนี้น่ะค่ะ ก็เลยอยากให้เล่นมั้งคะ (หัวเราะ)
ก่อนหน้านี้ได้มีการพูดคุยกับเจ้าของบทประพันธ์ก่อนด้วยใช่ไหม
ก็ได้พูดคุยพี่งามพรรณด้วยนะคะ พี่เค้าน่ารักมากคือพยายามช่วยต่อเติมจินตนาการของนักแสดงทุกคนโดยการที่เขียนรายละเอียดเพิ่มเติมความเป็นมาของแต่ละตัวว่ามีประวัติยังไง ซึ่งมันทำให้เราลงลึกไปในรายละเอียดของตัวละครได้ค่ะ
พูดถึงน้องพลอยที่รับบทกะทิในเรื่องนี้
น้องพลอยเหรอคะ น้องพลอยเป็นเด็กที่มีความน่ารักสดใสในตัวของเขาเองอยู่แล้ว เขามีเสน่ห์โดยที่เราเห็นหน้าเขาแล้ว เราก็มีความรู้สึกว่าเรารักเด็กคนนี้ได้ไม่ยาก น้องพลอยเป็นเด็กที่เก่งทำงานเหมือนเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่ง นอกจากหน้าตาเขาจะได้คาแร็คเตอร็ของกะทิแล้ว คือเขามีความตั้งใจมาก เขาเป็นเด็กที่ฉลาดน่ะค่ะ เหมือนพูดสื่อสารอะไรเหมือนเขาจะเข้าใจได้เร็ว และเป็นเด็กที่มีความอดทนสูงมาก เหมือนผู้ใหญ่เลยจริง ๆ ค่ะ บางทีทำงานกันแล้วต้องตื่นเช้า อย่างบางทีเขาต้องติดไปสอบอะไรของเขา ค่อนข้างเหนื่อยนะคะ แต่พอมาถึงอาจจะมีหลับหรืออะไร แต่พอมาปลุกให้ทำงานก็ทำได้เลยค่ะ เรายังคิดเลยถ้าเราอายุเท่าน้องเราจะทำได้อย่างน้องเขาหรือเปล่า
น้องพลอยซนมั้ยเวลาอยู่ในกองถ่าย
ซนมั้ย ก็ตามประสาเด็กแต่ว่าไม่มาก คือสามารถคอนโทรลได้ ถือว่าเขาเป็นเด็กที่ทำงานแบบผู้ใหญ่เลย แต่ยังมีความสดใสธรรมชาติของเด็กอยู่ไม่ได้ถูกกลืนไปโดยการแสดงหรืออะไรค่ะ
การแสดงของน้องพลอยเป็นยังไงบ้าง แสดงได้ดีไหม
แสดงได้ดีมากค่ะ ด้วยความที่เขาเป็นเด็กแล้วยิ่งความเชื่อของเขามันยิ่ง Pure นะคะ เวลาที่เขาเล่นอย่างฉากที่เขาอยู่กับแม่เขา แค่เขาพูดออกมาคำเดียวว่า รักแม่อะไรอย่างเนี้ย มันทำให้ผู้ใหญ่อย่างเราดูแล้วมันจุกได้เลยนะคะ น้องแสดงได้กระชากน้ำตาพวกพี่ทีมงานได้แบบว่าดีมาก เพราะว่ามันจะมีฉากหลายฉากที่น้องเล่นแล้วแบบทีมงานต้องหลบหน้าหลบตากันอะไรอย่างเงี๊ยเพราะว่าน้ำตาพาลจะไหลไปกันทั้งนั้นเลย
ช่วยเล่าฉากที่น้องพลอยเล่นจนเรียกน้ำตาทีมงานได้ให้ฟังหน่อย
