กรุงเทพฯ--19 ม.ค.--สหมงคลฟิล์ม
สัญชาติ อเมริกัน
ประเภท สยองขวัญสามมิติ
อำนวยการสร้าง แจ็ค แอล เมอร์เร่ย์ (Punisher: War Zone, The Eye)
กำกับการแสดง แพ็ตทริก ลัสซิเออร์ (Dracula 2000, White Nose 2)
นำแสดง เจนเซ่น แอ็คเคิล (Supernatural, Smallville)
เจมี่ คิง (The Spirit, Sin City)
อีดี้ กาเธกิ (Twilight, Gone Baby Gone)
เคอร์ สมิธ (E-Ring, CSI: NY)
จัดจำหน่าย มงคลเมเจอร์
กำหนดฉาย 12 กุมภาพันธ์ 2552
อดีตอันเลวร้ายกลับมาหลอกหลอนเมืองเล็กๆ ที่เคยเกิดเรื่องราวอันน่าสยดสยองเมื่อสิบปีที่แล้ว นี้คือภาพยนตร์ที่ใช้ชื่อเดียวกับต้นฉบับจากปี 1981 ที่ผู้กำกับ เควนติน ทารันติโน่ เคยพูดถึงไว้ว่า นี่คือ "หนังเชือดสยองที่ยอดเยี่ยมที่สุดตั้งแต่สร้างกันมา" My Bloody Valentine 3D เป็นการใส่เอาจินตนาการใหม่ๆเข้าไป ผสมผสานกับการใช้เทคโนโลยีสามมิติตัวล่าสุดอันน่าตื่นตาในการเชื้อเชิญคนดู ให้เสมือนหนึ่งเข้าไปนั่งอยู่ในใจกลางของฝันร้ายที่ไม่มีวันตื่น
เมื่อสิบปีก่อน ณ.เมืองเล็กๆที่ชื่อ “ฮาร์โมนี” ก็เกิดโศกนาฏกรรมบางอย่างขึ้น ที่ทำให้ชีวิตของคนในเมืองเปลี่ยนไปตลอดกาล โดย ทอม ฮานนิเกอร์ (เจนเซ่น แอ็คเคิล) เป็นคนงานเหมืองมือใหม่ ซึ่งด้วยความที่เขาขาดประสบการณ์ในการทำงาน ก็ทำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นในอุโมงค์ เป็นผลทำให้มีคนเสียชีวิตไป 5 คน และมีผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวคือ แฮรี่ วาร์เด็น โดยที่เขาต้องตกอยู่ในอาการโคม่า แต่อีกหนึ่งปีต่อมา ซึ่งก็ตรงกับวันวาเลนไทน์พอดี แฮรี่ ก็ฟื้นคืนชีพขึ้น ซึ่งเขาก็ได้ใช้พลั่วคู่ใจออกสังหารผู้คนถึง 22 ศพอย่างเลือดเย็น ก่อนที่เขาจะถูกจับตายในที่สุด
หลังจากหนีออกจากเมืองไปกว่าสิบปี ทอม ฮานนิเกอร์ กับมายังเมืองฮาร์โมนีในวันวาเลนไทน์พอดีอีกครั้ง ซึ่งเขาก็ยังคงถูกอดีตที่ผิดพลาดตามหลอกหลอน และต้องดิ้นรนเพื่อที่จะชดใช้ในสิ่งที่เขาได้ทำลงไป โดยเขาก็ยังมีความรู้สึกดีๆกับ ซาร่าห์ (เจมี่ คิง) แฟนเก่าที่ตอนนี้แต่งงานกับ เอ็คเซล เพื่อนสนิทของเขา ซึ่งตอนนี้ก็กลายเป็นนายอำเภอประจำเมืองไปแล้ว แต่ในคืนนี้ หลังจากที่ความสงบสุขที่ผ่านมากว่าสิบปี บางสิ่งบางอย่างที่มาจากอดีตอันมืดมนของเมืองเกิดขึ้นอีกครั้ง เพราะมีชายคนหนึ่ง ที่สวมหน้ากากคนงานเหมืองและถือพลั่วเป็นอาวุธ เขาคือฆาตกรที่กำลังจะออกอาละวาดอีกครั้ง ซึ่งยิ่ง ทอม, ซาร่าห์ และ เอ็คเซล เช้าใกล้ตัวฆาตกรโรคจิตนี้มากเท่าไร พวกเขาก็ยิ่งทราบถึงความอันตรายที่กำลังคืบคลานมา ซึ่งมันอาจจะหมายถึง แฮรี่ วาร์เด็น คนเดิม ที่ฟื้นคืนชีพขึ้นมา เพื่อตามล่าเอาชีวิตของพวกเขาอีกครั้ง
นำเสนอด้วยวิวัฒนาการชิ้นใหม่ในรูปแบบสามมิติ My Bloody Valentine 3D นำแสดงโดย เจนเซ่น แอ็คเคิ้ล (Supernatural, Smallville), เจมี่ คิง (The Spirit, Sin City), เคอร์ สมิธ (Final Destination, CSI: NY) นี้คือการหยิบนำเอาหนังสยองขวัญสุดคลาสสิคปี 1981 มาจินตนาการใหม่ My Bloody Valentine 3D กำกับโดย แพ็ตทริก ลัสซิเออร์ (Patrick Lussier) จากบทภาพยนตร์ของ ท๊อดด์ ฟาร์มเมอร์ (Todd Farmer) และ เซน สมิธ (Zane Smith) ซึ่งดัดแปลงมาจากบทภาพยนตร์ของ จอห์น เบียร์ด (John Beaird), สตีเฟ่น มิลเลอร์ (Stephen Miller) และอำนวยการสร้างโดย แจ็ค เมอร์เร่ย์ (Jack Murray)
นอกจากนี้ทีมงานก็ยังประกอบไปด้วย จอห์น ดันนิ่ง, อันเดร ลิงค์, ไมเคิล พาเซอร์เน็ค และ จอห์น ซาคชี่ ที่ทำหน้าที่ดูแลการสร้าง, กำกับภาพโดย ไบรอัน เพียร์สัน (I am Legend), ตัดต่อโดยผู้กำกับภาพยนตร์และ ซินเธีย ลุดวิซ์ (The Eye), เพลงประกอบโดย ไมเคิล แวนมาเชอร์ (Never Back Down), ออกแบบงานสร้างโดย แซ็ค โกรเบอร์ และออกแบบเครื่องแต่งกายโดย ลีแอน ราเดก้า (The Hitcher)
โปรดักชั่น
ในปี 1981 หนังแนวเชือดสยอง (Slasher film) ได้รับความนิยมสูงสุด เพราะด้วยความสำเร็จของภาพยนตร์อย่าง Halloween และ The Last House on the Left ก็เหมือนเป็นแรงใจ ที่ให้ผู้สร้างภาพยนตร์จากประเทศแคนาดา ได้ตัดสินใจทำหนังทุนต่ำสุดอื้อฉาวเรื่อง My Bloody Valentine ขึ้น ซึ่งมันก็กลายเป็นหนังคัลท์ที่ทำให้ผู้สร้างเองยังต้องตะลึง ในปัจจุบันนี้ การสร้าง My Bloody Valentine 3D ก็ถือได้ว่าเป็นการฉุดเอาความกลัวของคนดูให้ขึ้นไปสู่อีกระดับหนึ่ง
ผู้กำกับ แพ็ตทริก เล่าว่า "นี้คือการผสมผสานระหว่างตำนานหนังสยองขวัญรุ่นเดอะ กับการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยในปัจจุบัน มันเป็นการพาดผ่านกันของศิลปะหลายแขนง พวกเราทำหนังสามมิติ พวกเราทำหนังแนวเชือดสยอง แต่ความจริแล้วมันยังมีอะไรมากกว่านั้น มันยังต้องการมุมมองใหม่ๆสำหรับการเล่าเรื่อง และการได้สร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็เป็นโอกาสสำคัญที่น่าตื่นเต้น"
ผู้อำนวยการสร้าง แจ็ค เมอร์เร่ย์ กล่าวว่า "ครั้งแรกที่ผมสัมผัสกับหนังสามมิติ มันเป็นเพียงแค่ลูกเล่นขำๆ ที่ใช้ความแปลกใหม่ของมัน ชักชวนคนดูให้เข้าไปในโรงหนัง มันไม่สนใจที่จะเล่าเรื่องให้ดี มันเหมือนกับกลในละครสัตว์ นั้นเป็นสิ่งพวกเราไม่อยากทำในภาพยนตร์เรื่องนี้ พวกเราปล่อยให้เทคโนโลยีสามมิติ ช่วยแต่งเสริมเติมแต่งบรรยากาศที่พวกเรากำลังสร้าง และในขณะเดียวกัน หาพยายามสังเกตุวว่าช่วงเวลาไหน ที่ภาพสามมิติจะช่วยเสริมสร้างความสยองให้เพิ่มมากขึ้น
ไมเคิล พาเซอร์เน็ค ประธานบริษัท Lionsgate และผู้ดูแลการสร้างให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้ ได้ขยายความต่อว่า "พวกเราเลือกถ่ายทำกันโดยพยายามใช้ซีจีให้น้อยที่สุด ในขณะเดียวกัน เอฟเฟ็คที่พวกเรามีก็จะเกี่ยวข้องแต่เรื่องภาพสามมิติเท่านั้น การมีส่วนร่วมในเนื้อเรื่อง คือสิ่งที่ผู้กำกับต้องการจากคนดู เพราะมันจะช่วยผลักคนดูให้ลงไปอยู่ในสถานการณ์ แทนที่จะโยนสถานการณ์นั้นลงไปบนตักผู้ชม เพราะเมื่อคุณมีความรู้สึกร่วมไปกับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น ก็แสดงว่าคุณเป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์แล้ว แทนที่จะเป็นแค่คนที่นั่งสังเกตุการณ์ และมันก็ยิ่งน่ากลัวขึ้น เมื่อใครบางคนฉายไฟใส่หน้าคุณ ซึ่งก็จะทำให้คุณตาพร่าจริงๆ และเมื่อฆาตกรโหดเหวี่ยงจอบใส่เหยื่อ คุณก็จะเห็นคมแหลมเฉียดหน้าคุณไปเพียงแค่ไม่กี่เซนติเมตร"
เมื่อถึงเวลาที่จะต้องเลือกผู้กำกับ ในการดัดแปลงภาพยนตร์เลือดโชกสุดคลาสสิค ผู้อำนวยการสร้างก็พยายามหาคนที่มีฝีมือ และเคยสัมผัสกับหนังประเภทนี้มาก่อน แพ็ตทริก ลัสซิเออร์ ซึ่งเคยเป็นคนตัดต่อหนังให้กับภาพยนตร์อย่าง Scream, Dracula 2000 และ New Nightmare และเขายังเป็นศิษย์เอกของ เวส คราเว็น ซึ่งคือผู้กำกับหนังสยองขวัญในตำนาน
เมอร์เร่ย์ เล่าว่า "วิสัยทัศน์ของ แพ็ตทริก สอดคล้องกับการใช้เทคโนโลยีสามมิติ โดยปกติแล้ว ภาพยนตร์สามมิตินั้นต้องมีช่วงเวลาที่จะสร้างความหฤหรรษ์ให้กับผู้ชม แต่มันก็ต้องมีช่วงเวลาที่ผู้ชมอยากพัก และสนุกไปกับเนื้อเรื่องอีกด้วย รวมถึงต้องมีเรื่องของการใช้เทคนิคพิเศษอื่นๆ เช่นเมคอัพพิเศษ, ฉากสตันท์ หรือฉากซีจีต่างๆ ซึ่งมันก็จะช่วยทำให้ผู้ชมรู้ว่าตัวเองกำลังดูภาพยนตร์สยองขวัญที่มีอะไรจับต้องได้บ้าง ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ความรู้สึกหลอกๆ"
เขาเล่าต่อว่า "ผมไม่คิดถึงใครคนอื่นเลยนอกจาก แพ็ตทริก ในการมาทำหน้าที่กำกับเรื่องนี้ เขาเป็นผู้กำกับหนุ่มที่ไม่เคยหยุดนิ่ง และก็มีไอเดียเกี่ยวกับหนังมากกว่าใครที่ผมรู้จัก เมื่อใดที่พวกเราประสบปัญหาติดขัดอะไร แพ็ตทริก ก็จะเป็นคนที่หาทางออกได้เสมอ และประสบการณ์ในการตัดต่อหนังของเขา ก็ช่วยให้เขามองออกว่าฉากนี้จะต้องเป็นอย่างไร และก็รู้ว่าเขาต้องการอะไรบ้างจากฉากนั้นๆ"
พาเซอร์เน็ค เสริมว่า "แพ็ตทริก ยังเป็นคนที่มีอารมณ์ขันสุดๆ มันมีความรู้สึกเหมือนกับว่า พวกเราได้ร่วมงานกับทีมงานที่เก่งและอยู่ถูกที่ถูกเวลา คุณไม่สามารถใช้เงินซื้อความสัมพันธ์แบบนี้ได้ คุณไม่สามารถหาเช่าได้ มันเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ และคุณก็แค่นั่งรอให้มันปรากฎตัวขึ้นเอง"
ลัสซิเออร์ เล่าถึงแนวทางที่จะทำให้ต้นฉบับสุดคัลท์เรื่องนี้ สามารถเข้าถึงได้แฟนหนังวงกว้าง "นี้คือภาพยนตร์ที่เป็นตัวแทนของชาวแคนาดา การได้รับข้อเสนอให้มาทำงานในโปรเจ็คนี้ทำให้ผมแปลกใจ เพราะตอนแรกนั้น ผมไม่แน่ใจว่าตัวเองต้องการที่จะทำมันไหม แต่เมื่อผมได้อ่านบทภาพยนตร์ดราฟท์แรก และเริ่มที่จะมีส่วนร่วมกับมัน ผมก็มองเห็นช่องทางที่จะนำเสนออะไรแปลกใหม่ให้กับเรื่องนี้"
นี้คือภาพยนตร์ที่พูดถึงรักสามเส้าอีกด้วย" เขาเล่าต่อ “คุณคงมีความคาดหวังให้มีเรื่องรักๆใคร่ๆเกิดขึ้น เพราะอย่างน้อยชื่อหนังก็มีคำว่า ‘Valentine’ อยู่ด้วย แต่เพียงแต่ผมอยากจะบอกว่า รักสามเส้าครั้งนี้จะมุ่งหน้าไปในทางที่ไม่สมหวัง และมันจะจบลงด้วยความสยอง"
สำหรับ ลัสซิเออร์ แล้ว การใช้เทคโนโลยีสามมิติ ก็เสมือนการส่งเสริมให้การเล่าเรื่องมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น "ความรู้สึกกลัวที่แคบ ความรู้สึกในการถูกกักขัง ความรู้สึกสะพรึงกลัว ทั้งหมดถูกดันขึ้นสู่จุดสูงสุด สูงจนมากกว่าจุดที่ผู้ชมจะคาดหวังเอาไว้เสียอีก"
ตลอดหลายปีที่ทำงานร่วมกับผู้กำกับชั้นครูอย่าง เวส คราเว็น สอนให้ ลัสซิเออร์ ให้รู้ว่า การที่จะสร้างหนังสยองขวัญให้มีคุณภาพ การพัฒนาตัวละครนั้นมีความสำคัญเป็นอันดับหนึ่ง "หนังทุกเรื่องของ เวส คราเว็น เริ่มต้นมาจากการสร้างตัวละคร ถ้าคุณปล่อยให้ตัวละครมีชีวิตและเป็นคนพาเรื่องให้เดินไปข้างหน้า ความน่ากลัวก็จะบังเกิดขึ้นเอง แทนที่จะให้มุ่งความสนใจไปที่ว่า คุณจะต้องใช้เลือดกี่แกลลอนเพื่อสร้างความสยองขึ้นมา"
เคอร์ สมิธ ที่รับบทเป็น เอ็คเซล นายอำเภอประจำเมืองฮาร์โมนี ก็รู้สึกซาบซึ้งในความทุ่มเทของผู้กำกับ ที่มีมากกว่าผู้กำกับคนอื่นๆที่ทำงานในหนังประเภทนี้ "พวกเราเข้าไปดูหนังสามมิติ เพื่อสัมผัสกับประสบการณ์ที่ไม่เคยเจอมาก่อน แม้ผู้ชมอาจจะไม่ค่อยรู้สึกกลัวมากนัก แต่มันก็เป็นเรื่องที่สนุก และเมื่อภาพยนตร์สามมิติได้มีการเพิ่มเติมอะไรลงไป ที่จะทำให้เรารู้สึกเห็นอกเห็นใจในตัวละครในเรื่อง มันก็จะทำให้มันเป็นภาพยนตร์ที่มีคุณค่ามากยิ่งขึ้น"
ลัสซิเออร์ ตั้งข้อสังเกตุว่า "ไม่มีอะไรที่แย่ไปกว่าการสูญเสียคนที่คุณใกล้ชิด ถ้าผมสามารถทำให้ผู้ชมรู้สึกผูกพันกับตัวละครมากเท่าใด เมื่อมีเหตุการณ์เลวร้ายที่กำลังเกิดขึ้นกับตัวละครตัวนั้น มันก็จะยิ่งทำให้คนดูรู้สึกนั่งไม่ติดเก้าอี้ ซึ่งเทคโนโลยีสามมิติก็เป็นอุปกรณ์เสริม ที่จะช่วยให้พวกเขายิ่งเป็นเหมือนผู้อยู่ในเหตุการณ์ มันจะช่วยดึงผู้ชมเข้าไป พวกเขาจะไม่ใช่แค่ผู้ชมที่นั่งอยู่แถวหน้าในโรงภาพยนตร์เท่านั้น พวกเขาจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของความน่าสะพรึงกลัว"
ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ถ้าขาดเทคโนโลยีเวอร์ชั่นล่าสุดอันทันสมัย ที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นโดย Paradise FX ซึ่งอุปกรณ์ที่ถูกพัฒนาขึ้นบางชิ้น ก็ถูกสร้างมาเพื่อใช้กับภาพยนตร์เรื่อง My Bloody Valentine 3D โดยเฉพาะ
ลัสซิเออร์ เล่าว่า "เมื่อรู้ว่าพวกเราต้องการสร้างภาพยนตร์สามมิติ เราก็โชคดีที่ได้พบกับบริษัท Paradise FX ซึ่งช่วยให้เราทำในสิ่งที่ภาพยนตร์สามมิติเรื่องอื่นๆ ไม่สามารถทำได้หรือไม่เคยทำมาก่อน พวกเราพยายามที่จะผลักดันให้มันก้าวข้ามไปอีกระดับนึง เพราะว่าเราได้ทำงานร่วมกับบริษัทที่เป็นแม่แบบของวิวัฒนาการสามมิติ"
กล้องที่ใช้ถ่ายทำถูกสร้างเสร็จก่อนที่พวกเราจะถ่ายทำเพียงวันเดียว" เขาเล่าต่อ "ทุกสิ่งทุกอย่างถูกสร้างขึ้นมาเพื่อภาพยนตร์เรื่อง My Bloody Valentine 3D โดยเฉพาะ และผู้กำกับภาพของเรา โฮเวิร์ด สมิธ ก็ต้องใช้เวลาในการศึกษาวิธีการใช้อุปกรณ์ชิ่นใหม่นี้"
ด้วยความร่วมแรงร่วมใจและการระดมสมอง เพื่อใช้ในทางผลิตงานที่มีความคิดสร้างสรรค์ ทำให้ทีมงานประสบความสำเร็จในการทำให้ My Bloody Valentine 3D อยู่เหนือความคาดหมายของผู้ชม ที่มีต่อภาพยนตร์ในรูปแบบสามมิติ โดย ลัสซิเออร์ ได้เล่าถึงความภูมิใจของตัวเองว่า “พวกเราโชคดีมากที่มีบุคคลากรเก่งๆหลายคน ที่อุทิศแรงกายในการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ให้ออกมาเยี่ยมที่สุด ในความคิดเห็นของผมแล้ว พวกเขาได้ร่วมกันสร้างภาพยนตร์สามมิติที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา มันมีพลังและความแปลกใหม่ ที่จะทำให้ผู้ชมกรีดร้องด้วยความสนุกและตกใจในเวลาเดียวกัน"
เจนเซ่น แอ็คเคิ้ล ที่รับบทเป็น ทอม เล่าว่า เขาเองก็ตั้งตารอที่จะชมภาพยนตร์เรื่องนี้ในโรงภาพยนตร์ "ผมคิดว่าช่วงเวลาที่จอบของฆาตกรโรคจิตพุ่งทะลุจอออกมาหาคนดู มันต้องเป็นเรื่องที่เจ๋งสุดๆไปเลย ผมจะไปดูมันในโรงหนังเหมือนตัวเองเป็นคนดูคนหนึ่ง มันคงจะเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่อย่างแน่นอน"
หัวใจของ My Bloody Valentine 3D: ซาร่าห์, ทอม และ เอ๊คเซล
เนื้อเรื่องหลักของ My Bloody Valentine 3D คือรักสามเส้าระหว่างเพื่อนนักเรียน เมื่อสมัยสิบปีที่แล้ว ทอม, เอ็คเซล และ ซาร่าห์ ซึ่งภายหลังก็กลายเป็นภรรยาของ เอ็คเซล และคู่รักเก่าของ ทอม โดยนักแสดงดาวรุ่งอย่าง เจนเซ่น แอ็คเคิ้ล, เคอร์ สมิธ และ เจมี่ คิง ก็ต่างมารับบทเป็นตัวละครนำทั้งสาม ที่ยังมีนักแสดงร่วมจอที่เปี่ยมไปด้วยประสบการณ์ในหนังประเภทนี้อย่างเช่น ทอม แอ็ทกิ้น และ เควิน ทีค
ลัสซิเออร์ เล่าถึงกลุ่มนักแสดงของเขาว่า "เจนเซ่น และ เจมี่ และ เคอร์ ได้มอบน้ำหนักให้กับตัวละครที่พวกเขาแสดง และเราก็ยังมีนักแสดงสมทบที่ยอดเยี่ยมอย่าง เควิน ทีค, ทอม แอ็ทกิ้น และ อีดี้ กาเธกิ ทุกคนได้เอาความเป็นตัวตนมาใส่ลงไปในบทภาพยนตร์อย่างที่ผมไม่เคยคิดมาก่อน"
ด้วยสไตล์การถ่ายทำที่แปลกใหม่ ทำให้ แอ็คเคิ้ล ผู้ซึ่งเคยมีประสบการณ์ในการรับบทเหนือธรรมชาติมาแล้ว ในซีรี่ย์สุดฮิตเรื่อง Supernatural เกิดทั้งความเคลือบแคลงใจและความสนใจในเวลาเดียวกัน "ผมคิดว่าทุกอย่างจะดูอลังการมากขึ้น เมื่อคุณได้ดูมันในระบบสามมิติ ผมคิดว่ามันคงเป็นอีกปัจจัยหนึ่ง ที่จะช่วยเสริมสร้างความน่ากลัวให้มีมากขึ้น"
“แพ็ตทริก เป็นผู้กำกับที่ยอดเยี่ยม” แอ็คเคิ่ล พูดถึงผู้กำกับที่เขาร่วมงานด้วย "ผมเชื่อว่าคนตัดต่อภาพสามารถเป็นผู้กำกับที่ดีได้ เพราะว่าเขาจะมองเห็นถึงสิ่งที่ต้องการ และรู้ว่าจะถ่ายทอดมันออกมาอย่างไร แพ็ตทริก ยังเข้าใจดีว่า จะต้องทำอย่างไรบ้าง สำหรับการทำงานร่วมกับนักแสดงไอย่างมีประสิทธิภาพ และด้วยส่วนผสมที่ว่ามาทั้งหมดนั้น ผมคิดว่าตัวเองรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ร่วมงานกับเขา"
เจมี่ คิง รับบทเป็น ซาร่าห์ ผู้หญิงซึ่งเป็นหัวใจของภาพยนตร์เรื่องนี้ ลัสซิเออร์ เล่าถึงนักแสดงสาวคนนี้ว่า "เจมี่ ไม่ใช่ผู้หญิงเหยาะแยะ ที่มักจะปรากฎอยู่ในภาพยนตร์เชือดสยองทั่วๆไป เพราะเธอได้นำเอาความเข้าใจมาสู่ตัวละครอย่าง ซาร่าห์ เธอสามารถถ่ายทอดความรู้สึกขัดแย้ง ที่เธอยังมีใจกับต่อ ทอม แต่ในขณะเดียวกัน เธอก็ยังมีความรักที่มอบให้กับสามีคนปัจจุบันของเธอ"
คิง เองก็เข้าใจในแนวทางของ ลัสซิเออร์ ที่มอบให้กับตัวละครหลักทั้งสามของเขา "ทุกทางเลือกที่ตัวละครทั้งสามกระทำในภาพยนตร์ เป็นอะไรที่ผ่านการกลั่นกรองทางความคิดแล้ว ทั้ง เจนเซ่น, เคอร์ และฉันก็ใช้เวลาในการนั่งพูดคุยกัน เกี่ยวกับแนวทางที่พวกเราจะทำให้เนื้อเรื่อง เกิดความซับซ้อนให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ มันเป็นเรื่องง่ายที่จะทำอะไรอย่างลวกๆ แต่ฉันไม่อยากที่จะทำอะไรแบบนั้น ซึ่งผู้ชมเองก็คงไม่อยากดูด้วยเช่นกัน"
