กรุงเทพฯ--6 ก.พ.--มูลนิธิหนังสือเพื่อเด็ก
โครงการหนังสือเล่มแรกหรือ Bookstart ย่างเข้าสู่ปีที่ 6 ในปี 2552 โดยเป็นย่างก้าวสำคัญของมูลนิธิหนังสือเพื่อเด็ก ผู้ขับเคลื่อนโครงการ เพราะในปีนี้จะเป็นปีแห่งการเติบโต และขยายโครงการ ในเชิงคุณภาพที่เข้มข้นมากขึ้น และในเชิงปริมาณ โดยจะจัดโครงการกระจายไปทั่วประเทศ ยืนยัน ยินดีร่วมงานกับทุกหน่วยงานที่ต้องการส่งเสริมการอ่าน
จากก้าวกระโดดของโครงการที่เริ่มแจกถุงหนังสือเล่มแรก พร้อมกับจัดอบรมให้ครอบครัวที่ได้รับถุงหนังสือ ได้รู้วิธีส่งเสริมการอ่านผ่านการทำกิจกรรมในครอบครัว เริ่มต้นที่จำนวน 106 ครอบครัว ขยับมาเป็น 600-800 คนในปีที่สอง จนกระทั่งในปีที่ 4-5ก้าวกระโดดไปถึง 2,421 และ 5,131 คน แสดงให้เห็นถึงการประสบความสำเร็จในเชิงปริมาณและพบว่าครอบครัวที่ได้รับถุงหนังสือใช้หนังสือคุยกับลูกมากขึ้น อ่านหนังสือมากขึ้น เล่น และร้องเพลงกับลูกมากขึ้น
โดย นายเรืองศักดิ์ ปิ่นประทีป กรรมการผู้จัดการมูลนิธิหนังสือเพื่อเด็กกล่าวว่า จากข้อมูลเชิงสถิติดังกล่าว ได้มีการเก็บข้อมูลเพื่อทำการวิจัยอย่างเป็นระบบ พบว่า สถิติดังกล่าวมีความสัมพันธ์อย่างมีนัยยะสำคัญ กับพัฒนาการของเด็ก ซึ่งสามารถสรุปได้ว่า เด็กที่เข้าร่วมโครงการมีพัฒนาการ และการเรียนรู้ด้านต่างๆ ได้ดีกว่าเด็กที่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการ ไม่ว่าจะเป็น ด้านสมอง อารมณ์ พฤติกรรม ศีลธรรม รวมไปถึงความพร้อมในการเข้าสู่โรงเรียน (ทั้งด้านอารมณ์และทักษะพื้นฐานในชีวิตประจำวัน) ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เกิดขึ้นจากทำกิจกรรมส่งเสริมการอ่านในครอบครัวนั่นเอง
สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครอบครัวได้รับมอบถุงหนังสือเล่มแรกก็คือ ทุกครอบครัวจะมีหนังสือเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน และกลายเป็นครอบครัวที่หาซื้อหนังสืออ่านเองถึง 2,000 ครอบครัว ในขณะที่ปีที่ผ่านมา (2551) มีการสั่งซื้อหนังสือมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด ทั่วภูมิภาค แสดงให้เห็นว่าพ่อแม่เริ่มมีการตื่นตัวเรื่องการใช้หนังสือกับลูกมากขึ้น ทั้งนี้อาจจะเป็น 5 ปีที่ผ่านมา มีการประชาสัมพันธ์โครงการอย่างต่อเนื่อง
ส่วน แทนคุณ จิตต์อิสระ ในบทบาทของความเป็นพ่อซึ่งอ่านหนังสือให้ลูกฟังตั้งแต่ลูกอยู่ในท้อง และใช้เทคนิคการเล่า การพากษ์เสียง อ่านแบบนำตัวละครมาเชื่อมโยงกับชีวิตประจำวัน เล่าเรื่องผ่านตัวละครและสอดแทรกคุณธรรมเข้าไป ในเรื่องของตัวละครที่เล่าหรืออ่านให้ฟัง เชื่อมโยงกับชีวิตประจำวัน กล่าวถึงความสำคัญของการอ่านว่า
