กรุงเทพฯ--16 ก.พ.--โปรคอมมิวนิเคชั่นส์ แอนด์ คอนซัลแตนท์
ประเทศแคนาดาออกมาตรการเข้มคุมสารอันตรายบีพีเอในภาชนะพลาสติก หรือภาชนะกระป๋อง “สถาบันอาหาร” เตือนผู้ส่งออก ผู้ประกอบการอาหารและบรรจุภัณฑ์ของไทย เร่งปรับตัวก่อนได้รับผลกระทบจากการถูกกักกัน ทำลาย และห้ามจำหน่ายสินค้าไทยในตลาดแคนาดา จี้หน่วยงานภาครัฐไทยเร่งศึกษาเกี่ยวกับสารบีพีเอ ป้องกันผลกระทบต่อผู้บริโภคและตลาดส่งออกไทยในระยะยาว
ดร.ยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร กล่าวว่า ปัจจุบันการเลือกรับประทานอาหารแต่ละวัน นอกจากต้องระมัดระวังการปนเปื้อนของสารเคมีและเชื้อก่อโรคชนิดต่างๆ ในอาหารแล้ว ยังต้องคำนึงถึงสารที่เป็นองค์ประกอบของภาชนะที่ใช้บรรจุอาหารด้วย โดยเฉพาะเด็กทารกและเด็กเล็ก ซึ่งเป็นประชากรกลุ่มที่จะได้รับความเสี่ยงจากอันตรายเหล่านี้สูงที่สุด เพราะเป็นกลุ่มที่อ่อนแอและมีภูมิคุ้มกันต่ำ โดยเฉพาะขวดนมและอาหารสำหรับเด็กที่บรรจุกระป๋อง เพราะภาชนะเหล่านี้อาจมีสารอันตรายที่ชื่อ บีพีเอ (BPA)หรือบิสฟีนอลเอ (Bisphenol A : BPA) สารเคมีที่ใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตพลาสติกแข็งใสที่เรียกว่าโพลีคาร์บอเนต (polycarbonate) แพร่กระจายออกมาปนเปื้อนในนมและอาหารทารกได้ นอกจากนั้นบีพีเอยังเป็นองค์ประกอบของสารอีพอกซี เรซิน (epoxy resins) สารเคลือบผิวโลหะด้านในของกระป๋องสำหรับบรรจุอาหารและเครื่องดื่มเพื่อป้องกันการเกิดปฏิกิริยาระหว่างแผ่นโลหะกับอาหารที่อาจทำให้เกิดการกัดกร่อนที่เนื้อโลหะของกระป๋องอีกด้วย
แคนาดานับเป็นประเทศแรกในโลกที่กำหนดระเบียบจำกัดการใช้สารบีพีเอ และให้สารบีพีเอเป็นสารอันตราย โดยได้เร่งดำเนินการ ร่างระเบียบห้ามการนำเข้า การขาย การโฆษณาขวดสำหรับทารกที่ผลิตจากพลาสติกชนิดโพลีคาร์บอเนต ซึ่งมีสารบีพีเอ เป็นองค์ประกอบ และดำเนินการจำกัดปริมาณการปลดปล่อยสารบีพีเอลงสู่สิ่งแวดล้อม เนื่องจากมีข้อมูลว่าสารบีพีเอจะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมน การพัฒนาหรือขีดความสามารถในการสืบพันธุ์ โดยคาดว่าระเบียบข้างต้นจะมีผลบังคับใช้ในปี 2553 นอกจากนั้นรัฐบาลแคนาดายังประกาศจัดสรรงบประมาณกว่า 1.7 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือ 1.07 ล้านยูโรในระยะเวลา 3 ปีข้างหน้า สำหรับดำเนินโครงการวิจัยเกี่ยวกับสารบีพีเอ เพื่อนำข้อมูลมาใช้
สนับสนุนการตัดสินใจการออกมาตรการในอนาคต ขณะเดียวกันกลุ่มปกป้องสิ่งแวดล้อมแห่งแคนาดายังออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการห้ามใช้สารบีพีเอ อย่างสมบูรณ์อีกด้วย
ผอ.สถาบันอาหาร กล่าวด้วยว่า “แม้ว่าแคนาดาเป็นประเทศแรกที่ทำการทบทวนและกำหนดระเบียบการจำกัดการใช้สารบีพีเอ ในขณะที่ประเทศอื่นมองว่ายังไม่จำเป็นต้องจำกัดการใช้สารบีพีเอ อาทิ สหรัฐอเมริกา อียู ญี่ปุ่น อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการของไทยที่ผลิตสินค้าที่ต้องบรรจุในภาชนะพลาสติกหรือภาชนะกระป๋องที่ส่งออกไปยังประเทศแคนาดา ควรเพิ่มความระมัดระวังไม่ให้มีสารบีพีเอปนเปื้อนมากับสินค้าส่งออก เพื่อป้องกันมิให้เกิดปัญหาถูกกักกัน ทำลายและห้ามจำหน่ายสินค้าของไทยในตลาดแคนาดา ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในแคนาดาได้ ในขณะที่ผู้ผลิตสินค้าพลาสติก ภาชนะพลาสติก และผู้ผลิตกระป๋องที่ใช้อีพ็อกซีในการเคลือบผิวควรเร่งปรับกระบวนการผลิต โดยระมัดระวังการใช้สารบีพีเอเป็นวัตถุดิบ และควรลดปริมาณการใช้หรือใช้ส่วนผสมที่ปราศจากสารบีพีเอ โดยหันไปใช้วัตถุดิบอื่นที่อยู่ในรายการ Positive list ตามที่กฎหมายของแคนาดากำหนดเพื่อป้องกันปัญหาการปนเปื้อนลงสู่อาหารในอนาคต
แม้ว่าปัจจุบันแคนาดาจะเป็นเพียงประเทศเดียวที่ออกมากำหนดมาตรการเข้มงวดเกี่ยวกับ สารบีพีเอทั้งการใช้และการปล่อยออกสู่สิ่งแวดล้อม แต่หน่วยงานภาครัฐไทยไม่ควรเพิกเฉยต่อความเคลื่อนไหวนี้ ควรเร่งพิจารณาข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่มีอยู่ในปัจจุบันเพื่อศึกษาและประเมินว่าสารบีพีเอ มีความเสี่ยงต่อเด็กแรกเกิด เด็กทารกและผู้บริโภคในประเทศไทยหรือไม่ แล้วทำการสื่อสารข้อมูลที่ถูกต้องไปสู่ผู้บริโภคกลุ่มเสี่ยง ผู้ประกอบการอาหารและบรรจุภัณฑ์ของไทย ฉะนั้นจึงเป็นภารกิจสำคัญที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องช่วยกันเฝ้าระวัง เพื่อป้องกันประชากรรุ่นใหม่ของไทยจากอันตรายที่ไม่ควรจะต้องได้รับ และป้องกันปัญหาถูกกักกัน ทำลายและห้ามจำหน่ายสินค้าไทยในตลาดแคนาดา
รายละเอียดเพิ่มเติม : บริษัท โปรคอมมิวนิเคชั่นส์ แอนด์ คอนซัลแตนท์ จำกัด
สุขกมล งามสม โทร. 0 2 158 9416-8 , 0 8 9484 9894