นักแสดงสาวคนนี้ก็ยังรู้สึกได้ถึงพลังงานและแรงบันดาลใจ ที่มาจาก เจนเซ่น และ เคอร์ นักแสดงร่วมจอของเธอ "มันเป็นประโยชน์สำหรับฉัน ในการได้แสดงร่วมกับนักแสดงที่มีความสามารถอย่างทั้งคู่ การได้ทำงานร่วมกับ เคอร์ และ เจนเซ่น ได้ให้มุมมองใหม่ๆในการทำหน้าที่อาชีพนักแสดง ซึ่งนักแสดงแต่ละคนก็จะมีวิธีการของตัวเอง ในการนำความมีชีวิตเข้ามาใส่ในตัวละครที่พวกเขากำลังเล่น ฉันรู้สึกสนุกไปกับประสบการณ์ในการร่วมงานกับทีมงานทุกคน และได้สังเกตุการณ์ว่า แต่ละศิลปินจะทำให้งานศิลปะชิ้นนี้ดีออกมาดีที่สุดอย่างไร"
เคอร์ สมิธ ที่ได้แสดงร่วมจอกับ คิง มากที่สุดในเรื่อง ก็มีความรู้สึกเช่นเดียวกับนักแสดงสาว "เจมี่ เป็นคนที่วิเศษมาก มันเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมเมื่อคุณได้ทำงานกับใครบางคน ที่เข้าใจในสิ่งที่ตัวเองกำลังทำ เธอเข้าใจว่าแต่ละฉากมีความสำคัญต่อเนื้อเรื่องอย่างไร พวกเราสามารถสำรวจถึงมุมมองที่น่าสนใจ หรือปรับเปลี่ยนให้เข้ากับสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา"
ผู้กำกับเผยว่า การหาคนมารับบท เอ็คเซล เป็นงานที่หินที่สุด "เอ็คเซล เป็นตัวละครที่มีความซับซ้อนและดำมืดกว่าคนอื่นๆ เขารู้ว่าตัวเองเป็นเพียงตัวเลือกอันดับสองของ ซาร่าห์ และการตัดสินใจที่จะแสดงเขาออกมาของ เคอร์ นั้น เป็นอะไรที่มีความพิเศษในตัวสูง ทั้งฉากสำคัญที่เขาต้องเผยความรู้สึกที่แท้จริงออกมา ซึ่ง เคอร์ ก็สามารถนำเอาการแสดงที่ดีที่สุดของตัวเองออกมาได้"
เคอร์ เล่าถึงแนวทางในการแสดงของตัวเองว่า “ผมคือคนที่มักเข้าไปร่วมในโปรเจ็คภาพยนตร์แบบไม่มีไอเดียที่ตายตัว ผมอาจมีกฎเกษณ์บางอย่างที่ผมต้องปฏิบัติเสมอ แต่ส่วนใหญ่แล้ว ผมต้องการตีโจทย์ให้แตก ในขณะที่ผมกำลังสัมผัสกับประสบการณ์ที่ได้รับ ซึ่งมันจะนำไปสู่การค้นพบรูปแบบเฉพาะ สำหรับการแสดงในภาพยนตร์เรื่องนั้นๆ ซึ่ง แพ็ตทริก เองก็ปล่อยให้ผมทำในสิ่งที่ผมอยากทำอย่างอิสระ"
การได้ร่วมงานกับทีมงานนักแสดงที่มี ถือว่าอยู่เหนือความคาดหมายของผู้กำกับ โดย ลัสซิเออร์ ได้เล่าว่า "พวกเขาได้แสดงออกมาอย่างมีพลัง มันเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อในการได้ร่วมงานกับทีมนักแสดงและทีมงานที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ ในการเสนอรูปแบบความสยองสายพันธ์ใหม่ให้กับโลกภาพยนตร์ พวกเขาได้ใส่เอาความน่าเชื่อถือลงไปในบทภาพยนตร์ จนสุดท้ายแล้ว เราก็สามารถทำให้ตัวละครที่พวกเขาแสดง ดูมีสามมิติเฉกเช่นรูปแบบของภาพยนตร์เอง"
โลกของ My Bloody Valentine 3D
ทีมผู้สร้างได้เริ่มการหาสถานที่ถ่ายทำกันในพิสต์เบิร์ค ใกล้ใจกลางพื้นที่ของการขุดเหมืองในรัฐเพนซิลเวเนีย ลัสซิเออร์ เล่าว่า "สถานที่แรกที่เราออกเสาะหาก็คือเหมือง และที่ที่เราพบก็เป็นเหมืองที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว ซึ่งมันก็เป็นสถานที่ที่ยอดเยี่ยมมาก"
“ดุเดือด" คือคำที่ผู้กำกับใช้ ในการอธิบายถึงระยะเวลาการทำงานที่ยาวนาน ในภาพยนตร์เรื่อง My Bloody Valentine 3D ที่ได้มอบประสบการณ์ชีวิตในเหมืองอันล้ำค่า ให้กับทั้งทีมงานและกลุ่มนักแสดง "เหมืองนั้นมีพื้นที่ที่คับแคบและเปียกชื้น พวกเราถูกปกคลุมไปด้วยโคลนและอื่นๆที่คุณไม่อาจจินตนาการได้ ทีมงานบางคนที่ทำงานอยู่ในวงการมากกว่า 30 ปี ยังบอกว่านี้เป็นสถานที่ที่ย่ำแย่ที่สุดที่เขาเคยทำงานมา อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ทำหน้าที่กันได้อย่างไม่มีที่ติ พวกเราโชคดีมากที่ได้กลุ่มคนกลุ่มนี้ ที่อุทิศแรงกายแรงใจให้กับภาพยนตร์ของเรา"
ลัสซิเออร์ เล่าต่อว่า “เพดานของอุโมงค์ในเหมือง ที่ต้องใช้ในการถ่ายทำฉากสำคัญหลายฉากก็ต่ำมาก แค่ยืนตรงๆก็เป็นเรื่องที่ลำบากสำหรับทีมงานแล้ว มันทำให้เราทุกคนรู้สึกกลัวที่แคบขึ้นมาทันที ซึ่งมันก็ไปสอดคล้องกับสภาพจิตใจของตัวละครในเรื่องพอดี เหมืองแห่งนี้เหมือนมีชีวิตเป็นของตัวเอง คุณจะรู้สึกได้ว่ามันหายใจผ่านลมที่พัดผ่านคุณ มันกำลังร้องไห้ผ่านทางหยดน้ำที่ก่อตัวจากความชื้น คุณจะรู้สึกว่าตัวเองติดกับอยู่ในนั้น และรู้สึกว่ากำแพงทั้งสองด้านกำลังบีบตัวเข้ามาหาคุณ"
Paradise ได้สร้างอุปกรณ์ที่ออกแบบให้เฉพาะกับทีมงาน สำหรับการถ่ายทำฉากในอุโมงค์ พาเซียร์เน็ค ได้อธิบายไว้ว่า "มันช่วยให้เราสามารถถ่ายทำจากมุมสูงได้ ซึ่งในอดีตนั้น นี้เป็นเรื่องที่ไม่สามารถทำกันได้ เพราะว่ากล้องที่ใช้ถ่ายทำในระบบสามมิติเวอร์ชั่นก่อนหน้านั้น ก็หนักกว่า 500 ปอนด์เข้าไปแล้ว"
ซึ่งผลจากเทคโนโลยีตัวใหม่นั้น ก็ทำให้ฉากเหมืองถ่านหินที่ถูกถ่ายทอดออกมา มีทั้งความลึกและความกว้างอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เพนเนอร์ ได้สรุปเอาไว้ว่า "มันไม่ใช่เพียงแค่หลุมดำที่มืดมิด เพราะเทคโนโลยีสามมิติจะช่วยให้คุณเสมือนกับว่าตัวเองกำลังอยู่ในอุโมงค์ คุณจะรู้สึกว่าตัวเองกำลังเดินก้าวเข้าไปในอุโมงค์"
สำหรับทีมนักแสดงแล้ว สถานที่ถ่ายทำนี้เป็นประสบการณ์ที่ทั้งดีและไม่ดี มันอาจจะมีความยากลำบากในการถ่ายทำ แต่มันก็ช่วยเสริมสร้างกำลังใจ คิง เล่าว่า "พวกเรารู้สึกว่าเหมือนมีอะไรสักอย่างที่ไม่ชอบมาพากลอยู่ในอุโมงค์นั้น พวกเราต้องอยู่ในถ้ำนั้นพร้อมกับลูกค้างคาวที่กำลังสั่นหนาวอยู่ข้างๆพวกเรา คุณต้องระวังไม่ให้หัวไปกระแทกกับเพดาน แต่ฉันคิดว่าถ้าคุณได้เข้าไปอยู่ในสถานที่จริงๆ มันคงเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นไม่น้อย และมันก็จะช่วยให้คุณเข้าถึงตัวละครที่คุณแสดงอย่างแน่นอน"