ได้ค่ะ ก็จะมีฉากหนึ่งที่น้องพลอยต้อง...อันนี้ก็จะเป็นฉากที่ประทับใจมากที่สุดในเรื่องด้วยคะ เป็นฉากที่น้องพลอยมาหาแม่ที่บ้านที่หัวหินแล้วก็เขาก็มานั่งคุยนั่งเล่ากับแม่ไป แล้วจะมีอยู่ฉากหนึ่งที่แม่ก็พูดเล่ารื่องแล้วเขาก็หันขึ้นไปแล้วก็บอกว่าหนูรักแม่ คำเดียวที่เขาพูดแต่ว่ามันแบบหืม...กระชากใจแบบว่าตอนนั้นทีมงานน้ำตาร่วงผล็อยกันหมดเลย
พูดถึงพี่เจนผู้กำกับฯ การร่วมงานกันครั้งแรกเป็นยังไงบ้าง
พี่เจนเนี่ย เรียกว่าไม่ได้รู้สึกเลยว่าพี่เจนเป็นผู้กำกับมือใหม่ค่ะ ไม่ได้รู้สึกว่าพี่เจนทำเรื่องนี้เป็นเรื่องแรก เพราะว่ารู้สึกว่าเขาก็ชัดเจนในเรื่องความต้องการของเขาว่าแนวเรื่องเขาต้องการยังไง แล้วเขาต้องการให้นักแสดงของเขาทำยังไงอะไรอย่างเนี้ยค่ะ เออ...มันก็ค่อนข้างสื่อสารได้ชัดเจนดีค่ะ
แล้วก็รู้สึกว่าดีค่ะที่พี่เจนเลือกบทอันนี้ขึ้นมา มันก็อาจจะสะท้อนความคิดหรือบุคคลิกของพี่เจนว่าพี่เจนชอบงานแบบไหน ซึ่งพี่เจนถ่ายทอดออกมาได้ดี และพี่เจนก็ชัดเจนด้วยในการที่จะทำอะไรเพราะว่าอย่างสิ่งที่เขาต้องการ พอเขาชัดเจนปุ๊บเขาบอกเรา นักแสดง หรือทีมงานต่าง ๆ มันก็สามารถมุ่งไปในทางเดียวกันได้ แล้วพี่เจนก็ทำให้บรรยากาศในกองถ่ายมันทำงานแล้วสนุก มันไม่มีการเครียด ไม่มีการบ่น ปัญหาทุกอย่างสามารถแก้ไขไปได้ หลังจากที่นักแสดงมาแสดงจนหมดคิวไป พี่เจนก็จะมีอะไรประทับใจมามอบให้หรือว่าพูดกับนักแสดงอะไรอย่างนี้ค่ะ ซึ่งมันน่ารักและเหมือนว่าสร้างความประทับใจให้กับทั้งนักแสดงและทีมงาน เหมือนว่าพี่เจนทำให้ทุก ๆ คนเท่าเทียมกัน คือใครสามารถออกความคิดเห็นได้ โดยเฉพาะอย่างเรื่องนี้พี่เจนเขารู้ว่า เราพอเริ่มที่จะชอบงานกำกับหนังเขาก็จะสอนในเรื่องรายละเอียด อันไหนที่พอบอก พอพูดอธิบายได้เขาก็จะบอก คอยพูดตลอดอะไรอย่างนี้ค่ะ
นั่นก็คือจุดที่เชอร์รี้ได้มีโอกาสเป็นผู้ช่วยผู้กำกับด้วย
ใช่ค่ะ ก็คืออย่างพี่เจนก็เหมือนรู้ ๆ มาบ้างว่าได้ยินว่าอยากทำหนัง เขาบอกว่าอยากทำอะไรก็เลยให้ลองมาเป็นผู้ช่วยผู้กำกับค่ะ ที่ให้ลองทำก็คือมีมาช่วยทำเวิร์คช็อปน้อง แบบน้อง ๆ นักแสดงทั้งหลาย น้องพลอย, น้องนัท น้องไอซ์อะไรอย่างนี้ ก็มาช่วยทำเวิร์คช็อปกันแล้วพอตอนหน้าเซ็ตก็มีให้ไปช่วยคุยกับน้องพลอย บอกน้องพลอย ส่วนมากก็จะเป็นคอยบอกแอ็คติ้งน้องพลอย
