กรุงเทพฯ--19 พ.ค.--ตลท.
บริษัทจดทะเบียนมีกำไรงวดไตรมาสแรกปี 2549 รวมถึง 145,284 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 8 จากงวดเดียวกันของ ปีก่อน กลุ่มอุตสาหกรรม 3 อันดับแรกที่มีกำไรสูงสุดคือ กลุ่มทรัพยากร กลุ่มธุรกิจการเงินและกลุ่มบริการ ส่วนบริษัทใน SET50 และ SET100 กำไรเพิ่มขึ้นร้อยละ 77 และ 82 ตามลำดับ PTT, SCC, PTTEP, THAI และ ADVANC เป็น5 อันดับหุ้นทำกำไรสูงสุด
นายสุทธิชัย จิตรวาณิช รองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยถึงผลประกอบการของบริษัท จดทะเบียนประจำไตรมาส 1 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2549 ว่า บริษัทจดทะเบียนทั้งในตลาดหลักทรัพย์ฯ และตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ จำนวน 482 บริษัท (ร้อยละ 96 ของบริษัทจดทะเบียนทั้งสิ้น 504 บริษัท) ได้นำส่งงบการเงินงวดสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2549 ซึ่งปรากฏว่ามีกำไรสุทธิรวม 145,284 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 8
“ผลประกอบการโดยรวมของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ไตรมาส 1 ปี 2549 นี้ นับว่าดีขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยมีการเพิ่มขึ้นทั้งกำไรสุทธิ และยอดขาย โดยบริษัทที่นำส่งงบการเงิน 446 บริษัท จาก 467 บริษัท มีกำไรสุทธิ 145,005 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 8 โดยบริษัทที่มีกำไรสุทธิมีจำนวน 376 บริษัท หรือคิดเป็นร้อยละ 84 ส่วนยอดขายมีจำนวน 1,242,904 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 23” นายสุทธิชัยกล่าว
ส่วนบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) จำนวน 36 บริษัท จาก 37 บริษัท (อีก 1 บริษัทมีงบการเงินไม่ตรงงวด) ได้นำส่งงบการเงิน ปรากฏว่ามีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 279 ล้านบาท กำไรลดลงร้อยละ 10 และมียอดขายรวม 5,731 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 14
สำหรับบริษัทในกลุ่ม SET100 มีกำไรสุทธิ 119,805 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 82 ของกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนรวม (145,284 ล้านบาท) โดยมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 3 มียอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 26 ต้นทุนขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 30 และมีกำไรขั้นต้นร้อยละ 23
ส่วนผลดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในกลุ่ม SET50 มีกำไรสุทธิ 111,171 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 77 ของกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนรวม (145,284 ล้านบาท) คิดเป็นกำไรที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 ยอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 27 ต้นทุนขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 31 และมีกำไรขั้นต้นร้อยละ 24
ทั้งนี้ สาเหตุที่กำไรของบริษัทใน SET100 และ SET50 เพิ่มขึ้นเนื่องจากผลกระทบจากค่าเงินที่แข็งขึ้น ทำให้มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนถึง 4 เท่า
สำหรับบริษัทที่มีมูลค่ากำไรสุทธิรวมสูงสุด 5 อันดับแรกคือ บมจ. ปตท. (PTT) มีกำไรสุทธิ 23,723 ล้านบาท, บมจ. ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) มีกำไรสุทธิ 9,546 ล้านบาท , บมจ. ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) มีกำไรสุทธิ 7,839 ล้านบาท , บมจ. การบินไทย (THAI) มีกำไรสุทธิ 6,205 ล้านบาท, และ บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) มีกำไรสุทธิ 5,290 ล้านบาท
สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน 8 กลุ่มอุตสาหกรรม (Industry Group) จำนวน 425 บริษัท ไม่รวมบริษัทจดทะเบียนที่อยู่ระหว่างฟื้นฟูการดำเนินงาน (REHABCO) มียอดขายเพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มอุตสาหกรรม ยกเว้นหมวดวัสดุก่อสร้าง หมวดบริการเฉพาะกิจ และหมวดบรรจุภัณฑ์ โดยมีกำไรสุทธิรวม 136,153 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 94 ของกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนรวม โดยเรียงลำดับตามกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีกำไรสุทธิสูงสุดดังนี้
1. กลุ่มทรัพยากร ประกอบด้วยหมวดพลังงานและสาธารณูปโภค และหมวดเหมืองแร่มีกำไรสุทธิ 43,796 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 6 เนื่องจากมียอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 41 ประกอบกับปริมาณการใช้ปิโตรเลียมโดยรวมของประเทศยังคงสูงขึ้น รวมทั้งราคาน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์น้ำมันปรับตัวสูงขึ้น รวมทั้งผลจาก ค่าเงินบาททำให้มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนสูงขึ้น
