ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิต “บล. ไทยพาณิชย์” เท่าเดิมที่ระดับ “A+/Stable”

ข่าวทั่วไป Thursday August 3, 2006 09:33 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--3 ส.ค.--ทริสเรทติ้ง
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศยืนยันอันดับเครดิตองค์กรระดับ “A+” พร้อมแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” ให้แก่ บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ถือหุ้น 100% อันดับเครดิตดังกล่าวมาจากทั้งพื้นฐานความน่าเชื่อถือของบริษัทโดยเฉพาะและจากสถานะการเป็นบริษัทย่อยหลักของ ธ. ไทยพาณิชย์ ทั้งนี้ บริษัทได้แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งทางธุรกิจในด้านต่างๆ ได้แก่ ธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หน่วยงานวาณิชธนกิจที่แข็งแกร่ง และแหล่งรายได้ที่หลากหลาย รวมถึงสัดส่วนรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากบริษัทลูก นอกจากนี้ บริษัทยังมีฐานทุนและสภาพคล่องที่เข้มแข็งภายหลังจากการเพิ่มทุนในปี 2547 อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนลงบางส่วนจากการแข่งขันที่รุนแรงของบริษัทหลักทรัพย์ที่เป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) และบริษัทยังต้องเผชิญกับภาวะสภาพคล่องและราคาของหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ที่คาดว่าจะยังคงผันผวนเป็นอย่างมาก
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหวังที่ บล. ไทยพาณิชย์ จะสามารถรักษาสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งทั้งในด้านธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ วาณิชธนกิจ และการบริหารจัดการกองทุนเอาไว้ได้ ทั้งนี้ การสนับสนุนที่ดีจาก ธ. ไทยพาณิชย์จะช่วยให้บริษัทมีความได้เปรียบเหนือคู่แข่งโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการเปิดเสรีค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ นอกจากนี้ ยังคาดการณ์ว่าภาวะตลาดหลักทรัพย์ยังคงมีแนวโน้มที่ดีในระยะปานกลางแม้จะมีความผันผวนก็ตาม
ทริสเรทติ้งรายงานว่า บล. ไทยพาณิชย์ เป็นหนึ่งในผู้นำในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์และการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ โดยบริษัทเป็นหนึ่งในบริษัทย่อยหลักของ ธ. ไทยพาณิชย์ ที่ช่วยสนับสนุนกลยุทธ์ของกลุ่มไทยพาณิชย์ในการให้บริการด้านการเงินที่ครบวงจรภายใต้แนวทางของธนาคารเอนกประสงค์ (Universal Banking) ความได้เปรียบในการแข่งขันของบริษัทส่วนหนึ่งจึงมาจากการใช้ทรัพยากรของกลุ่มโดยบริษัทสามารถใช้เครือข่ายสาขาและชื่อร่วมกับ ธ. ไทยพาณิชย์ และยังได้รับการสนับสนุนทางด้านการเงินและด้านอื่นๆ จากธนาคารฯ ซึ่งรวมถึงวงเงินสินเชื่อ เงินเพิ่มทุน และฐานลูกค้า ทั้งนี้ บริษัทได้สร้างชื่อเสียงในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์และวาณิชธนกิจตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า บล. ไทยพาณิชย์มีส่วนแบ่งทางการตลาดธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 1.8% ในปี 2544 เป็น 5.2% ในปี 2548 จากผลของการขยายฐานลูกค้า การปรับปรุงคุณภาพรายงานการวิเคราะห์หลักทรัพย์ และการเพิ่มจำนวนเจ้าหน้าที่การตลาดสำหรับนักลงทุนสถาบัน โดยที่การมีธุรกรรมการซื้อขายหลักทรัพย์ของลูกค้าสถาบันในสัดส่วนที่มากกว่าบริษัทหลักทรัพย์อื่นทำให้บริษัทมีแนวโน้มที่จะมีความเสี่ยงจากการกระจุกตัวของลูกค้ารายใหญ่ที่สูงกว่าเช่นกัน สำหรับรายได้จากค่าธรรมเนียมนั้น บริษัทเป็นหนึ่งในผู้นำในการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์เนื่องจากการมีผลงานที่ดีและความสัมพันธ์ของผู้บริหารของบริษัทกับธุรกิจและรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ ในปี 2548 บริษัทมีมูลค่าการรับประกันการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์รวมทั้งสิ้นประมาณ 2.4 พันล้านบาท นอกจากนี้ ยังรับรู้รายได้ในสัดส่วนที่สูงจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด ซึ่งบริษัทถือหุ้น 68% โดยมีการรับรู้รายได้ถึง 545 ล้านบาทในปี 2548 สินทรัพย์รวมที่บริหารโดย บลจ. ไทยพาณิชย์ขยายตัวเป็นอย่างมากจากเพียง 27.9 พันล้านบาทในปี 2546 เป็น 122.8 พันล้านบาทในปี 2548 และมีสัดส่วนการตลาดโดยรวมขยายตัวจาก 2.5% เป็น 8.5% ตามลำดับ อีกทั้งยังมีตำแหน่งอยู่ในอันดับที่ 4 จาก บลจ. ทั้งหมดของไทย นอกจากนี้ บริษัทย่อยอื่นที่ บล. ไทยพาณิชย์ ถือหุ้น 100% คือ บริษัท เอสซีบี แคปปิตอล เซอร์วิส จำกัด ก็เริ่มจัดส่งรายได้ที่มากขึ้นจำนวน 275 ล้านบาทให้แก่บริษัทในปี 2548 ซึ่งคิดเป็น 12.5% ของรายได้ทั้งหมดของบริษัท เมื่อเทียบกับจำนวน 90 ล้านบาท หรือ 4% ของรายได้ทั้งหมดของบริษัทเมื่อปี 2547 ส่งผลให้บริษัทมีแหล่งรายได้ที่หลากหลายซึ่งจะช่วยลดความผันผวนของรายได้ที่อาจเกิดจากการเปิดเสรีค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ในอนาคต
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า บล. ไทยพาณิชย์ มีสินทรัพย์รวมมากกว่า 6.8 พันล้านบาท ณ สิ้นปี 2548 โดยมีสัดส่วนที่มากที่สุด (38%) อยู่ในการลงทุน ในขณะที่กันไว้เป็นเงินสดสำรองจำนวน 1.9 พันล้านบาท ซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่มีสภาพคล่องสูง โดยเป็นผลมาจากการเพิ่มทุนในปี 2547 เพื่อการขยายธุรกิจใหม่ๆ อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงมียอดสินทรัพย์ที่ไม่ก่อเกิดรายได้อยู่อีกประมาณ 282 ล้านบาทที่เกิดขึ้นในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจเมื่อปี 2540 ซึ่งได้มีการตั้งสำรองไว้เต็มจำนวนแล้ว การมีผลกำไรที่ต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2542 ทำให้บริษัทสามารถล้างขาดทุนสะสมได้ในปี 2546 บริษัทมีกำไรสุทธิจำนวน 389 ล้านบาทในปี 2548 ลดลง 17.4% จากปี 2547 ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการทำกำไรของบริษัทที่ลดลงอยู่ที่ระดับ 7.2% ณ สิ้นปี 2548 จากระดับ 12.7% ณ สิ้นปี 2547 เมื่อพิจารณาจากอัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นภายหลังจากการเพิ่มทุน
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549 ห้ามมิให้บุคคลใดใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยมิได้รับอนุญาต การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงมิได้รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้น ผลที่ได้รับ หรือการกระทำใดๆ โดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