กรุงเทพฯ--26 ก.พ.--ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล
บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (MINT) ประกาศผลกำไรสุทธิประจำปี 2551 เท่ากับ 1,901 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 18 สอดคล้องกับรายได้จำนวน 16,515 ล้านบาท ซึ่งเติบโตร้อยละ 18 เช่นกัน ในปี 2551 MINT มีกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) เพิ่มขึ้นร้อยละ 15 เป็น 0.56 บาทต่อหุ้น จากความสำเร็จในการเข้าลงทุนในแบรนด์อาหารที่มีฐานการประกอบธุรกิจในประเทศสิงคโปร์และออสเตรเลียในช่วงครึ่งปีแรก ส่งผลให้รายได้จากการดำเนินธุรกิจอาหารเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 28 เป็น 8,404 ล้านบาท ในขณะเดียวกัน ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับโรงแรมและสันทนาการยังคงแสดงผลการดำเนินงานที่ดี โดยมีรายได้จากธุรกิจดังกล่าว 6,835 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 7 โดยที่ MINT ได้แสดงให้เห็นว่าทั้งธุรกิจอาหารและธุรกิจโรงแรมของบริษัทมีความยืดหยุ่นสูงแม้ว่าจะต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงของภาวะเศรษฐกิจโลกและสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศในปี 2551 ก็ตาม ดังจะเห็นได้จากธุรกิจอาหาร มีจำนวนสาขาร้านเพิ่มขึ้น 367 สาขาจากการเปิดสาขาใหม่และการเข้าลงทุนทุนในแบรนด์อาหาร รวมถึง การขยายตัวของธุรกิจโรงแรมที่มีการเปิดตัวโรงแรมอนันตรา ภูเก็ต และโรงแรมที่ MINT รับจ้างบริหารอีก 4 แห่ง
ในปี 2551 ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป (MFG) มีรายได้ 8,404 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 28 จากปีก่อน โดยมีอัตราการขยายตัวของยอดขายร้านสาขาเดิม (Same Store Sales) เพิ่มขึ้นร้อยละ 4 และมีร้านสาขาเพิ่มขึ้นสุทธิ 376 สาขา การเติบโตอย่างมีนัยสำคัญดังกล่าว เป็นผลจากการเข้าลงทุนในเดอะ คอฟฟี่ คลับและไทย เอ็กซ์เพรส โดยเดอะ คอฟฟี่ คลับ นั้นมีร้านสาขามากกว่า 200 แห่ง ทั้งยังได้รับรางวัลผู้ประกอบธุรกิจแฟรนไชส์ร้านอาหารยอดเยี่ยมจาก The Franchise Council of Australia สำหรับ ไทย เอ็กซ์เพรส มีจำนวนร้านอาหาร 65 สาขา ซึ่งส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในประเทศสิงคโปร์ โดยในปี 2551 มีกำไรหลังหักภาษีแล้วกว่า 192 ล้านบาท นับได้ว่าธุรกิจอาหารมีส่วนช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับบริษัทในยามที่ธุรกิจโรงแรมของ MINT ต้องเผชิญกับภาวะการชะลอตัวลงของจำนวนนักท่องเที่ยว และการเปิดสาขาร้านอาหารครบ 1,000 สาขาในปี 2551 จัดเป็นอีกก้าวหนึ่งของการประสบความสำเร็จของธุรกิจอาหาร
ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับโรงแรมและสันทนาการยังคงแสดงผลประกอบการที่ดี โดยมีรายได้จากธุรกิจดังกล่าว 6,835 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 7 โดยเฉพาะธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจรับจ้างบริหารโรงแรม มีรายได้เท่ากับ 1,138 ล้านบาท เพิ่มสูงถึงร้อยละ 78 ซึ่งการเพิ่มขึ้นของรายได้จากธุรกิจดังกล่าวช่วยชดเชยการลดลงของรายได้จากโรงแรมในประเทศไทยที่บริษัทลงทุนเอง ซึ่งที่มีรายได้ลดลงร้อยละ 1 โดยการลดลงดังกล่าวเป็นผลมาจากการสนามบินในกรุงเทพโดยกลุ่มผู้ประท้วงรัฐบาล ทำให้อัตราการเข้าพักในเดือนธันวาคมลดลง อย่างไรก็ดี MINT ยังคงเสริมความแข็งแกร่งในการเป็นผู้นำด้านธุรกิจโรงแรมชั้นนำในทวีปเอเชีย โดยการเปิดโรงแรมอนันตรา ภูเก็ต ซึ่งให้บริการห้องพักแบบพูล วิลล่าจำนวน 83 หลัง รวมถึงการเข้าลงทุนในบริษัทที่เป็นเจ้าของและดำเนินธุรกิจโรงแรมชั้นนำในรูปแบบของซาฟารีแคมป์ในทวีปแอฟริกา นอกจากนี้ MINT ยังได้เริ่มบริหารโรงแรมอีกสี่แห่งในชื่ออนันตรา ภายใต้สัญญารับจ้างบริหารระยะยาว ทั้งนี้ ในปี 2551 โรงแรมในเครือของ MINT ถึง 6 แห่งได้รับเกียรติในการจัดอันดับให้เป็นโรงแรมที่ดีที่สุด 50 อันดับในภูมิภาคเอเชีย จากผลสำรวจของนิตยสาร Conde Nast Traveler และที่สำคัญ หนึ่งในนั้นคือ โฟร์ซีซั่นส์ เต็นท์แคมป์ ที่จังหวัดเชียงราย ได้รับคัดเลือกเป็นอันดับ 1 โลก
เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2552 MINT ได้ประกาศแผนการปรับโครงสร้างทางธุรกิจกับบริษัท ไมเนอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (MINOR) โดยเสนอการแลกหุ้นระหว่างหุ้นที่ออกใหม่ของ MINT และหุ้นเรียกชำระแล้วทั้งหมดของ MINOR เพื่อให้สอดคล้องกับประกาศของสำนักงาน กลต. ที่ กจ. 6/2543 โดยแผนการปรับโครงสร้างในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งและประสิทธิภาพในการดำเนินงานของ MINT ซึ่งจะส่งผลให้มูลค่าต่อผู้ถือหุ้นของทั้ง MINT และ MINOR สูงขึ้น ทั้งนี้ MINT ได้กำหนดวันประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 6 มีนาคม 2552 เพื่อให้ผู้ถือหุ้นลงมติต่อแผนการปรับโครงสร้างทางธุรกิจในครั้งนี้
บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) เป็นผู้นำในธุรกิจอาหารที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศ ประกอบไปด้วยร้านอาหารจำนวน 1,043 สาขา ภายใต้เครื่องหมายการค้า เดอะ พิซซ่า คอมพานี สเวนเซ่นส์ ซิซซ์เลอร์ แดรี่ควีน เบอร์เกอร์คิง ไทยเอ็กซ์เพรส และเดอะ คอฟฟี่ คลับ นอกจากนี้ บริษัทยังเป็นผู้นำในการดำเนินธุรกิจโรงแรมซึ่งประกอบด้วย 27 โรงแรม ภายใต้เครื่องหมายการค้า อนันตรา แมริออทส์ โฟร์ซีซั่นส์ เอเลวาน่า และโรงแรมในกลุ่มไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ในประเทศไทย มัลดีฟส์ เวียดนาม แอฟริกา ตะวันออกกลาง และอินโดนีเซีย ในเดือนมกราคม ปี 2552 MINT ได้รับการยอมรับจากนิตยสารเอเชียมันนี่ว่าเป็นบริษัทที่มีการจัดการดีเยี่ยมในกลุ่มบริษัทที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดขนาดกลางของประเทศไทย (Best Managed Medium Cap Company) ซึ่งพิจารณาจากผลการดำเนินงาน การดำเนินกลยุทธ์ และวิสัยทัศน์ของผู้บริหาร ตลอดจนการสร้างมูลค่าให้แก่ผู้ถือหุ้น สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมเยี่ยมชมได้ที่เว็บไซต์ www.minornet.com