ถือว่าได้ประสบการณ์ใหม่ๆ ที่นอกเหนือจากการแสดง
ได้ค่อนข้างเยอะเลยนะคะ เพราะว่าพี่เจนเขาก็พยายามด้วยความที่เขากลัวว่าพอเรามาทำแล้วเขาก็อยากให้เราได้อะไรกลับไปจริง ๆ แล้วด้วยเวลามันอาจจะมีไม่มาก เป็นหนังที่มีคิวถ่ายไม่เยอะค่ะ เขาก็บอกวันไหน เขาทำอะไรตรงไหน เขาก็จะคอยโทรตามว่าเชอร์รี่อยู่ไหน ว่างไหม อยากให้มาดู ไปเทสต์ฟิล์ม ไปต่างจังหวัดที่ไม่ได้มีน้าฎาเข้าฉาก เขาก็ชวนเราไป เราก็ไปช่วยไปดู ซึ่งก็เห็นทั้งงานในไลน์ของการผลิตอะไรอย่างนี้ค่ะ มันก็เป็นรายละเอียดอีกอย่างหนึ่งที่เราไม่เคยได้รู้
การทำงานในกองถ่ายนี้เป็นยังไง
สนุกค่ะ เพราะว่าเด็ก ๆ ก็น่ารักค่ะ พอเขามา เขาก็สดใส เล่นกันเป็นอะไรที่สนิทกันเร็วมาก แล้วเขาก็จะมีภาษาของเด็กที่สื่อสารกันรู้เรื่องอะไรอย่างงี้ เราก็สนุกไปด้วย แล้วพอเขากิ๊วก๊าวกันอะไรอย่างงี้ แล้วก็จะเป็นทีมงานรุ่นน้องรุ่นพี่วัยใกล้เคียงกันก็เลยค่อนข้างจะสนุก แล้วทุกคนตั้งใจการทำงานมาก ถึงแม้จะสนุกแต่ทุกคนก็รู้หน้าที่ของตัวเอง รับผิดชอบกันอย่างเต็มที่ค่ะ
ร่วมงานกับพี่น้อย (กฤษฎา สุโกศล แคลปป์) เป็นครั้งแรกเป็นยังไงบ้าง
ตอนแรกเหมือนเกร็ง ๆ พี่น้อยเหมือนกัน เพราะว่าไม่เคยเจอแล้วก็คิดว่าพี่น้อยเป็นศิลปิน แบบเป็นนักร้องเพราะว่าเราเห็นเขาอยู่แต่บนสเตจกับการแสดงที่เป็นเอกลักษณ์ของเขาอะไรอย่างงี้ค่ะ ไม่นึกว่าจะคุยกันรู้เรื่อง (หัวเราะ) แต่พอเจอตัวจริง ๆ พอมาพูดคุยกันแล้วพี่น้อยเขาเคยเรียนการแสดงมาตอนที่เขาอยู่ต่างประเทศ ซึ่งเขาก็ได้มาเล่ามาแชร์ประสบการณ์ตรงนั้น คือพี่น้อยก็แบบค่อนข้างเป็นคนที่สุภาพมาก บางทีพี่น้อยพูดอะไรก็แบบ อะไรนะคะพี่ พอดีไม่ได้ยินอะไรอย่างนี้ เขาจะแบบเสียงเบาเสียงนุ่มลึก แต่เป็นคนน่ารักนะคะ แล้วก็บางทีเขาอาจจะมาปัญหาเรื่องภาษา แต่เขาก็พยายาม บางทีบทเขาก็ยาว แต่เขาก็พยายามแล้วก็ถ่ายทอดการเป็นน้ากันต์ออกมาได้ดีทีเดียวค่ะ เพราะว่ามันเป็นบทที่มีความสุภาพ อบอุ่นแต่ก็มีขี้เล่น ถึงแม้ว่าเขาจะมีคาแร็คเตอร์ที่ชัดเจนมาก แต่เขาก็สามารถสื่อสารในความเป็นน้ากันต์อย่างที่เราได้เห็นจากในหนังสือได้ดีเหมือนกันค่ะ
