กรุงเทพฯ--24 ก.พ.--อาร์เอส
“อาร์เอส” หนุน อินสโตร์ มีเดีย ธุรกิจหัวหอกปี 52 เต็มกำลัง ประกาศกร้าวรุกสมรภูมิ ชิงกำลังซื้อปราการด่านสุดท้ายของผู้บริโภคภายใต้แนวคิด CHANGE และประโยคคำถามสำคัญที่โยนใส่วงการสื่อและผู้บริโภคว่า “Are you ready for a change?” พร้อมทุ่มงบกว่า 120 ล้าน ขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ตั้งเป้ารายได้ปี 52 เติบโตแบบก้าวกระโดด หลังจากประสบความสำเร็จอย่างสวยงามจากปีก่อนด้วยเปอร์เซ็นต์การเติบโตแบบเกินร้อย
ลาดพร้าว - นายวิญญลักษณ์ โสรัต กรรมการผู้จัดการ บริษัท อาร์เอส อินสโตร์ มีเดีย จำกัด ในเครือ บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) หรือ RS เปิดเผยว่า ภาพรวมของ อาร์เอส อินสโตร์ มีเดีย ในปีที่ผ่านมานั้น ถือได้ว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ด้วยการเติบโตแบบสวนกระแสเศรษฐกิจกว่า 100 % เมื่อเทียบกับปีก่อน หรือคิดเป็น 5 % ของรายได้ทั้งหมดของอาร์เอส สืบเนื่องมาจากการใช้เม็ดเงินในการโฆษณาประชาสัมพันธ์สินค้านั้นต้องการประสิทธิภาพและผลตอบกลับที่สามารถสร้างยอดขายให้กับเจ้าของผลิตภัณฑ์นั้นๆ อย่างได้ผล จึงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า ธุรกิจอินสโตร์ มีเดีย หรือ สื่อโฆษณา ณ จุดขาย ในโมเดิร์นเทรดเป็นสื่อที่ทั้งเอเจนซี่ และเจ้าของผลิตภัณฑ์ให้การยอมรับ ว่าได้ผลและมีประสิทธิภาพ เนื่องจากการใช้เม็ดเงินที่ไม่สูงมากนักแต่เห็นผลได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังสามารถกระตุ้นกำลังซื้อ ณ จุดขายหรือ Point of Purchase ที่ทำให้เกิดการตัดสินใจซื้อได้ทันที ในความเชื่อที่ว่า “สิ่งสุดท้ายที่คนได้เห็นหรือได้ยิน คือสิ่งแรกที่คนจะจำได้”
สำหรับการดำเนินธุรกิจในปีนี้ได้เริ่มสื่อใหม่อย่างเต็มรูปแบบในโมเดิร์นเทรด คือ สื่อภาพ หรือ สื่อ Dynamic Digital Signage (DDS) ซึ่งเป็นสื่อที่บริษัทฯ ได้ทำการทดสอบอุปกรณ์และระบบต่างๆ มาตลอดทั้งปีที่ผ่านมา จนนำพาไปสู่การพัฒนาทั้งระบบ เครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆ และความคิดสร้างสรรค์ เพื่อรองรับความต้องการของเจ้าของผลิตภัณฑ์ที่จะใช้เป็นช่องทางในการสื่อสารถึงผู้บริโภคอย่างเหมาะสมและลงตัว อีกทั้งยังเหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคนไทยภายใต้ความคิด “Are you ready for a Change?” ซึ่งหมายถึง 1. การเปลี่ยนป้ายโฆษณารูปแบบเดิมที่นิ่งๆ ให้เคลื่อนไหวมีชีวิตชีวามากขึ้น 2. การเปลี่ยนรายการในรูปแบบเดิมๆ ให้มีความหลากหลายทั้งสาระและความบันเทิง ที่เป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคในห้างฯ นั้นๆ 3. การเปลี่ยนการให้ข้อมูลสินค้าแบบเดิมๆ ที่ต้องใช้เวลาในการพิมพ์ ให้สามารถเปลี่ยนได้อย่างรวดเร็ว ทันที เพียงแค่คลิก 4. การเปลี่ยนการรับรู้ใน 70% ของการตัดสินใจซื้อ ให้เป็นโอกาสทางการขาย 5. การเปลี่ยนต้นทุนในการผลิตสื่อให้น้อยลง แต่คุ้มค่ามากยิ่งขึ้น 6. การเปลี่ยนการสื่อสารแบบเดิมๆ ให้เป็น Two Way Communication ซึ่งเหล่านี้จะสร้างคุณค่าและประโยชน์ให้กับทั้งเจ้าของผลิตภัณฑ์ ลูกค้า และตัวห้างฯเอง โดยยังดำเนินการภายใต้แนวคิดการ synergy ธุรกิจทั้งหมดของกลุ่มอาร์เอส มาสนับสนุนซึ่งกันและกัน
