กรุงเทพฯ--22 ส.ค.--ริช เอเชีย สตีล
บมจ.ริช เอเชีย สตีล ปัจจัยพื้นฐานโดดเด่น โบรกเกอร์ระบุผลประกอบการในปี 2549-2550 ยังเติบโต ต่อเนื่องและความสามารถทำกำไรดีขึ้น จากภาวะราคาเหล็กที่ปรับตัวขึ้นและบริษัทมีกำลังผลิตสูงขึ้น ขณะ เดียวกันได้เริ่มรุกขยายฐานสู่กลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมยานยนต์ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นดีกว่า คาดปีนี้ยอดขายแตะที่ ระดับ 5.5 พันลบ. พร้อมประเมินราคาเหมาะสมอยู่ในช่วงระหว่าง 2.40-2.80 บาท/หุ้น
บริษัท ริช เอชีย สตีล จำกัด (มหาชน) (RICH) ประกอบธุรกิจในการผลิต จัดหา และจัดจำหน่าย ผลิตภัณฑ์เหล็กแปรรูปทุกประเภทที่มีคุณภาพและได้มาตรฐาน เตรียมจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อ ประชาชนทั่วไปจำนวน 100 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท มีบริษัทหลักทรัพย์ ซีมิโก้ จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ทั้งนี้ได้กำหนดราคาเสนอขายที่ 2.30 บาทต่อหุ้น และจะเสนอขายระหว่างวันที่ 21-23 สิงหาคมนี้ คาดว่าจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในหมวดวัสดุอุตสาหกรรมและเครื่องจักร ในวันที่ 31 สิงหาคมนี้ โดยใช้ชื่อในการซื้อขาย ว่า “RICH”
บล.เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ ออกบทวิเคราะห์ บมจ.ริช เอชีย สตีล ให้ความเห็น โดยระบุว่าบริษัทมี โครงการที่จะผลิตเหล็กแปรรูปอุตสาหกรรมในกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ผลิตภัณฑ์คุณภาพสูง เพื่อ ขยายฐานลูกค้าและเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้น(Margin) โดยเป็นการผลิตตามคำสั่งซื้อของลูกค้า (Made to Order) ซึ่งที่ผ่านมาในไตรมาส 1/49 บริษัทได้ทดลองผลิตให้ลูกค้าพิจารณาและได้รับคำสั่งซื้อแล้ว ปัจจุบันอยู่ ระหว่างการสั่งซื้อเครื่องจักรและอุปกรณ์มูลค่าประมาณ 80 ล้านบาท ด้วยกำลังการผลิตประมาณ 90,000 ตัน ต่อปี คาดว่าจะเริ่มผลิตได้ในไตรมาส 2 ปี 2550
สำหรับผลการดำเนินงานปี 49 คาดว่ายอดขายจะยังคงเติบโตต่อเนื่องประมาณ 14% อยู่ที่ 5,588 ล้านบาท จากภาวะราคาเหล็กเริ่มปรับตัวดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 2/49 และบริษัทเริ่มผลิตสินค้าระดับพรีเมี่ยม ให้อุตสาหกรรมยานยนต์ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีกว่าส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นปี 49 ปรับตัวดีขึ้นเป็น 5.32% และกำไรสุทธิจะเติบโตเป็น 149 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.30 บาท ขณะที่ปี 2550 คาดยอดขายจะยังเติบโต อย่างต่อเนื่องที่ 6,384 ล้านบาท เติบโต 14% กำไรสุทธิอยู่ที่ 175 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.35 บาท การประเมินมูลค่าที่เหมาะสมของ RICH โดยใช้ P/E ของกลุ่มเหล็กที่ระดับ 8 เท่า เทียบกับกำไรสุทธิต่อหุ้นปี 49 ที่ 0.30 บาท และปี 50 ที่ 0.35 บาท ดังนั้น Fair Value ปี 49 เท่ากับ 2.40 บาท และปี 50 เท่ากับ 2.80 บาท โดยให้อัตราผลตอบแทนเงินปันผล (Dividend yield) ในปี 49-50 เท่ากับ 5.88% และ 6.91% ตามลำดับ
ทางด้าน บล.บีที ออกบทวิเคราะห์โดยระบุว่า ภายใต้สถานการณ์เหล็กกลับสู่ภาวะปกติ คาดปริมาณ ขายเหล็กปรับตัวดีขึ้น เฉลี่ย 280,000 ตัน และ 308,000 ตัน ในปี 2549 และ 2550 ตามลำดับ และภายหลังระดับ ราคาเหล็กปรับลดลงสู่ระดับต่ำสุดเมื่อปลายปีที่ผ่านและต่อเนื่องมายัง Q1/2549 คาดภายหลังผู้ประกอบการ รายใหญ่ทั้งในประเทศและต่างประเทศมีการรวมตัวกันมากขึ้นคาดทำให้ราคามีการปรับตัวดีขึ้น คาดเฉลี่ย 19,000 บาท/ตัน ในปี 2549 และ 19,950 บาท/ตัน ในปี 2550 คาดรายได้ขาย 5,320 ล้านบาท และ 6,145 ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้น 8.5% และ 15.5% ในช่วงเวลาดังกล่าว คาด Gross Profit Margin เฉลี่ย 5.9% และ 6.5% และคาดค่าใช้จ่ายขายและบริหาร เฉลี่ยเพิ่มขึ้น 10% ต่อปี คาดกำไรสุทธิ 155 ล้านบาท และ 224 ล้านบาท ในปี 2549 และ 2550 หรือคิดเป็น 0.31 บาท/หุ้น และ 0.45 บาท/หุ้น ตามลำดับ คาดจ่ายปันผลตามนโยบายไม่ต่ำกว่า 50% ที่ 0.15 บาท และ 0.22 บาท ในช่วงเวลาเดียวกัน ทั้งนี้ กำหนดราคาเป้าหมายปี 49 ที่ 2.48 บาท โดยใช้ P/E ที่ 8 เท่า ซึ่งเป็นระดับเดียวกับกลุ่ม
ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ :
คุณณัฐพงษ์ ใจแกล้ว โทร. 02-5549396 หรือ 01-4010226