มีฉากที่ต้องกุ๊กกิ๊กกันระหว่างน้ากันต์กับน้าฎาด้วยมั้ย
น้อยมากเลยนะคะ ส่วนมากจะเป็นเรื่องนี้มันเป็นเรื่องความกังวลใจว่าเราจะดูแลกะทิต่อไปยังไง อย่างถ้าน้าฎากับน้ากันต์อยู่ด้วยกันก็จะเป็นความรู้สึกที่กังวลใจร่วมกัน แต่ก็ยังห่วงความรู้สึกของกันและกันว่า แต่ละคนจะสามารถรับความรู้สึกที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ไหม ความกังวลใจที่มันกำลังจะเกิดขึ้นได้ไหม อะไรอย่างงี้ค่ะมันจะเป็นความเห็นใจกันมากกว่าค่ะ
นอกจากจะเป็นความกังวลแล้วก็ยังมีความรู้สึกส่วนตัวด้วย
คือน้าฎาชอบน้ากันต์มานานมากแต่ว่าน้ากันต์เนี่ยชอบแม่ของกะทิ ซึ่งน้ากันต์ก็จะไม่เคยรู้มาก่อนว่าน้าฎาคิดยังไง น้าฎาก็จะเก็บความรู้สึกมาก แม่ของกะทิก็เป็นคนที่เรารักมาก น้ากันต์ก็เป็นคนที่เราก็รักเหมือนกัน ก็เลยถึงแม้ว่าจะรู้สึกอะไรบางอย่างเวลาที่ 2 คนนี้อยู่ด้วยกัน แต่มันก็เป็นความรู้สึกที่มีความสุขที่เห็นความรู้สึกดี ๆ ของคน 2 คน ประมาณนี้น่ะค่ะ
การร่วมงานกับพี่นก (รัชนก แสง-ชูโต) เป็นยังไงบ้างครับ
พี่นกเหรอคะ ก็คือเราต้องคอยจัดการทุกอย่างให้เขารองจากลุงตองกับน้ากันต์ค่ะ เป็นอีกหนึ่งมือของพี่นกค่ะ พี่นกเป็นคนสนุกแล้วก็ตลกน่ะค่ะ ตลกแบบไม่ได้ตั้งใจคือพูดหน้านิ่ง ๆ ก็ขำ แต่ว่าเขาดูนุ่มนวลและมีความเป็นแม่สูงเวลาที่เรามอง บางทียังพูดกับพี่นกเลยว่าเวลาที่คนเรามีประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมามันช่วยเรื่องของการแสดงได้จริง ๆ เพราะการที่พี่นกเข้าฉากแล้วมองกะทิคือสายตามันถ่ายทอดความรู้สึกว่าแม่เป็นห่วง มันเหมือนมันมีสายใยนะคะ ยังพูดเลยว่าถ้าคนไม่ได้มีประสบการณ์เป็นแม่มามันอาจจะไม่เข้าใจลึกซึ้งถึงตรงนี้ค่ะ ซึ่งพี่นกเขาทำออกมาได้ดีมาก พอเวลาที่เขาพูดคุยกับกะทิตอนที่เขาไม่อยู่แล้วมันก็ทำให้มันดูแล้วรู้สึกจุกอีกเหมือนกัน
