รายงานสถานการณ์อุทกภัย สภาวะอากาศ ปริมาณน้ำฝน และสภาพน้ำท่า วันที่ 10 พฤศจิกายน 2549 เวลา 07.00 น.

ข่าวทั่วไป Friday November 10, 2006 11:49 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--10 พ.ย.--ปภ.
1. สรุปสถานการณ์อุทกภัยในภาพรวม (ระหว่างวันที่ 27 สิงหาคม — 10 พฤศจิกายน 2549)
1.1 ระหว่างวันที่ 27-31 สิงหาคม 2549 วันที่ 9-12 กันยายน 2549 และวันที่ 18-23 กันยายน 2549 ร่องความกดอากาศต่ำหรือร่องฝนกำลังแรงพาดผ่านภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง พายุดีเปรสชั่นเคลื่อนตัวผ่าน (24-25 ก.ย.49) และพายุดีเปรสชั่น “ช้างสาร” (1-3 ต.ค.49) ทำให้มีฝนตกหนักมากในพื้นที่ ระดับน้ำในแม่น้ำเอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมในพื้นที่ลุ่มริมฝั่งของลำน้ำหลายพื้นที่
1.2 พื้นที่ประสบภัย รวม 47 จังหวัด 390 อำเภอ 32 กิ่งอำเภอ 2,648 ตำบล 16,085 หมู่บ้าน ราษฎรได้รับความเดือดร้อน 4,296,017 คน 1,217,693 ครัวเรือน ได้แก่ จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ลำพูน ลำปาง แพร่ พะเยา อุตรดิตถ์ เพชรบูรณ์ พิษณุโลก สุโขทัย ตาก กำแพงเพชร พิจิตร นครสวรรค์ ชัยนาท อุทัยธานี สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี สระบุรี สุพรรณบุรี ปทุมธานี นนทบุรี นครปฐม นครนายก ชลบุรี ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี จันทบุรี ตราด ชัยภูมิ ขอนแก่น อุดรธานี นครราชสีมา ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ สุรินทร์ อุบลราชธานี ยโสธร ร้อยเอ็ด ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พังงา และกรุงเทพมหานคร
1.3 ความเสียหาย
1) ผู้เสียชีวิต 248 คน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 44 คน พิจิตร 27 คน สิงห์บุรี 19 คน อ่างทอง 25 คน สุโขทัย 14 คน พิษณุโลก 12 คน นครสวรรค์ 15 คน ปราจีนบุรี 12 คน ชัยภูมิ 10 คน ยโสธร 9 คน ชัยนาท 8 คน เชียงใหม่ 7 คน อุทัยธานี 7 คน ปทุมธานี 6 คน สุพรรณบุรี 11 คน แม่ฮ่องสอน 3 คน ลำปาง 3 คน จันทบุรี 3 คน ลพบุรี 4 คน ร้อยเอ็ด 3 คน กรุงเทพมหานคร 2 คน เพชรบูรณ์ 1 คน พังงา 1 คน และศรีสะเกษ 2 คน (จากเดิม 227 คน เป็น 248 คน เพิ่มขึ้น 21 คน)
2) ด้านทรัพย์สิน บ้านเรือนเสียหายทั้งหลัง 54 หลัง เสียหายบางส่วน 12,015 หลัง ถนน 7,375 สาย สะพาน 490 แห่ง ท่อระบายน้ำ 428 แห่ง ทำนบ/ฝาย/เหมือง 561 แห่ง พื้นที่ทางการเกษตร 3,773,702 ไร่ บ่อปลา/กุ้ง 44,276 บ่อ วัด/โรงเรียน 1,335 แห่ง ความเสียหายอื่น ๆ อยู่ระหว่างการสำรวจ มูลค่าความเสียหายเบื้องต้นเท่าที่สำรวจได้ ประมาณ 6,432,561,892 บาท
2. พื้นที่สถานการณ์อุทกภัยคลี่คลายแล้ว 32 จังหวัด
3. ปัจจุบันยังคงมีสถานการณ์อุทกภัย 15 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดพิษณุโลก พิจิตร นครสวรรค์ ชัยนาท อุทัยธานี สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี สระบุรี สุพรรณบุรี ปทุมธานี นนทบุรี นครปฐม และกรุงเทพมหานคร จำนวน 66 อำเภอ 13 เขต ราษฎรเดือดร้อน 1,180,806 คน 378,389 ครัวเรือน แยกเป็น
3.1 จังหวัดพิษณุโลก ในพื้นที่ 1 อำเภอ ได้แก่ อำเภอบางระกำ (3 ตำบล คือ ตำบลบางระกำ ปลักแรด และท่านางงาม) ระดับน้ำสูง 0.20-0.30 ม.
3.2 จังหวัดพิจิตร ยังคงมีน้ำท่วมขังบ้านเรือนราษฎรและพื้นที่การเกษตร 6 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองฯ (5 ตำบล) อำเภอวชิรบารมี (2 ตำบล) อำเภอสามง่าม (1 ตำบล) อำเภอโพธิ์ประทับช้าง (4 ตำบล) อำเภอโพทะเล (8 ตำบล) และอำเภอบางมูลนาก (3 ตำบล) ระดับน้ำสูง 0.20-0.40 ม. และน้ำที่ท่วมขังในพื้นที่การเกษตรเน่าเสีย ซึ่งทางราชการได้นำสารชีวภาพ (EM) มาทำให้น้ำอยู่ในสภาพที่ดีขึ้น
3.3 จังหวัดนครสวรรค์ ในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำยมและแม่น้ำน่าน 2 อำเภอ ได้แก่ อำเภอชุมแสง (9 ตำบล) และอำเภอเก้าเลี้ยว (1 ตำบล) และพื้นที่ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา 4 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองฯ (5 ตำบล) อำเภอโกรกพระ (7 ตำบล) อำเภอพยุหะคีรี (4 ตำบล) และอำเภอท่าตะโก (3 ตำบล) ระดับน้ำสูง 0.25-0.40 ม.
3.4 จังหวัดอุทัยธานี ในพื้นที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำสะแกกรัง ของอำเภอเมืองฯ 3 ตำบล ได้แก่ ตำบลเกาะเทโพ ท่าซุง และสะแกกรัง ระดับน้ำสูง 0.10-0.25 ม.
3.5 จังหวัดชัยนาท มีน้ำท่วมใน 3 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองฯ (2 ตำบล) อำเภอมโนรมย์ (4 ตำบล) และอำเภอสรรพยา (6 ตำบล) ระดับน้ำสูง 0.10-0.50 ม. (ระดับน้ำลดลง)
3.6 จังหวัดลพบุรี ยังคงมีน้ำท่วมขังบ้านเรือนราษฎรที่ติดกับริมแม่น้ำลพบุรีของอำเภอเมืองฯ (8 ตำบล) ระดับน้ำสูง 0.15-0.25 ม. (ระดับน้ำลดลง)
3.7 จังหวัดสระบุรี ยังคงมีน้ำท่วมขังบ้านเรือนราษฎรและพื้นที่การเกษตรของอำเภอดอนพุด (4 ตำบล) ระดับน้ำสูง 0.50-0.90 ม.
3.8 จังหวัดสิงห์บุรี ในพื้นที่ 6 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองฯ (3 ตำบล) อำเภออินทร์บุรี (7 ตำบล) ระดับน้ำสูง 0.80-1.20 ม. อำเภอพรหมบุรี (7 ตำบล) อำเภอท่าช้าง (1 ตำบล) อำเภอบางระจัน (3 ตำบล) และอำเภอค่ายบางระจัน (1 ตำบล) ระดับน้ำสูง 0.30-0.70 ม. (ระดับน้ำลดลง)
3.9 จังหวัดอ่างทอง ในพื้นที่ 7 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองฯ อำเภอป่าโมก อำเภอไชโย ระดับน้ำสูง 0.35-1.20 ม. ส่วนที่อำเภอแสวงหา อำเภอวิเศษชัยชาญ อำเภอโพธิ์ทอง และอำเภอสามโก้ (4 ตำบล) ระดับน้ำสูง 0.35-0.90 ม. (ระดับน้ำทรงตัว)
3.10 จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในพื้นที่ 15 อำเภอ 3 เทศบาล ได้แก่ อำเภอพระนครศรีอยุธยา (14 ตำบล) อำเภอบางบาล (16 ตำบล) อำเภอบางไทร (23 ตำบล) อำเภอผักไห่ (16 ตำบล) อำเภอเสนา (15 ตำบล) อำเภอมหาราช (12 ตำบล) อำเภอนครหลวง (9 ตำบล) อำเภอบางปะหัน (16 ตำบล) อำเภอบางปะอิน (17 ตำบล) อำเภอบ้านแพรก (5 ตำบล) อำเภอภาชี (8 ตำบล) อำเภอลาดบัวหลวง (6 ตำบล) อำเภอวังน้อย (10 ตำบล) อำเภออุทัย (2 ตำบล) อำเภอบางซ้าย (6 ตำบล) เทศบาลเมืองเสนา เทศบาลเมืองอโยธยา และเทศบาลนครพระนครศรีอยุธยา ระดับน้ำสูง 0.20-1.30 ม. (ระดับน้ำลดลง อำเภอท่าเรือสถานการณ์คลี่คลายแล้ว)
3.11 จังหวัดสุพรรณบุรี ยังคงมีน้ำท่วมขังในพื้นที่ฝั่งตะวันออกของจังหวัด เนื่องจากน้ำที่ท่วมจังหวัดสิงห์บุรี และจังหวัดอ่างทอง ไหลหลากเข้าทุ่งทำให้ท่วมบ้านเรือนราษฎรและพื้นที่การเกษตร 3 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองฯ (7 ตำบล) ระดับน้ำสูง 0.40-0.60 ม. อำเภอบางปลาม้า (7 ตำบล) ระดับน้ำสูง 0.80-1.40 ม. และอำเภอสองพี่น้อง ระดับน้ำสูง 1.00-1.90 ม. ระดับน้ำทรงตัว (สำหรับในเขตเทศบาลเมืองระดับน้ำเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว)
3.12 จังหวัดนครปฐม น้ำที่ระบายจากคลองพระยาบรรลือ คลองพระพิมล คลองบางเลน ไหลเอ่อเข้าท่วมบ้านเรือนราษฎรและพื้นที่การเกษตร 4 อำเภอ ได้แก่ อำเภอบางเลน (15 ตำบล) เทศบาลตำบลบางหลวง เทศบาลตำบลลำพญา เทศบาลตำบลบางภาษี และเทศบาลตำบลบางเลน ระดับน้ำสูง 1.10-1.70 ม. แนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น อำเภอนครชัยศรี (14 ตำบล) ระดับน้ำสูงประมาณ 0.40-0.60 ม. อำเภอพุทธมณฑล (3 ตำบล) น้ำท่วมชุมชนริมคลองมหาสวัสดิ์ ริมคลองโยง และริมคลองทวีวัฒนา และอำเภอกำแพงแสน (4 ตำบล) ระดับน้ำสูง 0.55-0.75 ม. เนื่องจากน้ำทะเลหนุนทำให้แม่น้ำท่าจีนระบายลงทะเลได้ช้า
3.13 จังหวัดปทุมธานี ในพื้นที่ 6 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองฯ อำเภอสามโคก และอำเภอลาดหลุมแก้ว ระดับน้ำสูง 0.50-1.00 ม. เนื่องจากเป็นพื้นที่รับน้ำจากจังหวัดพระนครศรีอยุธยา สำหรับอำเภอคลองหลวง อำเภอธัญบุรี และอำเภอลำลูกกา ระดับน้ำสูง 0.20-0.50 ม. (ระดับน้ำทรงตัว)
3.14 จังหวัดนนทบุรี น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยามีระดับสูงประกอบกับมีน้ำทะเลหนุนสูง ทำให้มีน้ำเอ่อล้นเข้าท่วมพื้นที่ลุ่มต่ำของอำเภอปากเกร็ด และอำเภอเมืองฯ ระดับน้ำสูง 0.40-0.60 ม. ส่วนพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการระบายน้ำของกรมชลประทานจากทุ่งเจ้าเจ็ดผ่านคลองพระยาบรรลือ และคลองพระพิมลทำให้มีพื้นที่น้ำท่วม 4 อำเภอ ได้แก่ อำเภอบางกรวย อำเภอบางบัวทอง อำเภอบางใหญ่ และอำเภอไทรน้อย ระดับน้ำสูง 0.50-1.80 ม.
3.15 กรุงเทพมหานคร ยังมีน้ำท่วมขังในเขตลาดกระบัง (5 ชุมชน) และพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา คลองบางกอกน้อย คลองมหาสวัสดิ์ นอกแนวคันกั้นน้ำมีราษฎรเดือดร้อนใน 11 เขต 33 ชุมชน 2,111 ครัวเรือน
4. กรมอุตุนิยมวิทยา พยากรณ์อากาศ ประจำวันที่ 10 พฤศจิกายน 2549 เวลา 06.00 น.
ความกดอากาศสูงกำลังปานกลางที่ปกคลุมประเทศไทยตอนบนมีกำลังอ่อนลง ทำให้บริเวณภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนมีอากาศเย็นและมีหมอกในตอนเช้า ส่วนภาคกลางและภาคตะวันออกมีฝนเล็กน้อยบางแห่ง สำหรับภาคใต้และอ่าวไทยมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือกำลังค่อนข้างแรงพัดปกคลุมอยู่ ทำให้ภาคใต้ตั้งแต่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ลงไปมีฝนฟ้าคะนองกระจาย บริเวณอ่าวไทยมีคลื่นสูง ประมาณ 2 เมตร
5. ปริมาณน้ำฝน ตั้งแต่ 01.00 น วันที่ 9 พ.ย.49 ถึง 01.00 น วันที่ 10 พ.ย.49 วัดได้ ดังนี้
จังหวัดนครศรีธรรมราช (อ.เกาะสมุย) 58.3 มม. จังหวัดพังงา (อ.ตะกั่วป่า) 17.0 มม.