แอ็คเคิ้ล นักแสดงชาวเทกซัสเล่าว่า เขารู้สึกไม่สบายใจระหว่างการถ่ายทำในเหมืองเลย "เมื่อคุณเดินอยู่ใต้พื้นโลกประมาณ 100-200 ฟุต และทางออกเพียงทางเดียวที่มีก็คือด้านหลังคุณ มันทำให้ผมขนลุกอยู่เหมือนกัน"
เคอร์ สมิธ เองก็เล่าถึงประสบกาณณ์ในเหมืองว่า "ส่วนที่แย่ที่สุดในการทำงานในเหมือง ก็คือคุณต้องอยู่ในนั้น หัวผมกระแทกเพดานตลอดเวลา แต่การได้ถ่ายทำในสถานที่จริงก็ย่อมเป็นเรื่องที่ดีกว่าอยู่แล้ว เพราะถ้าคุณตัดสินใจถ่ายทำกันในโรงถ่าย คุณมีหินที่ทำหลอกๆขึ้นมา คุณก็จะไม่ได้กลิ่นของเหมืองที่แท้จริง มันจะไม่ให้ความรู้สึกเหมือนกับคุณอยู่ในสถานที่จริงๆ ซึ่งสิ่งที่เราได้ทำกันไปนั้น ก็สามารถมอบอารมณ์ร่วมให้กับทีมงานได้หนึ่งร้อยเปอร์เซ็นเต็ม"
มันจะเป็นเหมืองได้อย่างไรถ้าไม่มีคนงานเหมือง สำหรับใครก็ตามที่เคยดูภาพยนตร์ต้นฉบับ ความสยองก็บังเกิดขึ้นโดยฆาตกรที่สวมชุดคนงานเหมืองคนนี้ ซึ่งเขาก็กลายเป็นตัวละครที่น่าจดจำไม่แพ้ฆาตกรโรคจิตคนอื่นๆในโลกภาพยนตร์ แล้วใครกันล่ะที่อยู่ภายใต้หน้ากากอันนั้น?
ผู้กำกับ ลัสซิเออร์ เล่าว่า “เรื่องลึกลับก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง ที่ช่วยเพิ่มความตื่นเต้นให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้ มีใครคนหนึ่งได้ทำเรื่องที่ชั่วร้าย เราไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่เป็นคนทำ และพวกเราไม่รู้ว่าทำไมเขาคนนั้นถึงทำเช่นนั้น The Miner เป็นคนที่มีจิตไม่ปกติ เขาคือเครื่องจักรสังหารที่โหดเหี้ยม คุณไม่สามารถโต้เถียงกับเขา คุณไม่สามารถขอร้องชีวิตจากเขา มีเพียงสิ่งเดียวที่เขาจะมอบให้กับคุณ นั้นก็คือความตายอันน่าสยดสยอง"
“The Miner ไม่ใช่ผี, ปีศาจ หรือมนุษย์ที่อยู่เหนือธรรมชาติ เขาเป็นเพียงคนธรรมดาที่มีจิตใจไม่ปกติ" เมอร์เร่ย์ ได้เล่าถึงความเป็นมาของตัวละครที่สำคัญคนนี้ "อารมณ์ของผู้ชายคนนี้เข้าขั้นวิกลจริต เขาไม่มีความรู้สึกใดๆที่เหมือนมนุษย์อีกต่อไปแล้ว เมื่อใดที่เขาปรากฏตัวขึ้นบนจอภาพยนตร์ มันจึงเป็นเรื่องที่น่าขนลุกขนพอง เพราะเขาก็อาจเป็นจะนั่งอยู่ท่ามกลางพวกเราก็เป็นได้"
ลัสซิเออร์ เองก็ได้พูดถึงฆาตกรรคจิตคนนี้ว่า “เขาปกคลุมร่างกายตัวเองด้วยชุดคนงานเหมือง ฆาตกรโรคจิตคนนี้มีลักษณะทางกายภาพที่เด่นชัด สาเหตุที่ The Miner เป็นตัวละครที่น่ากลัว เพราะเขาคือเครื่องจักรสังหารที่ไม่แคร์ความรู้สึกของคนอื่น คุณไม่สามารถอ่านใจจากดวงตาของเขาได้ คุณจะไม่เห็นว่ามีจิตวิญญาณใดๆหลงเหลืออยู่ในตัวเขา"
เขาเสริมต่อว่า “พวกเราเปลี่ยนแปลงเสื้อผ้าของเขาไปบ้างจากหนังต้นฉบับ พวกเราเอาหน้ากากกันแก๊สมาทดลองหลายต่อหลายแบบ พวกเรานำเอาชุดคนงานเหมืองทุกรูปแบบ จนในที่สุดเราก็รู้ว่าชุดที่ใส่ในหนังต้นฉบับนั้นเหมาะสมที่สุดแล้ว พวกเราก็เพียงแค่ปรับเปลี่ยนให้มันทันสมัยขึ้นนิดหน่อยเท่านั้น"
อาวุธของ The Miner คือจอบ มันเป็นอุปกรณ์ที่เห็นทั่วไปในเหมือง เพราะว่ามันใช้ประโยชน์ใช้สอยหลายอย่าง "แต่มันกลายเป็นอาวุธสังหารโหดของ The Miner ที่ใช้เหวี่ยงใส่เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายด้วยความรุนแรงและแม่นยำ" ลัสซิเออร์ กล่าวไว้ "โดยปลายแหลมของมันเป็นส่วนที่เหมาะสมในการที่จะฉีกเนื้อหนังและกระดูกออกเป็นชิ้นๆ มันสามารถกระชากให้กรามของคุณหลุดหัว มันสามารถควักลูกตาของคุณออกมา มันสามารถใช้เปิดอะไรออกก็ได้ตามต้องการ"
ผู้ที่รับผิดชอบในการนำแกลลอนเลือดเข้ามาใช้ในเรื่อง My Bloody Valentine 3D คือ แกรี่ ทุนนิคลิฟ (Gary Tunnicliffe) ผู้ซึ่งเป็นแฟนเดนตายของหนังสยองขวัญ และเป็นผู้เชี่ยวชาญในการใช้เทคนิคแต่งหน้าพิเศษ ทุนนิคลิฟ ที่เริ่มต้นเส้นทางอาชีพที่ Pinewood Studios ใน London for Image Animation ได้พูดถึงการเข้ามาทำงานในเรื่องนี้ว่า “เมื่อผมได้อ่านบทภาพยนตร์ที่อธิบายฉากสยองไว้ว่า 'เขาถูกแทง' หรือ 'หัวถูกตัดออก' ผมจึงอยากที่จะทำให้มันน่าสนใจยิ่งขึ้น ผมชอบที่จะนั่งอยู่ในโรงภาพยนตร์มืดๆ และนั่งดูผลงานของตัวเอง และได้ฟังเสียงอากาศในโรงที่ถูกสูดเข้าไปแบบไม่พ่นออกมา หรือเห็นสาวๆหรือแม้กระทั้งผู้ชายเอามือทั้งสองข้างมาปิดตา ผมคิดว่านั้นเป็นสิ่งที่ศิลปินหรือนักมายากลจะภูมิใจไปกับผลงานของตัวเอง”
เขาเสริมต่ออีกว่า ถึงแม้เทคนิคการแต่งหน้าพิเศษจะสมจริงแค่ไหนก็ตาม มันก็ไม่สามารถที่จะช่วยให้ผลักดันเรื่องนี้ขึ้นสู่จุดสุดยอด "ความสุขในการดูหนังเรื่องนี้คือการดูในระบบสามมิติ คุณจะเห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในจอ และด้วยเทคนิคการแต่งหน้าพิเศษ คุณก็จะเห็นลึกลงมากกว่าหนังสองมิติธรรมดา เช่นเราสร้างหุ่นจำลองของนักแสดงขึ้นมาหลายคน ที่เมื่อพวกเขาถูกควักหัวใจออกมา มันก็จะดูเหมือนกับว่าเขาถูกควักหัวใจออกมาจริงๆ"
