กรุงเทพฯ--10 ก.พ.--เอ็มเอฟซี
เอ็มเอฟซี รุกตลาดฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจโลก ตอกย้ำวิสัยทัศน์ขึ้นแท่น 1 ใน 3 บริษัทชั้นนำด้านการบริหารความมั่งคั่งของไทย
พร้อมตั้งเป้า NAV โต 20% เป็น 260,000 ล้านบาท ในปีนี้
บลจ. เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) ตั้งเป้า NAV โตร้อยละ 20 เป็น 260,000 ล้านบาทในปี 2552 รุกฝ่ามรสุมวิกฤตเศรษฐกิจทั่วโลก เน้นดูแลความมั่งคั่งของลูกค้าทั้งเงินต้นและผลตอบแทน พร้อมใช้ประสบการณ์สนับสนุนโครงการภาครัฐอย่างเต็มที่ พัฒนาระบบการบริการทั้งองค์กรเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายแก่ลูกค้า และมุ่งเน้นการทำประโยชน์โดยคืนกำไรสู่สังคมอย่างต่อเนื่อง
ดร. พิชิต อัคราทิตย์ กรรมการผู้จัดการ บลจ. เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากสภาวะวิกฤติเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกในช่วงปี 2551 ที่ผ่านมา ไม่ได้ส่งผลกระทบรุนแรงต่อเอ็มเอฟซีมากนัก โดยผลประกอบการของบริษัทคาดว่าจะมีผลกำไรเติบโตขึ้น ทั้งนี้มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) ก็ไม่ลดลงมากเมื่อเทียบกับภาวะเศรษฐกิจและตลาดที่มีความผันผวนสูง โดยมูลค่าทรัพย์สินสุทธิลดลงจาก 218,857.20 ล้านบาทในปี 2550 เป็น 216,474.37 ล้านบาทในปี 2551 ทั้งนี้ กำไรของบริษัทมาจากการดำเนินการตาม กลยุทธ์ที่วางไว้ได้อย่างเหมาะสม ได้แก่ การสร้างรายได้จากธุรกิจภายใต้การจัดการหลายประเภท (Diversification) การออกผลิตภัณฑ์กองทุนที่เหมาะสมกับสถานการณ์ และสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างครบถ้วน รวมทั้งการลดต้นทุน และค่าใช้จ่ายตั้งแต่กลางปี 2551 โดยยังคงให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพการทำงาน และการบริหารกองทุน เพื่อผลตอบแทนที่น่าพอใจของลูกค้า
ดร. พิชิตกล่าวว่า สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2551 บริษัทมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวมภายใต้การจัดการ เท่ากับ 135,309 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 7.4 หรือเท่ากับ 10,846 ล้านบาท จากปี 2550 ซึ่งมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 146,155 ล้านบาท กองทุนสำรองเลี้ยงชีพจำนวน41กองทุน ด้วยจำนวนบริษัทสมาชิก 170,123 แห่ง มูลค่า 55,930 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 8.1 หรือเท่ากับ 4,188 ล้านบาท จากปี 2550 ซึ่งมีมูลค่า 51,742 ล้านบาท และเติบโตสูงกว่าอุตสาหกรรมที่เติบโตเพียงร้อยละ 5.30 และกองทุนส่วนบุคคลมีมูลค่า 25,235 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 20.58 หรือเท่ากับ 4,307 ล้านบาท จากปี 2550 ซึ่งมีมูลค่า 20,928 ล้านบาท และเติบโตสูงกว่าอุตสาหกรรมซึ่งลดลงร้อยละ 4
สำหรับทิศทางการดำเนินงานของบริษัท บริษัทยังคงตอกย้ำเป้าหมายการขึ้นแท่นเป็น 1 ใน 3 บริษัทชั้นนำด้านการบริหารความมั่งคั่งและการให้บริการที่เป็นเลิศในระดับภูมิภาคภายในปี 2555 และเป็นบริษัทจัดการกองทุนชั้นนำที่มีอัตราการเติบโตเป็น 2 เท่าภายใน 5 ปี ด้วยมูลค่าสินทรัพย์สุทธิภายใต้การจัดการ (NAV) รวมกว่า 450,000 ล้านบาท จากการสร้างธุรกิจใหม่ในประเทศ และขยายธุรกิจต่างประเทศให้มีรายได้กว่าครึ่งหนึ่งของรายได้ทั้งหมดของบริษัท สำหรับในปี 2552 บริษัทตั้งเป้าหมายการเติบโตของมูลค่า NAV ร้อยละ 20 หรือเท่ากับ 260,000 ล้านบาท และตั้งเป้ารายได้ประมาณ 670 ล้านบาท
“กลยุทธ์หลักที่จะนำมาขับเคลื่อนสู่เป้าหมายหลักของ บลจ.เอ็มเอฟซี ในการเป็นบริษัทชั้นนำด้านการบริหารความมั่งคั่งและการให้บริการที่เป็นเลิศในระดับภูมิภาคภายในปี 2555 นั้น คือ การสร้างความเข้มแข็งให้กับธุรกิจเดิม การสร้างธุรกิจการบริหารความมั่งคั่ง (Wealth Management) การเจาะตลาดใหม่ที่มีศักยภาพเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับบริษัท เน้นการบริหารกองทุนที่ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอและเหนือกว่าคู่แข่ง พร้อมปรับปรุงกระบวนการและระบบงาน บริหารต้นทุนและการลงทุนให้มีประสิทธิภาพรวมถึงการคัดสรรทางเลือกการลงทุนที่หลากหลายทั้งในและต่างประเทศให้กับนักลงทุนอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ ซึ่งทั้งหมดนี้จะดำเนินการภายใต้ทีมงานมืออาชีพ” ดร. พิชิตกล่าว