6. สภาพน้ำในอ่างเก็บน้ำ (ข้อมูลวันที่ 9 พ.ย.49) โดยกรมชลประทาน
- เขื่อนภูมิพล ปริมาตรน้ำในอ่าง ฯ 13,263 ล้าน ลบ.ม. (รับได้อีก 199 ล้าน ลบ.ม.) คิดเป็นร้อยละ 99 ของความจุอ่าง ฯ ทั้งหมด วันนี้มีการระบาย 19.38 ล้าน ลบ.ม.
- เขื่อนสิริกิติ์ ปริมาตรน้ำในอ่าง ฯ 9,440 ล้าน ลบ.ม. (รับได้อีก 70 ล้าน ลบ.ม.) คิดเป็นร้อยละ 99 ของความจุอ่าง ฯ ทั้งหมด วันนี้มีการระบาย 8.10 ล้าน ลบ.ม.
- เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ปริมาตรน้ำในอ่าง ฯ 922 ล้าน ลบ.ม. (รับได้อีก 39 ล้าน ลบ.ม.) คิดเป็นร้อยละ 96 ของความจุอ่าง ฯ ทั้งหมด วันนี้มีการระบาย 0.87 ล้าน ลบ.ม.
7. สภาพน้ำท่าในลุ่มน้ำเจ้าพระยาและแนวโน้มสถานการณ์น้ำ (ข้อมูลวันที่ 10 พ.ย.49 โดย กรมชลประทาน)
- ปริมาณน้ำไหลผ่านจังหวัดนครสวรรค์ มีปริมาณน้ำสูงสุด 5,960 ลบ.ม./วินาที เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2549 เวลา 06.00 น. เริ่มลดลงในวันที่ 19 ตุลาคม 2549 และลดลงอย่างต่อเนื่องมาจนถึง วันที่ 10 พฤศจิกายน 2549 มีปริมาณน้ำไหลผ่านจังหวัดนครสวรรค์ 2,414 ลบ.ม./วินาที เมื่อเวลา 06.00 น. และยังคงมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง
- ปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยา จังหวัดชัยนาท มีปริมาณน้ำสูงสุด 4,188 ลบ.ม./วินาที เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2549 เวลา 06.00 น. ปริมาณน้ำทรงตัวและเริ่มลดลงเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2549 และลดลงอย่างต่อเนื่องมาจนถึง วันที่ 10 พฤศจิกายน 2549 มีปริมาณน้ำไหลผ่านท้ายเขื่อนเจ้าพระยา 2,350 ลบ.ม./วินาที เมื่อเวลา 06.00 น. และยังคงมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง
- ปริมาณน้ำไหลผ่านอำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีปริมาณน้ำสูงสุด 3,719 ลบ.ม./วินาที เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2549 ปริมาณน้ำลดลงอย่างต่อเนื่อง ณ วันที่ 10 พฤศจิกายน 2549 ปริมาณน้ำไหลผ่านอำเภอบางไทร 1,406 ลบ.ม./วินาที (เขื่อนพระรามหกหยุดการระบายน้ำ)
8. สำนักเลขาธิการป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้แจ้งเตือนให้ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 4,11,12 จังหวัดเพชรบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดในพื้นที่ภาคใต้ ที่คาดว่า จะเกิดภัยให้เตรียมพร้อมป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัย วาตภัย ดินถล่ม และคลื่นลมแรง ที่อาจเกิดขึ้นในพื้นที่ โดยจัดเจ้าหน้าที่อยู่เวรเฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อประสานงานกับ อำเภอ กิ่งอำเภอ และองค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น หากเกิดสถานการณ์รุนแรงขึ้นในจังหวัดใด ให้ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต ฯ ที่รับผิดชอบพื้นที่จังหวัดนั้นจัดเจ้าหน้าที่และอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องจักรกลเข้าสนับสนุนทันที
9. ศูนย์อำนวยการบรรเทาสาธารณภัย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้จัดเจ้าหน้าที่เฝ้าระวัง ติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ หากมีสถานการณ์คืบหน้าประการใด จักได้ติดตามและรายงานให้ทราบต่อไป

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