2. กลุ่มธุรกิจการเงิน ประกอบด้วยหมวดธนาคาร หมวดเงินทุนหลักทรัพย์ และหมวดประกันภัยและประกันชีวิต มีกำไรสุทธิรวม 30,229 ล้านบาท ไม่แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน
3. กลุ่มบริการ ประกอบด้วยหมวดพาณิชย์ หมวดสื่อและสิ่งพิมพ์ หมวดการแพทย์ หมวดการท่องเที่ยวและสันทนาการ หมวดบริการเฉพาะกิจ หมวดขนส่งและโลจิสติกส์ มีกำไรสุทธิ 20,779 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 30 เนื่องจากยอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 12 โดยหมวดขนส่งและโลจิสติกส์มีสัดส่วนกำไรสุทธิ ร้อยละ 64 ของกลุ่มอุตสาหกรรม ซึ่งปัจจัยหลักมาจากการเพิ่มจำนวนเที่ยวบินและการเปิดเส้นทางบินใหม่ของบริษัทในกลุ่ม และกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน
4. กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง ประกอบด้วยหมวดวัสดุก่อสร้างและตกแต่ง และหมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ มีกำไรสุทธิ 15,856 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 27 เนื่องจากราคาของวัสดุก่อสร้างและพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ 9 และทำให้ส่วนต่างของราคาขายกับต้นทุนลดต่ำลงโดยเฉพาะธุรกิจเหล็ก และภาระดอกเบี้ยจ่ายที่สูงขึ้น
5. กลุ่มเทคโนโลยี ประกอบด้วยหมวดสื่อสาร หมวดชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และหมวดเครื่องใช้ไฟฟ้าและคอมพิวเตอร์ มีกำไรสุทธิ 12,812 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 12 เนื่องจากบริษัทมีรายได้จากการขายและบริการเพิ่มขึ้น และกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน
6. กลุ่มวัตถุดิบและสินค้าอุตสาหกรรม ประกอบด้วยหมวดปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ หมวดเครื่องมือและเครื่องจักร หมวดบรรจุภัณฑ์ หมวดกระดาษและวัสดุการพิมพ์ และหมวดยานยนต์ มีกำไรสุทธิ 7,548 ล้านบาท เพิ่มขึ้น ร้อยละ 29 สาเหตุหลักจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นของหมวดปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ในอัตราร้อยละ 42 รวมทั้ง ผลกระทบจากค่าเงินบาท ที่แข็งขึ้นทำให้มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้น
7. กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร ประกอบด้วยหมวดอาหารและเครื่องดื่ม และหมวดธุรกิจการเกษตร มีกำไรสุทธิ 3,092 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 15 เนื่องจากต้นทุนพลังงานที่ปรับเพิ่มขึ้นส่งผลให้ต้นทุนขายปรับเพิ่มขึ้น ร้อยละ 21
8. กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ประกอบด้วยหมวดของใช้ในครัวเรือน หมวดของใช้ส่วนตัวและเวชภัณฑ์ หมวดแฟชั่น มีกำไรสุทธิ 2,041 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 58 โดยมีการเติบโตของยอดขายประมาณร้อยละ 17
“บริษัทจดทะเบียนที่อยู่ระหว่างฟื้นฟูการดำเนินงาน (REHABCO) จำนวน 35 บริษัท นำส่งงบการเงินจำนวน 21 บริษัท คิดเป็นร้อยละ 60 มีผลกำไรสุทธิ 15 บริษัท และขาดทุนสุทธิ 6 บริษัท โดยมีกำไรสุทธิรวม 8,852 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2 เท่าจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 3,025 ล้านบาท เนื่องจากรายได้จากการดำเนินงานโดยรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 24 และกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน ” รองผู้จัดการกล่าว
ณ วันที่ 31 มีนาคม 2549 บริษัทในหมวด REHABCO มีหนี้คงค้างรวม 91,764 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 7 จากงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีมูลหนี้ทั้งสิ้น 98,569 ล้านบาท โดยสรุปสถานะการฟื้นฟูกิจการของบริษัทหมวด REHABCO ตั้งแต่ 1 มกราคม ถึง 16 พฤษภาคม 2549 ได้ดังนี้
- ไม่มีการย้ายบริษัทไปยังหมวด REHABCO
- มีบริษัทที่ย้ายกลับไปซื้อขายหมวดปกติ 6 บริษัท ได้แก่ บริษัท เอเวอร์แลนด์ จำกัด (มหาชน) (EVER)
บริษัท อินเตอร์ ฟาร์อีสท์ วิศวการ จำกัด (มหาชน) (IFEC) บริษัท ปรีชากรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (PRECHA)
บริษัท ไทยฮีทเอ็กซ์เช้นจ์ จำกัด (มหาชน) (THECO) บริษัท ไทยนามพลาสติกส์ จำกัด (มหาชน) (TNPC)
และบริษัท ไทยไวร์โพรดัคท์ จำกัด (มหาชน) (TWP)
ติดต่อส่วนสื่อมวลชนสัมพันธ์ ฝ่ายสื่อสารองค์กร
ลดาวัลย์ กันทวงศ์ โทร. 0-2229 — 2036 / กุลวิดา จินตกะวงส์ โทร. 0-2229 — 2037/
ณัฐพร บุญประภา โทร. 0-2229 — 2049 / วรรษมน เสาวคนธ์เสถียร โทร. 0-2229-2797