สำหรับกลยุทธ์ด้านการสร้างความเข้มแข็งให้กับธุรกิจเดิม จะใช้กลยุทธ์การสร้างแบรนด์องค์กรให้เป็นที่รู้จักอย่างทั่วถึง โดยการสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าโดยการเน้นภาพลักษณ์ของบลจ. ที่มีกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ พร้อมตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมใหม่ๆ เน้นผลิตภัณฑ์ความเสี่ยงต่ำ ที่จะสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ รวมไปถึงการพัฒนาบริการสำหรับลูกค้าให้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น และให้ความสำคัญกับการพัฒนากลยุทธ์สำหรับช่องทางการขาย เช่น IP Team Corporate Wealth, Private Wealth, Private Banking ฯลฯ นอกจากนี้ ในปีนี้บริษัทยังให้ความสำคัญในเรื่องการคืนกำไรสู่สังคม ภายใต้สโลแกน “MFC สร้างสรรค์มันสมองไทย” อย่างต่อเนื่อง
สำหรับกลยุทธ์ด้านการสร้างธุรกิจการบริหารความมั่งคั่ง บริษัทเตรียมโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับธุรกิจ Wealth Management ที่จะเติบโตขึ้น โดยให้คำปรึกษาวางแผนและติดตามแผนการลงทุนของลูกค้าอย่างทันต่อสภาวะเศรษฐกิจการลงทุน เพื่อรักษาผลประโยชน์สูงสุดของลูกค้า
ดร. พิชิตเปิดเผยว่า ในปีนี้ เอ็มเอฟซีมีแผนออกกองทุนใหม่ประมาณ 22 กองทุน แบ่งเป็น กองทุนรวมตราสารทุนและกองทุนผสมแบบยืดหยุ่น 7 กองทุน กองทุนรวมตราสารหนี้ 5 กองทุน กองทุนต่างประเทศ 6 กองทุน และกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ 4 กองทุน โดยในไตรมาสแรก คาดว่าจะเปิดขายกองทุน 5-6 กองทุน ซึ่งครอบคลุมทั้งกองทุนตราสารหนี้ กองทุนตราสารทุน กองทุนรวมต่างประเทศ และกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์
ดร. พิชิตกล่าวย้ำ ว่าในปี 2552 นี้ บริษัทจะเน้นกลยุทธ์ด้านธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับบริษัท โดยมีแผนงานในการขยายธุรกิจด้านที่ปรึกษาการเงิน โดยเฉพาะการรองรับโครงการต่างๆ ของภาครัฐ ที่จะทำต่อเนื่องจากปี 2551 เช่น โครงการ Infrastructure Fund โครงการรถไฟรางคู่ เป็นต้น ในส่วนของ Private Equity ในปีนี้กองทุนเปิด MFC Energy Fund มีแผนงานที่จะศึกษาโครงการประมาณ 36 โครงการ และขยายการลงทุนอีกประมาณ 800 ล้านบาท ส่วนกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ บริษัทคาดว่าจะจัดตั้งกองทุน 3-4 กองทุน มูลค่ารวมกันประมาณ 5,000-6,000 ล้านบาท โดยลงทุนในอาคารสำนักงาน อาคารอุตสาหกรรมให้เช่า อาคารเซอร์วิสอพาร์ตเม้นท์ ฯลฯ
ดร. พิชิตกล่าวว่า นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนงานขยายธุรกิจ โดยเป็นแผนต่อเนื่องมาจากปี 2551 ได้แก่ บริษัท Thai EXIM International ทำธุรกิจด้านที่ปรึกษาการลงทุน และ Trading Facilitator บริษัท MRAM (MFC Real Estate Management) ให้บริการด้านการจัดการโครงการอสังหาริมทรัพย์ และบริษัท MFA (MFC Financial Advisory) ให้คำปรึกษาด้านการสรรหาบริษัทร่วมลงทุน และที่ปรึกษาทางการเงินให้กับโครงการของภาครัฐและเอกชน
ดร. พิชิตกล่าวในตอนท้ายว่า นอกจากการบริหารจัดการกองทุนเพื่อมุ่งให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุดกับนักลงทุนแล้วนั้น ที่ผ่านมา บริษัทยังได้บริหารกองทุนที่ไม่ได้มุ่งหวังผลกำไรเพียงอย่างเดียว แต่สามารถสร้างสรรค์ประโยชน์ให้สังคมได้อีกด้วย ได้แก่ กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี เอนเนอร์จี ฟันด์ กองทุนเปิดเพื่อพัฒนาและฟื้นฟูกิจการที่ได้รับผลกระทบจากสึนามิ และบริษัทยังได้บริจาครายได้ส่วนหนึ่งจากค่าธรรมเนียมการบริหารกองทุนเปิดเอ็มเอฟซี อิสลามิก ฟันด์ เพื่อสนับสนุนทุนการศึกษาและช่วยเหลือสังคม รวมถึงโครงการ MFC Talent Award ซึ่งดำเนินการต่อเนื่องมาก 5 ปี เพื่อสร้างสรรค์เยาวชนไทยให้เป็นบุคลากรคุณภาพด้านการเงินพร้อมก้าวสู่วิชาชีพตลาดเงินตลาดทุน
ข้อมูลเพิ่มเติม โปรดติดต่อ:
คุณสุทรรศิกา คูรัตน์, คุณสุวรรณา ชีวนันทชัย วงจันทร์ ตั้งทรงศักดิ์ /ตรึงฤทัย สันโดษ
บลจ.เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) เวิรฟ
โทร.0-2649-2230, 0-2649-2232 โทร. 0-2204-8221, 0-2204-8078
โทรสาร 0-2259-9246