สำหรับแผนการติดตั้งสื่อภาพ (DDS) ในจุดอื่นๆ ซึ่งคาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ภายในปีนี้ ด้วยงบลงทุนกว่า 60 ล้านบาท และยังได้วางแนวทางการนำเสนอรูปแบบการสื่อสารแบบอินเตอร์แอคทีฟ ด้วยเทคโนโลยีและความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ เข้ามา เพื่อเพิ่มศักยภาพให้กับสื่อ อีกทั้งยังเป็นการตอบสนองความต้องการของตลาดที่เปิดโอกาสให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงข้อมูลของผลิตภัณฑ์ต่างๆ และสามารถร่วมสนุกในแคมเปญต่างๆ ที่จัดขึ้น รวมทั้งจะเป็นการอินเตอร์แอคทีฟกับผู้บริโภคเฉพาะคนได้ ซึ่งในขณะนี้ได้เริ่มบางส่วนไปบ้างแล้วเช่น ผู้บริโภคสามารถขอสูตรและวิธีทำอาหารผ่านหน้าจอ การส่งผลโหวตต่างๆ แล้วสามารถดูความเคลื่อนไหวของคะแนนได้ทันทีที่จอ การร่วมสนุกชิงรางวัลต่างๆ
ปัจจุบันอาร์เอส อินสโตร์ มีเดีย บริหารสื่อวิทยุ หรือ P.O.P Radio ในโมเดิร์นเทรดอยู่ 5 แบรนด์ ประกอบด้วย เทสโก้ โลตัส, โลตัส เอ็กซ์เพรส, บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์, คาร์ฟูร์ และท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต รวมทั้งหมด 746 สาขา ครอบคลุมพื้นที่ 51 จังหวัด โดยมีคนเข้ามาใช้บริการประมาณ 21 ล้านคน/เดือน และในปัจจุบันมียอดจองซื้อสื่อเข้ามาแล้วตลอดทั้งปี จากรูปแบบการจัดรายการที่ได้รับการยอมรับ ผสมผสานระหว่างโฆษณาเข้ากับเพลง รวมถึงการใช้ประโยชน์จากคอนเทนต์ต่างๆ ของอาร์เอสให้ได้ประโยชน์อย่างสูงสุด เช่น แนวเพลงที่หลากหลาย การใช้ดีเจมืออาชีพจากคลื่นที่ได้รับการยอมรับจากผู้ฟังอย่าง อย่าง MAX 103.0 และ COOL 93 มาจัดรายการ การนำคลิปภาพศิลปินมาเสนอบนจอ รวมถึงการแจกบัตรคอนเสิร์ตที่จัดโดยอาร์เอส การร่วมสนุกเพื่อชิงของรางวัลต่างๆ จากบริษัทในเครือ เพราะทุกวันนี้เจ้าของสินค้าและผู้ประกอบการจะไม่ใช้โฆษณาในลักษณะของ Traditional Media เพื่อหวังสร้างภาพลักษณ์ แต่จะพยายามผลักดันยอดขายให้มากขึ้น และเชื่อว่าสื่ออินสโตร์จะสามารถกระตุ้นยอดขายได้จริง
“ ผมมั่นใจว่าแนวโน้มของสื่ออินสโตร์ยังคงเติบโตต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง เหตุผลส่วนหนึ่งมาจากพฤติกรรมผู้บริโภคในวันนี้เปลี่ยนไป ไม่ได้ซื้อสินค้าครั้งละมากชิ้น แต่จะซื้อเพียงน้อยชิ้นเท่าที่ต้องการ จึงต้องเลือกแบรนด์ที่คุ้มค่าที่สุด จึงทำให้บทบาทของสื่ออินสโตร์ที่อยู่ใกล้ชิดกับผู้บริโภคเติบโตต่อไปได้ พร้อมกับเชื่อมั่นว่าเมื่อสามารถสร้างส่วนขยายเน็ตเวิร์คได้สมบูรณ์ จะเป็นอาวุธสำคัญในการรุกธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ โดยคาดการณ์รายได้ปีนี้ไม่ต่ำกว่า 170 ล้านบาท หรือโตกว่า 30 % ” นายวิญญลักษณ์ กล่าวเพิ่มเติม