กรุงเทพฯ--30 ม.ค.--อาซิแอม เบอร์สัน-มาร์สเตลเลอร์
กลุ่มมิตรผลขานรับนโยบายพลังงานวาระแห่งชาติ ประกาศความเป็นองค์กรแถวหน้าในการร่วมสร้างความมั่นคงทางพลังงาน ด้วยการเป็นภาคเอกชนไทยรายแรกที่นำเข้ารถ Flexible Fuel Vehicle: FFV ซึ่งใช้พลังงานสะอาด E85 เป็นเชื้อเพลิงในการขับเคลื่อนกว่า 50 คัน มาใช้ในการดำเนินธุรกิจอย่างเป็นรูปธรรมแล้ววันนี้ และหวังให้ภาครัฐฯ เดินหน้าให้การสนับสนุนการใช้พลังงานทดแทนอย่างต่อเนื่องจริงจัง เพื่อผลักดันให้ประเทศก้าวสู่การพัฒนาอย่างมั่นคงและยั่งยืน ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
จากวิกฤติการณ์น้ำมันเชื้อเพลิงที่มีราคาสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ในปี 2551 ที่ผ่านมานั้น เป็นสิ่งที่ทำให้หลายหน่วยงาน ตลอดจนประชาชนทั่วไปได้ตระหนักว่า ทิศทางการพัฒนาของประเทศในทุกๆ ด้านล้วนขึ้นอยู่กับพลังงานที่ต้องนำเข้านี้ เมื่อใดที่น้ำมันมีระดับราคาที่ผันผวน ทุกภาคส่วนอันได้แก่ภาครัฐฯ ภาคธุรกิจเอกชน และประชาชนต่างก็ได้รับผลกระทบด้วยกันทั้งสิ้น สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า ตราบใดที่ประเทศยังต้องพึ่งพาการนำเข้าพลังงานเชื้อเพลิงจากต่างประเทศเป็นหลัก ประเทศก็จะขาดความมั่นคงทางด้านพลังงาน ซึ่งจะส่งผลกระทบไปถึงความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมในอนาคตอย่างเลี่ยงไม่ได้
อย่างไรก็ตาม กระทรวงพลังงานในฐานะเสาหลักในการกำหนดโยบายด้านพลังงานของประเทศ ได้ตระหนักและเล็งเห็นถึงความสำคัญในเรื่องนี้ จึงได้กำหนดนโยบายด้านพลังงานทดแทนเป็นวาระแห่งชาติ โดยมุ่งส่งเสริมการผลิตและการใช้พลังงานทดแทน เพื่อลดการนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ด้วยเห็นว่าการใช้พลังงานทดแทนต่างๆ ที่ผลิตได้เอง จะเป็นหนทางที่จะนำพาประเทศไปสู่การพัฒนาอย่างมั่นคงและยั่งยืนในอนาคต
นายแพทย์วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า การส่งมอบรถยนต์ FFV E85 จำนวนกว่า 50 คัน ที่กลุ่มมิตรผล และบริษัท เพโทรกรีน ได้นำเข้ามาใช้งานจริงในวันนี้ เป็นการแสดงให้เห็นถึงการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 ในเชิงพาณิชย์ได้อย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น ในส่วนของกระทรวงพลังงานจะยังย้ำถึงความชัดเจนในนโยบายการส่งเสริมพลังงานทดแทนให้เป็นวาระแห่งชาติ โดยเฉพาะการเพิ่มสัดส่วนการใช้เอทานอล ซึ่งกระทรวงพลังงานมีการกำหนด Road Map ส่งเสริมการใช้ E 85 โดยเริ่มทดลอง Fleet และนำเข้ารถยนต์ FFV เชิงพาณิชย์บางส่วนประมาณ 2,000 คัน เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน และเปิด Line การผลิตรถยนต์ FFV ในประเทศ พร้อมตั้งเป้าให้มีสถานีบริการเพื่อรองรับให้ได้ 30 - 50แห่ง ตามการเติบโตของการใช้
นอกจากนี้ ยังมีมาตรการเพื่อส่งเสริมการใช้ E85 อย่างครบวงจร เช่น มาตรการด้านภาษีรถยนต์ ปี 2552 ลดอากรนำเข้ารถยนต์ FFV จากร้อยละ 80 เหลือร้อยละ 60 เป็นจำนวน 2,000 คัน และพิจารณาใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ จัดทำโครงการนำร่องในลักษณะ “Rebate” ให้กับผู้ซื้อรถ FFV ซึ่งเทียบเท่ากับการลดหย่อนอัตราภาษีสรรพสามิต 3% มาตรการสร้างความพร้อมด้านการตลาด เช่น ออกมาตรฐานน้ำมัน E85 ปรับโครงสร้างราคาน้ำมันให้มีราคาขายปลีกต่ำกว่าแก๊สโซฮอล์ 95 (E10) และเร่งรัดการเปิดสถานีบริการแก๊สโซฮอล์ E85 มาตรการส่งเสริมวัตถุดิบ การผลิตเอทานอลและน้ำมัน E85 ครบวงจร เช่น ส่งเสริมการเพิ่มผลผลิตต่อไร่ ทั้งอ้อยและมันสำปะหลัง กำหนดการเพิ่มพื้นที่การเพาะปลูก พิจารณาความเหมาะสมของราคาเอทานอล กำหนดแนวทางการสนับสนุนการผลิตน้ำมัน E85 เพื่อสนับสนุนการส่งเสริมการใช้ E85 และเพิ่มประสิทธิภาพในระยะยาว