แพ็ตทริก ลัสซิเออร์ และทีมงานสร้างทุกคนต่างก็มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน นั้นก็คือการทำให้มันซื่อตรงต่อตำนานของภาพยนตร์ต้นฉบับ “My Bloody Valentine กำเนิดขึ้นเพียงแค่ภาคเดียว พวกเขาไม่เคยสร้างภาคต่อ และในช่วงที่หนังเรื่องนี้ออกฉาย มันกลายเป็นภาพยนตร์สยองขวัญที่ถูกคณะกรรมการเซ็นเซ่อร์ทำลายเสียย่อยยับ มันมีประมาณ 9 นาทีที่ถูกตัดออกไป โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้สร้าง พวกเราต้องทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อทดแทน 9 นาทีนั้นที่หายไป"
My Bloody Valentine 3D กับเทคโนโลยีอันล้ำยุค
My Bloody Valentine 3D ถูกถ่ายทำด้วยระบบสามมิติที่มีศักยภาพสูงสุดในปัจจุบัน โดยการใช้รูปแบบ HD 4K ตัวล่าสุด ที่สามารถบันทึกรูปขนาด 4000 พิกเซลที่ 30 เฟรมต่อวินาที มากกว่า HD แบบปกติที่บันทึกรูปขนาด 2000 พิกเซลที่ 30 เฟรมต่อวินาทีเท่านั้น ทีมงานได้ใช้กล้องดิจิตอลที่ออกแบบโดยเฉพาะเพื่อภาพยนตร์เรื่องนี้ถึงสองตัว ที่ชื่อว่า The Red One และ Silicon Imaging SI-2K Digital Cinema ซึ่งทั้งสองมีขนาดเล็กและเบากว่ากล้องถ่ายภาพยนตร์ทั้งในระบบ 2 มิติ และ 3 มิติ ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน
ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการถ่ายทำในระบบสามมิติ แม็กส์ เพนเนอร์ (Max Penner) ได้พูดถึงอุปกรณ์และเทคนิคที่ใช้ในการถ่ายทำ ที่เป็นเหมือนกับวิวัฒนาการใหม่ล่าสุด ซึ่งแม้กระทั่งผู้ที่สัมผัสกับเทคโนโลยีนี้มาอย่างยาวนานอย่างเขาต้องมาศึกษาใหม่ “กล้องสามมิติในสมัยก่อนนั้นจะมีขนาดใหญ่โต ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาในการถ่ายทำเป็นอันมาก"
อีกสิ่งหนึ่งที่แตกต่างออกไปในเทคโนโลยีรุ่นล่าสุดนี้ ก็คือมันไม่ได้ถูกบันทึกลงไปในม้วนเทปหรือแผ่นฟิล์ม ในทางกลับกัน รูปภาพดิจิตอลจะถูกเก็บเอาในแฟล็ชการ์ด และถูกดาวน์โหลดลงไปในฮาร์ดดิสของเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งก็จะมอบอำนาจให้กับผู้สร้างได้ควบคุมภาพที่ตัวเองต้องการอย่างเต็มเปี่ยม โดย เพนเนอร์ ได้เล่าว่า จากประสบการณ์ที่ได้ใช้กล้องนี้ ก็เหมือนกับที่เขาเคยถ่ายด้วยกล้องขนาด 35 มม ในสมัยก่อน "มันไม่เหมือนกับม้วนเทปที่แต่ละม้วนจะยาวประมาณหนึ่งชั่วโมง เพราะคุณต้องเอาข้อมูลออกจากกล้องทุก 4-8 นาทีต่อครั้ง การได้ทำงานในการพักๆหยุดๆเช่นนี้ ทำให้ทีมงานรู้สึกผ่อนคลายเป็นอย่างมาก"
สิ่งที่เป็นประโยชน์ที่สุดในการใช้เทคโนโลยีรุ่นล่าสุดนี้ ก็คือมันสามารถเล่นสิ่งที่ทีมงานเพิ่งถ่ายทำไปในระบบสามมิติได้ทันที ซึ่งก็ทำให้การควบคุมในเรื่องความคิดสร้างสรรค์มีมากยิ่งขึ้นไปอีกระดับ เพนเนอร์ อธิบายไว้ “ในสมัยก่อน พวกเราจะไม่เห็นอะไรก็ตามในระบบสามมิติ จนกระทั่งเมื่อผ่านไปแล้วประมาณหนึ่งเดือนหลังการถ่ายทำเสร็จสิ้น แต่ในโปรเจ็คนี้ สิ่งที่เราจะได้เห็นจากจอมอนิเตอร์ ก็คือสิ่งเดียวกับที่ผู้ชมจะได้เห็นในโรงภาพยนตร์"
เขาอธิบายต่อว่า “ฉากสามมิติทุกฉากในภาพยนตร์ คือสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นในกองถ่ายเลย พวกเราสามารถที่จะสร้างความลึกตื้นให้กับภาพในขณะถ่ายทำ เพราะเทคโนโลยีล่าสุดนี้ ทำให้สามารถมองลงไปในเหตุการณ์และตัดสินใจได้ทันทีว่า พวกเราต้องการปรับเปลี่ยนหรือเก็บมันไว้เพื่อใช้ดี"
โดยปกติแล้ว เทคนิคการถ่ายทำภาพยนตร์ในระบบสามมิติ ก็คือการใช้กล้องถ่ายทำในระบบสองมิติสองตัวหรือเลนส์สองชุด โดยเริ่มถ่ายพร้อมกันในมุมมองที่เยื้องกันเล็กน้อบ ซึ่งผลก็จะทำให้สายตาของคนดูมองเห็นเป็นสองภาพในฉากเดียวกัน และทำให้มันเกิดความลึกและนูนออกมาแบบสามมิติ
เพนเนอร์ ได้เล่าถึงพัฒนาการที่มาจากกล้องตัวใหม่ว่า “ด้วยกล้องถ่ายทำชนิดใหม่ พวกเราสามารถปรับระยะความห่างของเลนส์สองตัว หรือจุดพาดผ่านระหว่างแนวนอนและแนวตั้งได้โดยอัตโนมัติ ซึ่งเป็นสิ่งที่คุณไม่สามารถทำได้ด้วยกล้องที่วางขนานกัน หรือเปลี่ยนโฟกัสของเลนส์แยกกัน ซึ่งเป็นบ่อเกิดของปัญหาในภาพยนตร์ระบบสามมิติในสมัยก่อน"
เพนเนอร์ ได้สรุปถึงประโยชน์ที่มาจากกล้องตัวใหม่ไว้ว่า “เช่นการถ่ายทำฉากเปิดของหนังเรื่องนี้ ที่เราจะเห็นภาพห้องทั้งห้องจนไปถึงการโคลสอัพไปที่หน้าของใครบางคน พวกเราอาจจะเริ่มต้นจากการตั้งความห่างของเลนส์ในระยะสองนิ้ว จากนั้นก็ปรับไปจนเหลือแค่ครึ่งนิ้ว ซึ่งก็จะทำให้ความห่างของภาพสองภาพนั้นน้อยลงไปเรื่อยๆ ซึ่งการใช้กล้องตัวใหม่นี้ พวกเราสามารถรักษาระดับความห่างนั้นเอาไว้ได้ทุกช็อต ซึ่งเปิดโอกาสให้เราสามารถควบคุมกล้องสามมิติ ที่มีความเสถียรภาพและแม่นยำมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม"
ประวัติความเป็นมาของภาพยนตร์สามมิติ
ภาพยนตร์สยองขวัญมีส่วนช่วยในการพัฒนารูปแบบภาพยนตร์ในระบบสามมิติ เพราะธรรมชาติของหนังประเภทนี้ทำให้การใช้เทคโนโลยีสามมิติมีประสิทธิผลมากที่สุด โดยในยุคทองของหนังสามมิติ ภาพยนตร์เรื่องแรกที่ประสบความสำเร็จก็คือหนังสยองขวัญสุดคลาสสิค House of Wax (1953) ที่นำแสดงโดย วินเซนต์ ไพรช์ (Vincent Price) ซึ่งจากผลงานทางด้านภาพและการแสดงอันยอดเยี่ยมของ วินเซนต์ ก็ทำให้ชื่อของเขากลายเป็นแบรนด์เนมของหนังประเภทนี้
ภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จในช่วงบูมของหนังสามมิติ ถ้าไม่ใช่หนังสยองขวัญแบบเพียวๆแล้ว ก็มักจะเป็นลูกผสมกับหนังระทึกขวัญ เช่น Bwana Devil (1952), It Came from Outer Space (1953), The Mad Magician (1954) และ Dial M for Murder (1954) ของผู้กำกับในตำนาน อัลเฟรด ฮิชค๊อก (Alfred Hitchcock)
