กรุงเทพฯ--27 ม.ค.--สหมงคลฟิล์ม
ถ้าคุณเป็นผู้หญิงและเป็นเพื่อนร่วมโรงเรียนกับ เจมี่ คิง มันก็มีโอกาสที่คุณจะรู้สึกหมั่นไส้มากกว่าที่จะชอบเธอ เพราะคุณจะแทบไม่พบข้อด้อยในตัวของผู้หญิงคนนี้เลย เธอเป็นดาราตั้งแต่วัยกระเต๊าะ เริ่มต้นเดินในเส้นทางบันเทิงด้วยการเป็นนางแบบ และเมื่อเร็วๆนี้ เธอก็เป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจของ แฟรงค์ มิลเลอร์ โดยได้แสดงในหนังไอเดียบรรเจิดอย่าง Sin City และ The Spirit
ในวันที่ 12 กุมภาพันธ์นี้ เธอก็ได้รับอีกบทบาทที่แตกต่างออกไปใน My Bloody Valentine 3D โดยเธอแสดงเป็นผู้หญิงฉลาดที่อยู่ในวังวนของรักสามเส้า ในขณะเดียวกันก็ยังต้องพยายามหนีการตามล่าของฆาตกรโรคจิต ซึ่ง คิง ได้ให้สัมภาษณ์กับทางเราว่า ตัวเองเป็นเด็กเนิร์ดที่ชอบไล่ตามเทคโนโลยีใหม่ๆ และก็ยังรู้สึกตื่นเต้นกับการได้เป็นส่วนหนึ่งในหนังสยองขวัญสามมิติ
อะไรเป็นสิ่งที่ทำให้คุณสนใจในการมารับเล่นบทนี้
My Bloody Valentine 3D เป็นหนังที่เปลี่ยนมุมมองของฉันต่อหนังสยองขวัญไปอย่างสิ้นเชิง ต้องขอสารภาพว่าฉันเองไม่เคยรู้สึกชอบหนังสยองขวัญเลย เพราะว่าตัวเองเป็นคนที่มีจินตนาการสูง ซึ่งใจของฉันมักจะเตลิดไปไกลถ้าได้ดูอะไรโหดๆอย่างนี้ ฉันกลัวว่าภาพที่เห็นจะติดตาและเข้าไปฝังอยู่ในสมอง และยิ่งกลัวเข้าไปอีกว่าตัวเองจะไม่สามารถเอามันออกไปได้ ฉันได้รับบทภาพยนตร์แนวนี้ตลอดเวลา แต่ก็ไม่มีอันไหนที่ทำให้ฉันรู้สึกชอบแบบจริงๆจังๆ จนในที่สุดเพื่อนที่ได้อ่านบทภาพยนตร์ ได้ส่งบทพร้อมพูดกับฉันว่า "เธอต้องอ่านบทภาพยนตร์เรื่องนี้น่ะ นี้มันเป็นหนังคัลท์จริงๆ มันเหมือนกับหนังสยองขวัญเรื่องแรกที่ฉันดูในตอนเด็ก" นั้นแหละที่ทำให้ฉันสนใจที่จะหยิบมันขึ้นมาอ่าน
แล้วจุดไหนในระบบสามมิติที่ทำให้คุณสนใจ
มันฟังดูแล้วเท่ดีน่ะ คือฉันเป็นคนที่ชอบเทคโนโลยีใหม่ๆ ฉันเคยแสดงในภาพยนตร์ที่ใช้เทคโนโลยีในแบบที่ไม่เคยใช้ในเรื่องไหนมาก่อน คุณอาจจะเรียกได้ว่าฉันคือเนิร์ด ฉันชอบไอเดียที่พวกเราสามารถเล่าเรื่องและสร้างภาพยนตร์ ที่ทำให้คนดูรู้สึกสนุกสนานในรูปแบบที่พวกเขาไม่เคยสัมผัสมาก่อน อย่างในเรื่องนี้ ทุกวันที่ฉันได้ดูฉากสามมิติที่พวกเขาใส่เข้าไป มันทำให้ฉันรู้สึกช็อคไปเลย
มันเป็นเรื่องท้าทายแค่ไหน สำหรับการแสดงต่อหน้ากล้องในระบบสามมิติ
มันไม่มีความแตกต่างในแง่ของการแสดง แต่สิ่งเดียวที่แตกต่างกันคือมันใช้ระยะเวลานานกว่า มันยังเกี่ยวกับเรื่องของการปรับตัวให้เข้ากับความสว่างและความร้อนของแสงไฟที่มีมากขึ้น ซึ่งทำให้แต่ละวันในการถ่ายทำรู้สึกว่าแสนยาวนาน ผู้คนภายนอกอาจคิดว่าการถ่ายทำในระบบสามมิตินั้นสะดวกสบาย แต่แท้จริงแล้วมันไม่เป็นอย่างนั้น ด้วยความที่ไม่มีใครเคยใช้กล้องแบบนี้มาก่อน ทำให้เราต้องถ่ายทำกันถึง 18 ชั่วโมงต่อวัน 6 วันต่อสัปดาห์ พูดง่ายๆคือพวกเราต้องเพิ่มเข้าไปอีก 30เปอร์เซ็นจากตารางทำงานตามปกติ