“การที่ภาครัฐและภาคเอกชนร่วมมือกันในการขับเคลื่อนนโยบายการส่งเสริมพลังงานทดแทน ให้บรรลุตามเป้าหมายที่วางไว้ให้เป็นไปตาม Road Map การส่งเสริมการใช้ E85 จะทำให้ลดภาระการนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศ ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติ 447,377 ล้านบาทภายใน 10 ปีข้างหน้า อีกทั้งยังช่วยลดมลพิษและภาวะโลกร้อนได้ถึง 27.8 ล้านตันต่อปี และยังเป็นการส่งเสริมสนับสนุนในภาคเกษตรกรรม โดยยกระดับผลิตพืชเกษตรไปสู่พืชพลังงาน สร้างเสถียรภาพราคาพืชผลเกษตรทำให้เกษตรกรมีความแน่นอนทางด้านการตลาดและมีรายได้มากขึ้น”
นายทัศน์ วนากรกุล กรรมการผู้จัดการ กลุ่มธุรกิจพลังงาน ในกลุ่มมิตรผล กล่าวว่าด้วยการสนับสนุนและส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดด้วยเชื้อเพลิง E85 ของกระทรวงพลังงาน ควบคู่ไปกับรถยนต์ Flexible Fuel Vehicle (FFV) ทำให้เราสามารถใช้เชื้อเพลิงเอทานอลที่สามารถผลิตได้ภายในประเทศ ทดแทนน้ำมันเบนซินที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งกลุ่มมิตรผลเล็งเห็นประโยชน์และความสำคัญของนโยบายดังกล่าว จึงได้ขานรับและให้การสนับสนุนมาโดยตลอด
“ในวันนี้กลุ่มมิตรผลมีความยินดีที่จะตอกย้ำความมุ่งมั่นของเรา ในการสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาดด้วยการเป็นกลุ่มบริษัทไทยรายแรกที่นำรถ FFV E85 ที่มีสมรรถนะสูง และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มาเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนธุรกิจของมิตรผลและบริษัทในเครือ โดยก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดทั้งทางตรงและทางอ้อม อันเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม และยังความภาคภูมิใจในการที่เราเป็นภาคเอกชนระดับแถวหน้าที่มีส่วนร่วมในการผลักดันนโยบายการใช้เชื้อเพลิง E85 อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อความมั่นคงทางด้านพลังงาน และยังเป็นการเพิ่มมูลค่าของผลผลิตทางการเกษตร ซึ่งในท้ายที่สุดประโยชน์ส่วนใหญ่ก็จะกลับสู่เกษตรกร ซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ อันนำไปสู่การพัฒนาอย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป”
ก้าวแรกของความสำเร็จของพันธมิตรภาคเอกชน ในการร่วมขับเคลื่อน E85 พลังงานสะอาด เพื่ออนาคตของประเทศไทยในครั้งนี้ นับเป็นก้าวสำคัญของการสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศ จากการตระหนักนำไปสู่ความมุ่งมั่น ในการร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดัน ให้หันมาเลือกใช้พลังงานสะอาดที่ผลิตได้จากผลผลิตทางการเกษตรที่เพาะปลูกได้ภายในประเทศ โดยได้รับการตอบรับอย่างดียิ่งจากบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ วอลโว่ ผู้ใช้รถอย่างกลุ่มมิตรผล ผู้ให้บริการสถานีจ่ายน้ำมันรายใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และบริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) รวมถึงกระทรวงพลังงาน ผู้กำหนดนโยบายเพื่อดำรงความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ เหล่านี้ล้วนแต่เป็นองค์ประกอบสำคัญของความสำเร็จในครั้งนี้ และจะเป็นแรงหนุนสำคัญในการร่วมขับเคลื่อน E85 พลังงานสะอาด เพื่ออนาคตของประเทศไทยในก้าวต่อๆ ไป
รายละเอียดเพิ่มเติม โปรดติดต่อ:
จามรี คุปตะเวทิน / ศรีเบญจา เสมมีสุข / สาธิดา ศรีธัญญาธรณ์
อาซิแอม เบอร์สัน-มาร์สเตลเลอร์
โทร. 0-2252-9871