กรุงเทพฯ--6 ก.พ.--ทริสเรทติ้ง
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศปรับลดอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) เป็นระดับ “BB+” จากเดิมที่ “BBB-” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตที่ลดลงสะท้อนถึงฐานะทางการเงินของบริษัทที่อ่อนแอกว่าคาดเนื่องจากมูลค่าสินค้าคงเหลือที่ด้อยค่าลงอย่างมากซึ่งเป็นผลมาจากการที่บริษัทสั่งซื้อวัตถุดิบในราคาสูงในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2551 ทั้งนี้ มูลค่าของสินค้าคงเหลือก่อนการด้อยค่าของสินค้าสำเร็จรูปและวัตถุดิบอยู่ที่ 16,867 ล้านบาทเมื่อเดือนธันวาคม 2551 ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากจาก 11,514 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนกันยายน 2551 โดยบริษัทมีปริมาณสินค้าคงเหลือสูงกว่าที่ทริสเรทติ้งคาดการณ์ไว้ นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังได้รับแรงกดดันจากราคาเหล็กที่ผันผวนและความต้องการเหล็กทั้งในตลาดภายในประเทศและต่างประเทศที่อ่อนตัวลง อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตก็มีแรงหนุนจากสถานะผู้นำตลาดในการเป็นผู้ผลิตเหล็กทรงแบนภายในประเทศของบริษัท รวมถึงความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับลูกค้า
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable“ หรือ “คงที่“ สะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะบริหารสินค้าคงเหลือด้วยความระมัดระวังในช่วงที่ตลาดซบเซา โดยบริษัทจะยังคงสามารถรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดภายในประเทศเอาไว้ได้
ทริสเรทติ้งรายงานว่าบริษัทสหวิริยาสตีลอินดัสตรีประกาศผลขาดทุนจำนวน 5,134 ล้านบาทในปี 2551 ซึ่งเป็นผลมาจากการด้อยค่าของสินค้าคงเหลือเนื่องจากราคาของสินค้าสำเร็จรูป (เหล็กทรงแบน) และวัตถุดิบ (เหล็กแผ่น) มีการปรับลดลงอย่างมาก ทั้งนี้ การด้อยค่าคิดเป็นมูลค่า 5,417 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 1,400 ล้านบาทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2551 โดยที่การขาดทุนมีผลทำให้กำไรสะสมของบริษัทลดลงจนกลายเป็นขาดทุนสะสมจำนวน 1,858 ล้านบาท ผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2551 ลดลงอย่างมาก โดยปริมาณขายสำหรับไตรมาสดังกล่าวอยู่ที่ประมาณ 0.06 ล้านตัน เปรียบเทียบกับ 0.36 ล้านตันในช่วงเดียวกันของปี 2550 และ 0.2 ล้านตันในไตรมาสที่ 3 ของปี 2551 ราคาขายเฉลี่ยลดลงมาอยู่ที่ 755-765 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน เปรียบเทียบกับ 975-985 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันในไตรมาสที่ 3 ของปี 2551 ราคาขายเฉลี่ยที่ปรับลดลงมาต่ำกว่าต้นทุนส่งผลทำให้กำไรขั้นต้นของบริษัทในไตรมาสที่ 4 ติดลบ 30.8% โดยภาระหนี้เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 23,858 ล้านบาท ผลการดำเนินงานที่อ่อนแอและภาระหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้นเพื่อนำไปใช้ในการซื้อวัตถุดิบทำให้อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 33.67% ในปี 2550 เป็น 57.86% ในปี 2551 และอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมลดลงจาก 11.99% เป็น 3.86% ในช่วงเดียวกัน โดยที่อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้จากการขายปรับลดลงมาอยู่ที่ 6.09% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 5 ปี
ทริสเรทติ้งคาดว่าฐานะทางการเงินของบริษัทสหวิริยาสตีลอินดัสตรีจะค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2552 เนื่องจากสินค้าคงเหลือที่มีต้นทุนสูงน่าจะทยอยขายหมดภายในไตรมาสที่ 2 ของปี 2552 อย่างไรก็ตาม ความต้องการเหล็กในภาคอุตสาหกรรมหลักๆ อาทิ ยานยนต์และการก่อสร้างซึ่งยังคงอ่อนตัวจะส่งผลให้ราคาเหล็กอยู่ในระดับต่ำต่อไป -- จบ
บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) (SSI)
อันดับเครดิตองค์กร: ลดลงเป็น BB+ จาก BBB-
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable