กรุงเทพฯ--24 ก.พ.--ซีพีเอฟ
น.สพ.บุญเพ็ง สันติวัฒนธรรม (Dr.Boonpeng Santiwattanatam) รองกรรมการผู้จัดการ ด้านระบบมาตรฐานคุณภาพ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า Chicken Snack เป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในโครงการวิเคราะห์และจัดการคาร์บอนฟุตพริ้นท์ (Carbon Footprint & Labelling) หลังจากที่ซีพีเอฟได้รับเลือกจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ให้เป็นโครงการสาธิตในประเทศไทย และได้ลงนามความร่วมมือไปเมื่อเร็วๆนี้ โดยโครงการนี้มีจุดประสงค์เพื่อพัฒนากระบวนการค้าที่ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ (CO2) อันเป็นการส่งเสริมการลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ ทั้งยังเป็นอีกมาตรฐานหนึ่งในการผลิตสินค้าอาหารที่ประเทศคู่ค้าจากสหภาพยุโรปต้องการ นอกเหนือจากมาตรฐานความปลอดภัยในอาหาร หรือ Food Safety
ผลิตภัณฑ์ Chicken Snack เป็นผลิตภัณฑ์ประเภทอาหารว่างที่ทำจากเนื้ออกไก่ที่มีโปรตีนสูง วางจำหน่ายครั้งแรกในประเทศอังกฤษ เมื่อปี 2548 และมีแนวโน้มยอดขายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยซัพพลายเออร์และลูกค้าในประเทศยุโรปต่างให้ความสนใจในเรื่องคาร์บอนฟุตพริ้นท์ในผลิตภัณฑ์ Chicken Snack อย่างมาก
กระบวนการผลิต Chicken Snack เพื่อการวิเคราะห์และจัดการคาร์บอนนี้ จะเริ่มต้นตั้งแต่การได้มาของวัตถุดิบ การแปรรูปวัตถุดิบ กระบวนการผลิต การขนส่งไปยังสถานที่จำหน่าย การใช้และกำจัดขั้นสุดท้าย ตลอดวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์ โดยทั้งหมดจะแสดงผลในเชิงปริมาณ (Kg CO2 equivalent) โดยใช้วิธีประเมินวัฏจักรชีวิต (Life Cycle Assessment , LCA) มาเป็นเทคนิคการประเมินศักยภาพการก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ หรือที่เรียกว่ามาตรฐานการวิเคราะห์คาร์บอนฟุต พริ้นท์ PAS2050:2008 ซึ่งเป็นมาตรฐานขั้นสูงจากประเทศอังกฤษ
“โครงการนี้ได้เริ่มดำเนินการแล้ว และจะเสร็จสิ้นภายใน 7-8 เดือนข้างหน้า เมื่อสามารถคำนวณปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้แล้ว ขั้นตอนต่อไปจะเป็นเรื่องของการติดฉลากคาร์บอน ซึ่งต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง เนื่องจากต้องมีองค์กรหรือหน่วยงานอื่น เข้ามาให้การรับรองอีกที” น.สพ.บุญเพ็งกล่าวและว่าซีพีเอฟจะดำเนินการในเรื่องคาร์บอนฟุตพริ้นท์ไม่เฉพาะเพียงแค่ผลิตภัณฑ์ Chicken Snack เท่านั้น แต่จะดำเนินการครอบคลุมสินค้าทุกชนิดของซีพีเอฟ เพื่อยืนยันเจตนารมณ์ของบริษัทที่ให้ความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อมโลกอย่างยิ่ง
ทั้งนี้ ประเทศไทยได้กำหนดมาตรการส่งเสริมให้ไทยเข้าสู่เศรษฐกิจแบบคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Economy) โดยมุ่งเน้นให้ภาคอุตสาหกรรมและการขนส่งมีการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและเลือกใช้พลังงานทดแทน (Renewable Energy) เช่น พลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ ขณะที่ภาคธุรกิจชั้นนำของโลกได้พยายามปรับตัวต่อวิกฤตการณ์โลกร้อน โดยติดฉลากคาร์บอน (Carbon Label) ควบคู่กับฉลากคุณค่าทางโภชนาการ (Nutrition Facts) เพื่อเป็นข้อมูลให้ผู้บริโภคตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำ
สำนักสื่อสารและประชาสัมพันธ์ CPF
โทร. 02-625-7344-5, 02-631-0641, 02-638-2713
e-mail : pr@cpf.co.th