ธนาคารกรุงศรีอยุธยา รายงานผลการดำเนินงานในปี 2551 กำไรสุทธิ 4,890 ล้านบาท ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับผลขาดทุนสุทธิ 3,990 ล้านบาทในปี 2550

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday January 21, 2009 16:46 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--21 ม.ค.--ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ประกาศผลการดำเนินงานประจำปี 2551 ซึ่งปรับปรุงดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยธนาคารและบริษัทในเครือมีกำไรก่อนสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญและภาษี จำนวน 11,510 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35% เมื่อเทียบกับปี 2550 และหลังตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญจำนวน 6,060 ล้านบาทและภาษี จำนวน 560 ล้านบาท ธนาคารมีกำไรสุทธิ 4,890 ล้านบาท ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับปีก่อนซึ่งมีผลขาดทุนสุทธิจำนวน 3,990 ล้านบาท อันเป็นผลจากการตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญและภาษีตามเกณฑ์ IAS 39 ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผลการดำเนินงานปกติของธนาคารในปี 2551 ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน ได้แก่ รายได้ดอกเบี้ยและเงินปันผลสุทธิเพิ่มขึ้น 36% รายได้จากค่าธรรมเนียมและบริการเพิ่มขึ้น 34% ในขณะที่ค่าใช้จ่ายที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเพียง 14% และหลังการตั้งสำรองเงินลงทุนในตราสาร CDO เพิ่มขึ้นอีก 80% หรือจำนวน 2,290 ล้านบาท ธนาคารยังคงมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ปัจจัยที่ส่งผลให้ความสามารถในการทำกำไรของธนาคารปรับปรุงดีขึ้นในปี 2551 ได้แก่ สินเชื่อที่เติบโตสุทธิจำนวน 107,000 ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้น 24% ซึ่งมาจากทั้งการเติบโตจากธุรกิจปกติและการเข้าซื้อกิจการ การปรับปรุงโครงสร้างสินเชื่อของธนาคารให้มีสินเชื่อเพื่อลูกค้ารายย่อยเพิ่มขึ้นจาก 22% เมื่อสิ้นปี 2550 เป็น 32% ณ สิ้นปี 2551 ขณะเดียวกันคุณภาพสินทรัพย์ของธนาคารก็ปรับปรุงดีขึ้นจากความสำเร็จของการขายหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิด รายได้ (NPL) โดยในปี 2551 NPL ของธนาคารและบริษัทในเครือลดลง 15,050 ล้านบาท ส่งผลให้ NPL ลดลงมาอยู่ที่ 55,600 ล้านบาท หรือ 8.9% จาก 15.5% ของสินเชื่อรวม ขณะที่ NPL สุทธิลดลงมาอยู่ที่ 5.5% จาก 10.0% ในปี 2550 นายตัน คอง คูน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ปี 2551 ธนาคารมีผลการดำเนินงานเป็นที่น่าพอใจ การเข้าซื้อกิจการรายการแรกคือ การเข้าซื้อบริษัท จีอี แคปปิตอล ออโต้ ลีส จำกัด (มหาชน) ได้ให้ผลตอบแทนที่ดี สำหรับการเติบโตจากการดำเนินธุรกิจตามปกตินั้น ท่ามกลางสภาวะที่ท้าทายต่อการดำเนินธุรกิจ ธนาคารสามารถขยายสินเชื่อได้รวม 44,000 ล้านบาท และในขณะที่สินเชื่อของธนาคารเติบโตอย่างแข็งแกร่ง คุณภาพสินทรัพย์ของธนาคารก็ปรับปรุงดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นถึงการมีนโยบายการให้สินเชื่อที่เหมาะสมและการบริหารจัดการความเสี่ยงที่ดี” "นอกจากนี้ ธนาคารยังได้ตั้งสำรองฯ ครบ 100% สำหรับเงินลงทุนในตราสาร CDO จำนวน 85 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งไม่มีการลงทุนโดยตรงในอสังหาริมทรัพย์ที่ผู้กู้มีความเสี่ยงสูง (sub-prime mortgages) เราเชื่อว่า จะสามารถได้รับบางส่วนกลับเป็นรายได้ ก่อนกำหนดหมดอายุตราสารในปี 2555 ทั้งนี้ แม้ว่าธนาคารจะต้องตั้งสำรองฯ ใน ตราสาร CDO เพิ่มเบ็ดเสร็จรวม 2,290 ล้านบาท ในปี 2551 ธนาคารยังสามารถรายงานกำไรจากการดำเนินงานที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงผลของการทุ่มเททำงานหนักของพนักงาน ความมุ่งมั่น และ โครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งของธนาคาร” สำหรับปี 2552 ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ตั้งเป้าหมายขยายสินเชื่อเพิ่มขึ้นสุทธิประมาณ 35,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราเติบโต 6% จากฐานสินเชื่อ โดยแบ่งเป็นเป้าหมายขยายสินเชื่อเพื่อธุรกิจขนาดใหญ่เติบโตสุทธิประมาณ 9,000 ล้านบาท สินเชื่อเพื่อธุรกิจ SME เติบโตสุทธิประมาณ 11,000 ล้านบาท และสินเชื่อเพื่อลูกค้ารายย่อย เติบโตสุทธิประมาณ 15,000 ล้านบาท “ในภาวะแวดล้อมวิกฤตการเงินโลกและเศรษฐกิจชะลอตัว เรายังคงมั่นใจว่า โครงสร้างพื้นฐานของธนาคารที่ได้ปรับปรุงให้แข็งแกร่งขึ้น และฐานะเงินกองทุนที่มีอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงที่ระดับสูงกว่า 15% จะช่วยให้ธนาคารผ่านสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่ยากขึ้นในปี 2552 และสามารถบรรลุเป้าหมายธุรกิจ” นายตัน คอง คูน กล่าวในที่สุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2551 ตามงบการเงินรวม ธนาคารมีสินทรัพย์รวม 745,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 92,900 ล้านบาท หรือ 14% เมื่อเทียบกับเมื่อสิ้นปี 2550 เงินให้สินเชื่อ 557,100 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 106,700 ล้านบาท หรือ 24%และเงินฝาก 537,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37,700 ล้านบาท หรือ 8% ธนาคารยังคงรักษาความแข็งแกร่งของเงินทุนโดยมีอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) ที่ระดับ 15.6% โดยเป็นเงินกองทุนขั้นที่ 1 (Tier 1) 12.8% ข้อมูลเกี่ยวกับธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) บมจ. ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 27 มกราคม 2488 ปัจจุบันเป็นธนาคารพาณิชย์ที่มีขนาดสินทรัพย์ ใหญ่เป็นอันดับ 5 ของประเทศไทย เป็นธนาคารที่ให้บริการทางการเงินอย่างครบวงจร แก่ทั้งลูกค้าธุรกิจ และลูกค้าบุคคล ผ่านเครือข่ายสาขา 579 แห่งทั่วประเทศ เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2550 ธนาคารกรุงศรีอยุธยา และ จีอี มันนี่ ซึ่งเป็นสถาบันการเงินชั้นนำเพื่อรายย่อยชั้นนำของโลกได้บรรลุข้อตกลงการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ โดยปัจจุบัน จีอี มันนี่ถือหุ้นของธนาคารในสัดส่วนร้อยละ 33 ซึ่งสะท้อนถึงความตั้งใจและความเชื่อมั่นในธนาคารกรุงศรีอยุธยา โดยมีเป้าหมายที่จะยกระดับการผสานความสามารถทางธุรกิจของสององค์กร คือ ธนาคาร กรุงศรีอยุธยา และจีอี มันนี่ เพื่อให้ธนาคารกรุงศรีอยุธยาบรรลุเป้าหมายการเป็นธนาคารที่ให้บริการครบวงจรชั้นนำของประเทศไทย ข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาเยี่ยมชมได้ที่เว็บไซต์ธนาคาร www.krungsri.com ข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาติดต่อ ดร.เยาวลักษณ์ พูลทอง ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านการสื่อสารองค์กรและนักลงทุนสัมพันธ์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) โทรศัพท์หมายเลข 0 2296 3729 อีเมล์: pyawalak@krungsri.com

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