กรุงเทพฯ--24 ก.พ.--กลุ่มการประชาสัมพันธ์ สำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง
นายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลังเปิดเผยฐานะการคลังเบื้องต้นตามระบบ สศค.[1] (ระบบ Government Finance Statistics: GFS) ในไตรมาสแรก (ตุลาคม — ธันวาคม 2551) ประจำปีงบประมาณ 2552 สรุปได้ว่า ภาครัฐบาล (รัฐบาล และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น[2]) อัดฉีดเงินสุทธิเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจหรือขาดดุลการคลังทั้งสิ้น 124,800 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 1.3 ของ GDP[3] ขาดดุลเพิ่มขึ้นจากระยะเวลาเดียวกัน ปีที่แล้ว 55,415 ล้านบาท สะท้อนถึงบทบาทของนโยบายการคลังในการพยุงและกระตุ้นเศรษฐกิจในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2552 ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายของการดำเนินนโยบายการคลังของรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างเต็มที่ โดยรายละเอียดของฐานะการคลังตามระบบ สศค. สรุปได้ดังนี้
1. รายได้ภาครัฐบาลมีจำนวนทั้งสิ้น 419,873 ล้านบาท[4] (คิดเป็นร้อยละ 4.5 ของ GDP) ลดลงเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 13.1 โดยเป็นผลจากการลดลงทั้งในส่วนของรายได้รัฐบาล และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยมีรายละเอียดดังนี้
1.1 รัฐบาลมีรายได้รวม 274,787 ล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ 3.0 ของ GDP) ลดลงเมื่อเทียบกับระยะเวลาเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 16.4 ทั้งนี้ เนื่องจากการจัดเก็บรายได้ของ 3 กรมหลัก (กรมสรรพากร กรมสรรพสามิต และกรมศุลกากร) ที่ลดลง และการนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจที่ต่ำกว่า ระยะเดียวกันปีก่อน รวมทั้งเป็นผลจากการคืนภาษีของกรมสรรพากรที่เพิ่มขึ้นมากด้วย
1.2 องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น คาดว่าจะมีรายได้ทั้งสิ้น 51,436 ล้านบาท ลดลงจากระยะเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 17.8 เนื่องจากได้รับเงินอุดหนุนทั่วไปจากรัฐบาลช้ากว่าปีที่แล้ว ซึ่งปีที่แล้วได้รับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2550 (ในปีนี้ได้รับงวดแรกในเดือนมกราคม 2552)
1.3 บัญชีนอกงบประมาณซึ่งประกอบด้วยกองทุนนอกงบประมาณและเงินฝากนอกงบประมาณ มีรายได้รวม 93,650 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 1.6
2. รายจ่ายของภาครัฐบาล (รวมการให้กู้หักชำระคืนตามนโยบายรัฐบาล) ซึ่งมีผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจจริง มีจำนวน 544,674 ล้านบาท[5] ลดลงจากระยะเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 1.5 โดยเป็นการลดลงของรายจ่ายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และกองทุนนอกงบประมาณ โดยมีรายละเอียด ดังนี้
2.1 การเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐบาลมีจำนวนทั้งสิ้น 399,686 ล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ 4.3 ของ GDP) เพิ่มขึ้น 8,720 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 2.2 เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีที่แล้วที่มีรายจ่ายทั้งสิ้น 390,966 ล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ 4.3 ของ GDP)
2.2 รายจ่ายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นคาดว่าจะมีจำนวนทั้งสิ้น 65,652 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 0.7 ของ GDP ลดลงจากระยะเดียวกันปีที่แล้วที่มีรายจ่ายจำนวน 77,975 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 0.9 ของ GDP
2.3 รายจ่ายเงินกู้ต่างประเทศ (Project Loans) มีการเบิกจ่ายทั้งสิ้น 2,283 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,204 ล้านบาท เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีที่แล้วที่มีการเบิกจ่ายเพียง 79 ล้านบาท เนื่องจากปีที่ผ่านมาไม่มีการเบิกจ่ายในส่วนของเงินกู้ Structural Adjustment Loans (SAL)
2.4 บัญชีนอกงบประมาณมีรายจ่ายและเงินให้กู้หักชำระคืนตามนโยบายรัฐบาลรวม 77,053 ล้านบาท ลดลงจากระยะเวลาเดียวกันปีที่แล้ว ร้อยละ 7.9 ซึ่งมีสาเหตุจากรายจ่ายของกองทุนลดลง เช่น รายจ่ายเพื่อชดเชยราคาน้ำมันของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เป็นต้น
3. ดุลการคลังภาครัฐบาล ผลจากการที่ภาครัฐบาลมีรายจ่ายสูงกว่ารายได้ส่งผลให้ขาดดุลการคลังจำนวน 124,800 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 1.3 ของ GDP ขาดดุลเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีที่แล้วที่ขาดดุลจำนวน 69,386 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 0.8 ของ GDP
4. ดุลการคลังเบื้องต้นของรัฐบาล (Primary Balance) ซึ่งเป็นดุลการคลังที่สะท้อนถึงผลการดำเนินงานของรัฐบาลและทิศทางของนโยบายการคลังของรัฐบาลอย่างแท้จริง โดยไม่รวมรายได้และรายจ่ายดอกเบี้ย และการชำระคืนต้นเงินกู้ ในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2552 ขาดดุลทั้งสิ้น 92,471 ล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ 1.0 ของ GDP) ในขณะที่ช่วงเดียวกันปีที่แล้วขาดดุล 38,086 ล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ 0.4 ของ GDP)
สำนักนโยบายการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 0-2273-9021 ต่อ 3545, 3555