แล้วอย่างฉากที่ต้องใช้อาศัยเทคนิคสามมิติล่ะ เช่นลูกตาที่ถูกแทงทะลุออกมานอกจอ คุณต้องทำอะไรบ้าง
ฉันคุ้นเคยกับการแสดงแบบนี้ดี หลังจากแสดงในเรื่อง The Spirit และ Sin City เพราะนั้นคือสิ่งที่คุณต้องจินตนาการเอาเอง อย่างเช่นฉากที่พูดถึง ผู้ชายที่ยืนอยู่หน้าคุณ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเขา และคุณต้องมีปฏิกริยาตอบโต้กับสิ่งที่ไม่เกิดขึ้นณ.ช่วงเวลานั้น เพื่อนสนิทของฉันและนักแสดงชื่อดัง เซลม่า แบลร์ บอกฉันระหว่างการถ่ายทำ Hellboy II ว่า "ฉันต้องทำอะไรต่อมิอะไรกับสัตว์ประหลาดเหล่านั้น ทั้งๆที่มันไม่มีตัวตนจริงด้วยซ้ำ!" ฉันว่าฉันเข้าใจเธอน่ะ เพราะว่าตอนที่คุณแสดงในฉากประเภทนั้น คุณก็จะรู้สึกเหมือนกับเป็นคนบ้าที่คุยแต่กับตัวเอง
ระหว่างการแสดงในภาพยนตร์ที่ใช้เอฟเฟ็คเข้าช่วยเยอะๆ กับการแสดงในภาพยนตร์ที่มีขนาดเล็ก และใกล้ชิดในเรื่องความสัมพันธ์ คุณชอบอย่างไหนมากกว่ากัน
ฉันชอบทั้งสองแบบเลย เพราะว่ามันเป็นประสบการณ์ที่แตกต่างกัน เมื่อคุณแสดงในภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง นั้นคือตัวตนของคุณและเซ็ทที่คุณไปถ่ายก็มีอยู่จริง โอเคที่บางทีมันก็อาจจะมีเรื่องของความสมจริงหรือไม่สมจริง แต่สิ่งที่ฉันชอบในการทำงานกับฉากหลังที่เป็นบลูสกรีน นั้นก็คือตัวเองจะไม่รู้สึกถูกกักขังและจำกัดโดยสภาพแวดล้อม ฉันไม่แน่ใจว่าตัวเองชอบอะไรมากกว่ากัน แต่มีบางครั้งที่ฉันรู้สึกชอบถ่ายกับบลูสกรีนมากกว่า เพราะมันช่วยให้ฉันได้ปลดปล่อยจินตนาการอย่างเต็มที่ คุณเองยังไม่ต้องรับมือกับสภาพอากาศภายนอก คุณสามารถถ่ายทำได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้นักแสดงอย่างเราสามารถอยู่ในคาแร็คเตอร์ของตัวเอง และปลดปล่อยมันออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ช่วยเล่าถึงความคืบหน้าของ Sin City 2 หน่อย
มันจะเป็นภาพยนตร์ที่เจ๋งมาก และ แฟรงค์ มิลเลอร์ ก็กำลังเขียนบทภาพยนตร์สำหรับภาค 3 อยู่ด้วย เขาเองยังมางานเปิดตัว My Bloody Valentine 3D หลังจากที่ฉันบอกเขาว่า "คุณต้องให้สัญญากับฉันน่ะ ว่าจะมางานเปิดตัวภาพยนตร์เรื่องนี้" ซึ่งเขาก็มาจริงๆ สำหรับฉันแล้ว เขาคือเพื่อนสนิทที่สุดของฉัน เขาเหมือนกับพี่ชายของฉัน พวกเราสนิทกันตั้งแต่เรื่อง Sin City โดยตอนนี้พวกเราก็กำลังอยู่ในช่วงพูดคุยกับทางสตูดิโอ สำหรับการให้ทุนสร้างภาคสอง
คุณพอใจกับชีวิตที่ผ่านมาของตัวเองหรือเปล่า
แน่นอน แต่ฉันคิดว่าการแสดงเป็นเพียงเศษหนึ่งส่วนสี่ของสิ่งที่ฉันอยากทำในชีวิต ฉันเป็นคนที่ชอบเขียนมาตั้งแต่ 7 ขวบ และการกำกับภาพยนตร์ก็เป็นสิ่งที่ดูเป็นธรรมชาติมากกว่า ฉันคิดว่าการได้รับโอกาสแสดงหนังนั้นเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมที่เกิดขึ้นกับชีวิตแล้ว แต่การได้สร้างหนังเองเลยนั้นคงจะเป็นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับตัวฉันเองอย่างแน่นอน