ก็มีเข้าฉากกับพี่นกค่ะ แต่ว่าก็จะเป็นฉากที่บ้านหัวหินจะเป็นฉากรวม ก็คือไม่ได้เข้าฉากกับพี่นกเยอะค่ะ ฉากรวมนี้ก็เป็นฉากที่เชือดเฉือนอารมณ์เหมือนกัน เพราะว่าในเรื่องเนี่ยกะทิตัดสินใจที่จะพบแม่ที่หัวหิน แล้วทุกคนพามาโดยที่เก็บความรู้สึกว่าแม่ของกะทิกำลังจะมีเวลาเหลืออีกไม่มากแล้วโดยที่ไม่ให้กะทิรับความรู้สึกเหล่านั้นแต่พวกเรารับรู้ แต่ด้วยความที่เป็นผู้ใหญ่ก็ต้องเก็บความรู้สึก แล้วอย่างที่บอกพี่นกเนี่ยด้วยความที่พี่นกมีลูก และพี่นกก็ค่อนข้างมีประสบการณ์ร่วมกับอาการเหล่านี้ของพี่ภัทรที่แม่ของกะทิเป็นค่ะ ก็เลยทำให้พี่นกเข้าถึงมัน และทำให้คนดูเชื่อได้ไม่ยากเลย พอพี่นกพูดคำหนึ่งบนโตะอาหารขึ้นมาทุกคนก็แบบว่าน้ำตาจะไหลกันอยู่แล้ว แต่ก็ต้องพยายามกลั้นมันเอาไว้น่ะค่ะ
พูดถึงคุณตาคุณยายในเรื่องนี้
ตากับยายในเรื่องก็จะน่ารักค่ะ จะรู้สึกอบอุ่นตั้งแต่บ้านที่อยุธยาแล้วก็จะเป็นตายายที่งุ้งงิ้ง ๆ กระจุ๊งกระจิ๊งกันค่ะ แต่ว่าเขารักกันแล้วเขายังมีความรักเผื่อแผ่มายังลูกหลานที่เป็นลูกรักของลูกสาวอีกที เป็นอะไรที่แบบว่าเหมือนเป็นตัวแทนของสังคมที่สะอาด มันเป็นความที่ยุคสมัยก่อนที่ร่วมสมัยนี้ เพราะว่าเขาเป็นคนยุคก่อนที่กลับไปใช้ชีวิตแบบพอเพียงง่าย ๆ แต่ด้วยความที่เป็นคนที่ได้รับการศึกษาจากในตัวเมือง จากต่างประเทศอะไรอย่างงงี้ค่ะ ทำให้เป็นคนที่มีความคิดก้าวไปกว่าอีกสเต็ป แล้วก็เลยมีวิธีการเลี้ยงลูกค่อนข้างเปิดกว้างให้ลูกรวมถึงหลานด้วยก็จะให้ในเรื่องของความคิด เรื่องของการตัดสินใจ แต่ก็อบอุ่นค่ะ
การร่วมงานกับคุณอาสะอาดและป้าแมวเป็นยังไงบ้าง
น่ารักค่ะ คือตั้งแต่อ่านบทแล้วจะมีมานั่งอ่านบทร่วมกัน คือรู้สึกว่าน้าแมว (จารุวรรณ ปัญโญภาส) เราไม่เคยร่วมงานกับน้าแมวมาก่อนเคยแต่เจอกัน น้าแมวเป็นคนดุ แต่จริง ๆ น้าแมวเป็นคนขำเหมือนกัน แล้วก็เป็นคนใจดีด้วย พอวันที่ได้มาอ่านบทน้ำเสียงที่ออกมามันเป็นน้ำเสียงที่ดุปนใจดีดูอบอุ่นค่ะก็เลยชอบ รู้สึกคาแร็คเตอร์ของน้าแมว โห...