“จากการอ่านหนังสือให้ลูกฟัง ทำให้พัฒนาการของลูกดีมาก มีการใช้ภาษาที่แตกต่าง เช่น อายุสองขวบสามารถตั้งชื่อสิ่งต่างๆ รอบตัวได้แล้ว และทำเสียงสูง กลาง ต่ำ พูดเป็นประโยคยาวๆ ร้องเพลงที่ยากๆได้ และไม่งอแง เวลามีปัญหาจะใช้การคุย ไม่ร้องไห้ เวลาที่อ่านหนังสือให้ลูกฟัง อย่าคิดว่าลูกไม่รู้เรื่อง โลกของเด็กมีสิ่งที่งดงามมากมาย หนังสือจะเป็นเพื่อนทำให้เขาเข้าใจสิ่งต่างๆ ได้มากขึ้น ช่วยให้เขามีความสุขได้ และมั่นใจว่าลูกจะมีภูมิคุ้มกัน เวลาเหงาเขาต้องการได้รับความเข้าใจ หนังสือจะเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดสำหรับเขา สิ่งหนึ่งที่เห็นชัดเจนคือลูกรักหนังสือ”
ทางด้านคุณแม่อย่าง แวร์โซว์ ซึ่งอ่านหนังสือให้ลูกฟังตั้งแต่เด็ก ก็เล่าให้ฟังว่า
“หนังสือมีส่วนในการช่วยพัฒนาไอคิวอีคิวลูกอย่างมาก สิ่งที่ลูกจะได้ เขาได้เห็นและเรียนรู้เรื่องราวต่างๆ จากรูปภาพ ส่วนตัวหนังสือคำง่ายๆ คล้องจอง เด็กจะเข้าใจคำศัพท์ต่างๆ และเรียนรู้เรื่องรูปทรง สีสัน
นอกจากนี้แล้ว ยังมีข้อดีที่ความสัมพันธ์ของคนในครอบครัว ทุกครั้งที่อ่านหนังสือลูกจะอยู่ใกล้ๆ นั่งตัก กอดกัน อ่านหนังสือไป ลูกจะมีความสุขที่ได้อยู่กับครอบครัว มีความใกล้ชิดกัน และถ้าอ่านหนังสือจบแล้วเล่นเกมกับลูกเขาก็จะสนุก ดิฉันใช้หนังสือกับลูกตั้งแต่เล็ก เพราะรู้ว่าหนังสือสำคัญกับเด็กมาก ถ้าพ่อแม่มีหนังสืออยู่ข้าง ตัว ชอบอ่านหนังสือ ลูกก็จะสนใจ ปัจจุบันลูกเริ่มมีส่วนร่วมในการอ่านมากขึ้น มีการถามตอบโต้ตอบมากขึ้น และเขาจะมีความละเอียดมาก มีทักษะในการสังเกต มองอะไรจะเป็นมิติมากขึ้น เก็บรายละเอียดมากกว่าคนอื่น”
ในปีที่ 6 นี้ จะเป็นก้าวย่างที่สำคัญในการเติบโตของโครงการ Bookstart ซึ่งจะเป็นการทำงานเชิงรุก กระจายไปทั่วทั้ง 4 ภูมิภาค โดยมีกลยุทธ์ในการดำเนินการคือ การสร้างโมเดลการทำงาน และพร้อมที่จะจับมือร่วมกับทุกองค์กรที่ต้องการจัดโครงการ ซึ่งมูลนิธิจะเป็นที่ปรึกษาให้ จนกระทั่งโมเดลตัวนี้มีการเผยแพร่อย่างเป็นระบบมากขึ้นจากจังหวัด สู่ภูมิภาค และประสบความสำเร็จในระดับชาติ
นอกจากนี้ยังมีการจัดตั้งกองทุนเพื่อการจัดทำถุงหนังสือเล่มแรก และใช้เงินที่ได้รับจากผู้สนับสนุนกลับมาหมุนเวียนซื้อชุดใหม่ เพื่อให้โครงการ Bookstart คงอยู่ตลอดไปและเป็นการสร้างวัฒนธรรมการอ่านให้เกิดขึ้นทั่วทุกภูมิภาคในประเทศไทย
สอบถามเพิ่มเติมโทร 0-2628-8818-9 รวิยา /กมลฉัตร