แต่ภาพยนตร์ที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของหนังสามมิติสยองขวัญก็คือ The Creature from the Black Lagoon (1954) โดยมันเป็นเรื่องของนักโบราณคดีกลุ่มหนึ่ง ที่ถูกรุนรานโดยมนุษย์โบราณครึ่งคนครึ่งปลา โดยที่ถึงแม้เทคโนโลยีในการถ่ายทำด้วยระบบสามมิติจะถูกจำกัดด้วยยุคสมัย แต่มันก็ประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้น และตัวละครอย่าง Gill Man ก็กลายเป็นหนึ่งในตัวละคร ที่เป็นสัญลักษณ์ของสตูดิโอ Universal
ด้วยวิวัฒนาการต่างๆที่ยังไม่พร้อมใช้ในการพัฒนา และเรื่องของทุนสร้างที่จำกัดจำเขี่ย ยุคทองของหนังสามมิติลุกโชนขึ้นแค่ช่วงสั้นๆ แต่ภาพยนตร์ประเภทสยองขวัญที่สร้างโดยสตูดิโออิสระทุนต่ำ ก็ยังคงทำไม่ให้ระบบนี้ล้มหายตายจากไปในช่วงทศวรรษที่ 60 เช่นในปี 1961 ภาพยนตร์จากฟากแคนาดา เรื่อง The Mask ก็ทำให้ตลาดภาพยนตร์ในอเมริกาต้องขวัญผวา ด้วยซีเควนส์หลอนอันน่าขนลุก ที่ถูกถ่ายทำด้วยระบบสามมิติ และยังมี Andy Warhol’s Frankenstein (1973) ที่ได้ผสมผสานเอาหนังสยองขวัญสามมิติ เข้ากับแนวหนังที่เป็นที่นิยมในช่วงทศวรรษที่ 70 อย่างหนังโป๊แบบวับๆแวมๆ (softcore porn)
ในช่วงต้นทศวรรษที่ 80 ภาพยนตร์สามมิติสยองขวัญก็กลับมาหลอกหลอนคนดูอีกครั้งด้วย Friday the 13th Part III (1982) ที่เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ในการสร้างฉากสามมิติ ที่ทำให้ภาพที่ปรากฎพุ่งออกมาจากจอภาพยนตร์ ซึ่งผลก็ทำให้ภาคสามของแฟรนไชน์ชื่อดังเรื่องนี้ ทำเงินมากกว่าภาคที่แล้วถึงสองเท่า และทำให้สตูดิโอหนังเจ้าอื่นมองเห็นลู่ทาง และเอาไปใช้ในภาพยนตร์เรื่องอื่นๆอย่างเช่น Jaws 3-D และ Amityville 3-D ในปีต่อมา
แต่เนื่องด้วยการลงทุนที่สูง และเทคโนโลยีที่ยังไม่สามารถพัฒนาได้ต่อ ก็ทำให้ภาพยนตร์สามมิติกลับไปสู่รากเหง้าอีกครั้งหนึ่ง โดยในช่วงกลางทศวรรษที่ 80 ภาพยนตร์สามมิติก็ลดระดับตัวเองเป็นแค่สารคดีที่ฉายในโรงภาพยนตร์ IMAX ตลอด 20 ปีที่ผ่านมาเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ขวากหนามที่ปิดกั้นภาพยนตร์ในรูปแบบสามมิติก็ถูกรื้อลงอีกครั้ง เพราะในปัจจุบันนี้ ภาพยนตร์ในรูปแบบสามมิติก็สามารถพัฒนาไปได้เกินกว่าที่ทุกคนจินจนาการเอาไว้เสียอีก
การคิดค้นวิวัฒนาการใหม่ๆเพื่อใช้ในการผลิตกล้องที่ใช้ถ่ายทำ ได้ลดเรื่องค่าใช้จ่ายในการถ่ายทำอย่างมหาศาล และช่วยให้ผู้สร้างมีเวลาสร้างสรรค์ผลงานด้านภาพที่ตื่นตาตื่นใจมากยิ่งขึ้น และผู้ชมก็ไม่จำเป็นต้องสวมใส่แว่นตาสีฟ้า-แดง (ที่เรียกว่า anaglyph) อันน่าปวดเศียรเวียนเกล้าอีกต่อไป เพราะด้วยรูปแบบของภาพยนตร์สามมิติในปัจจุบัน ที่เรียกตัวเองว่า Real D และ Dolby 3D Digital Cinema ได้เปลี่ยนมาใช้แว่นกระจกใสที่ให้ความสะดวกสบาย และให้ภาพที่คมชัดเหมือนไม่ได้สวมแว่นอยู่เลย
ในปัจจุบันนั้น ภาพยนตร์อาทิ Polar Express (2004), Chicken Little (2005), Beowulf (2007) และ Journey to the Center of the Earth (2008) ก็สามารถทำเงินในระบบสามมิติมากกว่าเวอร์ชั่นที่ฉายในระบบสองมิติ โดยในปี 2009 ก็ยังมีอนิเมชั่นมากกว่า 9 เรื่อง ซึ่งก็มาจากสตูดิโอชั้นนำในฮอลลิวู้ด เช่นเรื่อง Shrek, Cars, Kung Fu Panda และ Toy Story ก็ก้าวกระโดดเข้าสู่โลกสามมิติ โดยทั้งหมดนั้นก็กำลังถูกสร้างอยู่ในขณะนี้
ด้วยความประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามของหนังสามมิติ ก็เปรียบเสมือนการต่อชีวิตให้กับหนังในรูปแบบนี้ และมอบเวลาในการเร่งพัฒนาให้ก้าวไกลไปกว่าจุดสุดยอด ซึ่งการผสมผสานของภาพยนตร์ในระบบสามมิติ กับภาพยนตร์สยองขวัญ ก็น่าจะทำให้คนดูรู้สึกเหมือนกับว่า มีอะไรแหลมๆอยู่บนเบาะตลอดการรับชมอย่างแน่นอน
ทีมงานนักแสดง
เจนเซ่น แอ็คเคิ้ล (รับบทเป็น ทอม ฮานนิเกอร์)
เกิดในเมืองดัลลัส รัฐเท็กซัส หลังจากที่เริ่มต้นด้วยการเป็นนายแบบตั้งแต่เด็ก เขาก็เข้าสู่วงการแสดงทันทีที่จบการศึกษาระดับบมัธยมศึกษา โดยในปี 1997 เขาก็ได้รับบทบาทในละครทีวีช่วงกลางวันเรื่อง Days of Our Lives ที่เขาแสดงเป็น เอริค เบรดี้ ซึ่งจากการแสดงอันยอดเยี่ยม ก็ทำให้เขาได้รับรางวัลนักแสดงหน้าใหม่จาก Soap Opera Digest Award ประจำปี 1998
ในปี 2000 แอ็คเคิ้ล ก็ได้ย้ายไปที่เมืองแวนคูเวอร์ เพื่อร่วมแสดงใน Dark Angel แอ็คชั่นซีรี่ย์ที่อำนวยการสร้างโดย เจมส์ คาเมรอน โดยเขาได้แสดงเป็น Ben/X5-493 พี่ชายวิกลจริตของ แม๊กส์ (นำแสดงโดย เจสสิก้า อัลบ้า) แม้ตัวละครที่เขาเล่นต้องพบกับจุดจบ แต่ แอ็คเคิ้ล ก็ยังกลับมาเล่นในซีซั่นที่สองอีกครั้ง โดยแสดงเป็นตัวโคลนของ เบน ที่ชื่อว่า Alec/X5-494 ซึ่งเขาก็ได้ร่วมมือกับ แม๊กส์ ในการต่อสู้เหล่าร้าย จนกระทั่งซีรี่ย์สิ้นสุดลงในปี 2002
เขาได้เป็นนักแสดงรับเชิญหลายตอนในซีรี่ย์วัยรุ่นอย่าง Dawson's Creek และในปี 2004 แอ็คเคิ้ล ก็กลับไปยังเมืองแวนคูเวอร์ อีกครั้ง เพื่อรับบทประจำในซีรี่ย์สุดฮิตอีกเรื่องอย่าง Smallville โดยนี้เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับชีวิตในวัยรุ่นของ คลาร์ก เคนท์/ซุปเปอร์แมน โดยเขาแสดงเป็น เจสัน ทีค ผู้ช่วยโค้ชในโรงเรียนมัธยม และก็ยังเป็นคู่รักของ ลาน่า แลงก์ ที่รับบทโดย คริสติน ครูก
แอ็คเคิ้ล กลับมารับบทสำคัญอีกครั้งหนึ่งในปี 2005 โดยเขาแสดงนำใน Supernatural ซีรี่ย์ที่ได้รับความสนใจจากแฟนๆเป็นจำนวนมากอยู่ในขณะนี้ โดยเขารับบทเป็น ดอน วิสเชสเตอร์ ที่ต้องร่วมมือกับ แซม (แจเร็จ พาดาเร็คกี้) น้องของเขา ในการออกเดินทางข้ามประเทศเพื่อสืบสวนในเรื่องเหนือธรรมชาติที่เกิดขึ้น
ทอม แอ็ทกิ้น (รับบทเป็น เบิร์ค)
นักแสดงอวุโส ที่เป็นเหมือนกับสัญลักษณ์ของหนังสยองขวัญตลอดช่วง 30 ปีที่ผ่านมา โดยเขามีผลงานที่น่าจดจำในภาพยนตร์คัลท์ชื่อดัง เช่น Escape of New York, The Fog, Halloween III, Night of the Creeps และ Creepshow
เจมี่ คิง (รับบทเป็น ซาร่าห์ พาล์มเมอร์)
เริ่มต้นการเป็นนักแสดงด้วยการเดินแบบ และขึ้นปกนิตยสารชั้นนำทั่วโลก และได้เซ็นสัญญาเพื่อเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับแบรนด์ดังอย่าง Giorgio Armani, Calvin Klein และ Victoria's Secret ด้วยเสน่ห์แบบสาวอเมริกันของเธอ ทำให้เธอได้เป็นโฆษกให้กับ Revlon และแบรนด์ของนักร้องแร๊ปชื่อดังอย่าง Jay Z
เธอมีผลงานภาพยนตร์มาอย่างเรื่อง The Spirit, Pearl Harbor, Blow, Clackers, Two for The Money, White Chicks, Sin City และ Cheaper by the Dozen 2 โดยเธอกำลังจะมีผลงานในภาพยนตร์เรื่องล่าสุด Fanboy
เคอร์ สมิธ (รับบทเป็น อเล็ค พาล์มเมอร์)
เขาปรากฎตัวซีรี่ย์สุดฮิตเรื่อง Eli Stone ร่วมจอกับ จอห์นนี่ ลี มิลเลอร์ และ วิคเตอร์ การ์เบอร์ โดยก่อนหน้านี้เขาเป็นที่รู้จักของผู้ชมทางจอโทรทัศน์กับบท แจ็ค แม็คฟีย์ ในซีรี่ย์เรื่องดัง Dawson's Creek
ผลงานทางภาพยนตร์ เขาแสดงในเรื่อง Final Destination, The Forsaken และ Pressure และก็ยังมีผลงานทางทีวีอีกมากมาย เช่น Justice ที่แสดงร่วมกับ วิคเตอร์ กาเบอร์, E-Ring ที่แสดงร่วมกับ เบนจามิน แบร็ด, CSI: NY ซีรี่ย์สุดฮิต ที่เขาได้มีบทบาทอยู่หลายตอน
เควิน ทีค (รับบทเป็น เบน โฟลี่ย์)
นักแสดงอวุโสที่มีผลงานเรื่องแรกคือ The Graduate หลังจากนั้น เขขาก็มีผลงานอีกเป็นระยะๆ เช่น Mumford, WHat's Eating Gilbert Grape, Newsies, School Ties, K-9, Roadhouse และ Eaight Men Out โดยผลงานที่ทำให้เขาเป็นที่จดจำที่สุด ก็คือการแสดงเป็นนักเลงในภาพยนตร์ของผู้กำกับ จอห์น เซย์เลส Matewan
ทีมงานสร้าง
แพ็ตทริก ลัสซิเออร์ (ผู้กำกับ/ตัดต่อ)
ผู้กำกับหนังสยองขวัญมาแรง ที่เคยสั่งสมประสบการณ์ในการร่วมงานกับ เวส คราเว็น มาหลายโปรเจ็คแล้ว โดยเขาทำหน้าที่ในการตัดต่อให้กับภาพยนตร์เรื่องล่าสุดอย่าง The Eye ซึ่งเขากำกับหน้าเป็นที่ปรึกษาเรื่องงานด้านภาพให้ด้วย โดยเขาเคยกำกับและตัดต่อให้กับเรื่อง White Noise 2: The Light ที่นำแสดงโดย นาธาน ฟิลเลียน เขายังเคยทำหน้าที่กำกับและเขียนบทให้กับเรื่อง Wes Craven Present: Dracula 2000, Dracula II: Ascension และ Dracula III: Legacy โดยเขาได้รับหน้าที่ประจำในการตัดต่อให้กับภาพยนตร์ของ เวส คราเว็น มาตั้งแต่ปี 1991 จนถึงปัจจุบัน
ท๊อดด์ ฟาร์มเมอร์ (ผู้เขียนบท)
เขาเริ่มต้นอาชีพคนเขียนบทในการร่วมงานกับผู้กำกับ ณอน เอส คันนิ่งแฮม โดยเขาเขียนบททภาพยนตร์เวอร์ชั่นแรกให้กับเรื่อง Freddy vs. Jason และได้รับเครดิตเต็มตัวจากเรื่อง Jason X เขายังได้เขียนเรื่อง Scarecrow ให้กับทาง Revolution Studios ซึ่งภายหลังได้เปลี่ยนชื่อเป็น The Messengers ที่เปลี่ยนค่ายมายังสตูดิโอของผู้กำกับ แซม ไรมี่ย์ อย่าง Ghost House โดยผลงานปัจจุบันนี้ เขาก็ได้เขียนภาคปฐมบทของเรื่อง The Messengers เรียบร้อบแล้ว โดยมีกำหนดถ่ายทำกันในซัมเมอร์ปี 2009
แจ็ค เมอร์เร่ย์ (ผู้อำนวยการสร้าง)
เขาได้มีผลงานร่วมกับทางสตูดิโอ Liongate มาแล้วด้วยกันสามเรื่อง ซึ่งก็มี The Eye ภาพยนตร์รีเมคที่นำแสดงโดย
เจสสิก้า อัลบ้า, Punisher: War Zone ที่เพิ่งลงโรงฉายไปช่วงปลายปีที่ผ่านมา และ My Bloody Valentine 3D ที่เขามีส่วนสำคัญ ที่ช่วยให้การทำภาพยนตร์เรื่องนี้ กลายเป็นภาพยนตร์สามมิติเรื่องล่าสุด
ไบรอัน เพียร์สัน (ผู้กำกับภาพ)
เขากำกับภาพให้กับภาพยนตร์ เช่น White Noise 2, Butterfly Effect II, The Eye, Devour, The Long Weekend, School of Life และ Urban Legend: Final Cut, Unleashed โดยเขายังทำหน้าที่ผู้กำกับภาพ ในส่วนของฉากแอ็คชั่นให้กับหนังบล็อคบัสเตอร์เรื่องดังอย่าง I Am Legend, Underworld: Evolution และ I, Robot
แซ็ค กร๊อปเลอร์ (ผู้ออกแบบงานสร้าง)
ผลงาน >>> The Ghost and The Darkness, The Young Black Stallion, The Interpreter และ The Four Feathers
แกรี่ เจ ทุนนิคลิฟ (ผู้ออกแบบการแต่งหน้าพิเศษ)
ผลงาน >>> Hellraiser ภาคหนึ่งและสอง, Halloweem สองภาค, Children of The Corn, Lord of Illutions, Blade และ Sleepy Hollow
ซินเธีย ลุ๊ดวิค (ผู้ตัดต่อ)
ผลงาน >>> Venice/Venice, Shadow Dancer, Flightplan, Vertical Limit, Tomb Rider II และ Reign of Fire
ไมเคิล แวนมาเชอร์ (ผู้แต่งเพลงประกอบ)
ผลงาน >>> Train, Never Back DOwn, The Killing Floor, Cry Wolf, Max Keeble's Big Move และ The Legend of Drunken Master