ใช่มาก แล้วของอาสะอาด (เปี่ยมพงษ์สานต์) เหมือนกัน ก็ใช่มากอีกเหมือนกัน คืออาสะอาดในคาแร็คเตอร์คือจะเป็นคุณตาใจดีที่พยายามจะพูดคุยให้หลานหัวเราะ และบางทีก็จะเป็นมุขส่วนตัวของตาเองที่อาจจะขำอยู่คนเดียว อาสะอาดเขาจะมีเสียงหัวเราะที่ขำอยู่คนเดียวที่มันเป็นแบบต๊าตาน่ะค่ะ น่ารักน่ะค่ะแล้วพอทั้งคู่อยู่ด้วยกัน เขาก็จะมีแอบแซวแอบกุ๊กกิ๊กตามประสาคนแก่ น่ารักแล้วก็อบอุ่นยิ่งทำให้บรรยากาศบอกมีทั้งอบอุ่นและความเหงาเศร้าอยู่ในตัวค่ะ
ก็เพราะว่าอาสะอาดและป้าแมวอบอุ่นค่ะ ในความเป็นนตัวตนของอาและก็น้าแมว ซึ่งทำให้พอถ่ายทอดออกมาทุกคนในกองก็จะเป็นบรรยากาศที่อบอุ่นค่ะ มันจะเป็นบรรยากาศที่ลอย ๆ คลุ้งอยู่แล้ว แล้วก็เลยทำให้บรรยากาศมันยิ่งน่ารักค่ะ การแสดงก็เลยลื่นไหล
ประทับใจฉากไหนมากที่สุด
ถ้าเป็นฉากที่เราไม่ได้เล่นชอบฉากที่กะทิกับแม่เขาคุยกันวันที่กะทิมาหาแม่ที่บ้านชายทะเล ดูแล้วก็ชอบฉากนั้น แต่ถ้าเป็นฉากที่ตัวเองเล่นก็คงเป็นฉากที่กะทิเล่นกระต่ายอยู่ค่ะ เป็นฉากที่เข้าฉากวันแรกก็คือกะทิเล่นกระต่ายแล้วกะทิก็ถามว่าแม่เกลียดพ่อหรือเปล่า ด้วยความเป็นผู้ใหญ่มันก็อึก ๆ ต้องพยายามหาทางที่จะบอกว่า มันคืออะไรในเรื่อง เพราะว่าจริง ๆ แล้วถ้าอธิบายมากเขาก็อาจจะไม่เข้าใจ ก็คือต้องพูดให้เขารู้สึกว่าพ่อกับแม่ของเขาไม่ได้โกรธเกลียดอะไรกัน
โลเกชั่นในเรื่องนี้เป็นอย่างไรบ้าง
ก็อย่างที่บอกว่ามันป็นอะไรที่ตรงกับจินตนาการในหนังสือค่ะ ว่าบ้านริมคลองมันจะเป็นยังไงอะไรอย่างเนี้ย คือว่าใคร ๆ หลายคนก็ทึ่งกับบ้านริมคลองที่อยุธยามาก เออ...มันมีแบบนี้ด้วยนะเหมือนในบทประพันธ์ซึ่งไปหามาได้ หรือว่าอย่างบ้านริมทะเล คือบรรยากาศมันสวยแล้วก็เห็นในรูปที่เขาถ่ายในโลเกชั่นก็ยังรู้สึกว่าต้องทำอะไรอยู่เยอะเหมือนกัน แต่พอเขาปรับปรุง ทาสี ใส่ต้นไม้ใส่อะไรลงไปทุกอย่างมันก็ทำให้ดูสวย แล้วฉากที่ถ่ายมองจากทะเล ทุกคนนั่งทานข้าวกันอยู่บรรยากาศมันสวยดีค่ะ
มีอุปสรรคในการทำงานบ้างมั้ยกับเรื่องนี้
ไม่มีเลย สบาย ๆ แล้วก็ถ่ายเสร็จตามที่วางเพลนไว้ทุกอย่างแบบสวยงามตามท้องเรื่องมากค่ะ
โดยส่วนตัวของเชอร์รี่มีความกดดันจากความคาดหวังของคนอ่านบ้างมั้ย
ไม่เลยนะคะ เพราะว่าอย่างตัวเราก็เป็นแฟนของหนังสือเรื่องนี้ เราก็เป็นนักอ่านของหนังสือเล่มนี้มาใช่ไหมคะ โดยส่วนตัวเราก็ไม่ได้รู้สึกว่าถ้าหนังจะออกมาผิดความคาดหมายของเราแล้วมันเป็นยังไง แต่ว่ามันเหมือนเป็นการเปิดโอกาสให้ คนที่จะเล่าเรื่องนี้ให้เราฟังว่าเขาเล่าเขามองเห็นจากอะไร เขาเป็นตัวแทนของการเล่าเรื่อง ๆ นี้ ค่ะ ซึ่งเราก็มีหน้าที่ไปชมแล้วชอบไม่ชอบมันก็เป็นเรื่องของรสนิยมอีกที แต่ว่าถ้าพูดถึงมันเป็นนิยายมันเป็นเรื่องที่สวยงามสะอาดมากอยู่แล้ว การที่จะเล่ามาตามแบบที่เขาเล่ามาอย่างนี้ก็คิดว่ามันน่าจะเหมาะสมที่สุด
คาดหวังกับหนังเรื่องนี้อย่างไรบ้างเพราะหนังไทยไม่ค่อยมีแนวนี้ออกมาซักเท่าไหร่
อืม...ใช่ค่ะ หนังไทยไม่ค่อยมีแนวนี้ออกมา ก็เลยยิ่งทำให้รู้สึกว่าอยากให้มีหนังแนวนี้ออกมาเยอะ ๆ ค่ะ จริง ๆ แล้วชอบหนังที่มันไม่ต้องใหญ่มาก ชอบที่มันมีเรื่องของจิตใจเรื่องของความสัมพันธ์ในตัวละครของเรื่อง มันก็เป็นการเล่าเรื่องอีกอย่างหนึ่งที่น่าสนใจ ถ้ามันจะมีแนวนี้ออกมาหรือมีออกมาอีกเรื่อยๆ มันก็เป็นทางเลือกให้คนไทยได้ดูหนังไทยในหลาย ๆ มุมนะคะ
คนดูจะได้อะไรจากหนังเรื่องนี้ครับ
คนดูก็จะได้เรื่องของความอบอุ่น เรียบง่าย ความสดใสของกะทิและของครอบครัวกะทิ และเรื่องของความรักแม่ลูก การเสียสละอันยิ่งอันยิ่งใหญ่ของแม่ ทำให้เห็นว่าเด็กคนหนึ่งเขารับมือกับการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ที่มันยังไม่ควรจะมาถึงในชีวิตเร็วขนาดนี้ เขาทำได้ยังไงและเขาทำได้ดีแค่ไหน และบวกกับภาพและบรรยากาศการใช้ชีวิตสไตล์ไทย ๆ ต่างจังหวัด มันก็ทำให้เรานึกถึงบรรยากาศสมัยเด็ก ๆ ได้เหมือนกันค่ะ
ความน่าสนใจโดยรวมของหนังคือ มันเป็นเรื่องที่สะอาดสวยงาม ทุกอย่างสวยงามไปหมด แม้จะเล่าเรื่องของการสูญเสียคนสำคัญ คือจริง ๆ แล้ว มันเป็นเรื่องราวรันทดของเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง แต่สามารถเล่าออกมาได้ กินใจโดยที่มันซาบซึ้ง โดยที่ไม่ได้รู้สึกว่ามันใจร้ายเกินไปกับโลกใบนี้ มันเป็นความสวยงามค่ะ แล้วก็ดีใจที่มีคนสนใจที่ทำหนังสวย ๆ เรื่องราวสะอาด ๆ แบบนี้มาให้คนไทยได้เสพกัน