กรุงเทพฯ--3 มี.ค.--อาซิแอม เบอร์สัน-มาร์สเตลเลอร์
บิ๊กซีโชว์กำไรปี 51 เพิ่ม 14% พร้อมเผยแผนลงทุนปี 52 เปิดสาขา ศรีสะเกษ พร้อมมุ่งเน้นกลยุทธ์ด้านราคาและสร้างแบรนด์ลอยัลตี้ต่อเนื่อง
นางสาวรำภา คำหอมรื่น รองประธานฝ่ายบัญชีและการเงิน บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า สำหรับแผนการดำเนินงานในปีนี้ บิ๊กซีมีการปรับกลยุทธ์และแผนให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจ โดยการเพิ่มประสิทธิภาพระบบขนส่งและลอจิสติกส์ พร้อมทั้งการบริหารต้นทุนและลดค่าใช้จ่าย โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น สำหรับแผนการลงทุนในปีนี้ บริษัทจะใช้งบลงทุนรวม 1,000 กว่าล้านบาท สำหรับการขยายสาขาใหม่และปรับปรุงสาขาเดิมให้ทันสมัย โดยบิ๊กซีมีแผนจะเปิดสาขาศรีสะเกษ ในเดือนเมษายน 2552 ซึ่งจะทำให้บิ๊กซีมีสาขาเพิ่มเป็น 67 สาขา
“ในปีที่ผ่านมาถือว่า บิ๊กซีประสบความสำเร็จอย่างมาก ทั้งในด้านการขยายสาขาใหม่ทั้ง 12 สาขาทั้งในต่างจังหวัดและปริมณฑล เพื่อขยายการให้บริการแก่ลูกค้าทั่วประเทศอย่างทั่วถึงยิ่งขึ้น และเพิ่มยอดขายจากการขยายฐานลูกค้าสูงถึง 9.2% ส่งผลให้เรามีกำไรสุทธิเติบโตขึ้น 14%”
นางสาวรำภากล่าวต่อไปว่า “สำหรับปี 2552 บิ๊กซียังคงดำเนินต่อไปในเรื่องการดำเนินกลยุทธ์ที่ปฏิบัติ มาอย่างต่อเนื่องทั้ง 3 ด้าน คือ การเป็นผู้นำด้านราคา การจัดกิจกรรมการตลาดที่สร้างประสบการณ์และ ความสนุกสนานในการซื้อสินค้าแก่ลูกค้า และการทำกิจกรรมเพื่อคนไทยและสังคมไทย ซึ่งช่วยให้ลูกค้า มีความพึงพอใจและมั่นใจในการซื้อสินค้าที่บิ๊กซี โดยในปีนี้ บิ๊กซีจะให้ความสำคัญในการปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานของบิ๊กซีและการบริหารและควบคุมต้นทุนการดำเนินงานมากขึ้น โดยเฉพาะ ด้านขนส่งและระบบลอจิสติกส์ และดำเนินนโยบายลดต้นทุนในส่วนซัพพลายเชน ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้ ผลประกอบการของบิ๊กซีในปีนี้ ยังคงมีการเติบโตเช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา”
นางสาวจริยา จิราธิวัฒน์ รองประธานฝ่ายการตลาดและการสื่อสาร บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า สำหรับแผนการตลาดในปีนี้ บิ๊กซีจะมุ่งเน้นกลยุทธ์ด้านราคา ซึ่งเป็นจุดแข็งของบิ๊กซีที่ผู้บริโภคให้การยอมรับ รวมทั้งการดำเนินกิจกรรมลอยัลตี้ต่อเนื่องจากปี 2551 ผ่านบัตรช้อปโทรฟรี บัตรบิ๊กซีโบนัส และบัตรบิ๊กซี ช้อป พลัส ซึ่งปัจจุบันบิ๊กซีมีสมาชิกบัตรช้อปโทรฟรีรวม 1.7 ล้านคน โดยที่ผ่านมาบิ๊กซีสามารถกระตุ้นการขายผ่านการทำกิจกรรมกับสมาชิกช้อปโทรฟรีในแต่ละแคมเปญ โดยมียอดขายจากสมาชิกดังกล่าว เฉลี่ย 20-30% ของยอดขายรวมของแต่ละแคมเปญ
“ในปีนี้ แม้ภาวะเศรษฐกิจจะชะลอตัว แต่บิ๊กซียังคงจัดเตรียมงบการตลาดในจำนวนที่ไม่ต่ำกว่าปีที่ผ่านมา เพื่อจัดกิจกรรมการตลาดและโปรโมชั่นลดราคาสินค้ากระตุ้นการใช้จ่ายของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง เพื่อผลักดันยอดขายเติบโตอย่างน้อย 6-10% ในปี 2552” นางสาวจริยากล่าว
ทั้งนี้ จากการสำรวจในปี 2551 บิ๊กซีมียอดลูกค้าเข้ามาซื้อสินค้าที่ห้างมากกว่า 5.3 ล้านครัวเรือนต่อปี โดยมี ยอดใช้จ่ายเท่ากับ 6,300 บาทต่อครัวเรือน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 330 บาทต่อครัวเรือน หรือเพิ่มขึ้น 6%
นางสาวจริยากล่าวต่อไปว่า ในปีนี้บิ๊กซีจะให้ความสำคัญกับสินค้าเฮ้าส์แบรนด์มากขึ้น จากที่ในปีที่แล้วได้เปิดตัวสินค้าเฮ้าส์แบรนด์ตรา “บิ๊กซี” และได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดีและมียอดขายเติบโตขึ้น ทุกเดือน เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันทำให้ผู้บริโภคมองหาสินค้าที่มีคุณภาพแต่ราคาประหยัดมากขึ้น จึงทำให้บิ๊กซีมีแผนที่จะใช้งบประมาณ 20 ล้านบาท เพื่อพัฒนาสินค้าเฮ้าส์แบรนด์มากขึ้น โดยเมื่อต้นปี 2552 บิ๊กซีได้เปิดตัวสินค้าตรา “แฮปปี้บาท” ภายใต้แนวคิด “ราคาประหยัดมากขึ้น” ซึ่งจะมีราคาถูกกว่าสินค้าทั่วไปประมาณ 40% นับเป็นสินค้าเฮ้าส์แบรนด์อันดับสองของบิ๊กซี ครอบคลุมสินค้าอุปโภค (Non-food) สินค้าบริโภค (Dry food) และสินค้าอาหารสด (Fresh food) ปัจจุบันมีจำนวนสินค้าอยู่ทั้งสิ้น 73 รายการและ จะเพิ่มเป็น 200 รายการภายในสิ้นปี
“จากการเปิดตัวสินค้าเฮ้าส์แบรนด์ตรา “บิ๊กซี” ในปีที่ผ่านมาและได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า ทำให้ เราเห็นว่า ยังมีช่องว่างที่จะสามารถส่งสินค้าเฮ้าส์แบรนด์ที่เป็นแบรนด์ใหม่ มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและมีราคาถูก เพื่อตอบสนองความต้องการให้กับลูกค้าในช่วงภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน เราคาดว่า “แฮปปี้บาท” จะเป็นสินค้าที่จะสามารถเติมเต็มช่องว่างดังกล่าว” นางสาวจริยากล่าว
ด้านกิจกรรมเพื่อสังคมในปี 2552 บิ๊กซียังคงมุ่งเน้นการดำเนินกิจกรรมเพื่อเยาวชนและสังคมโดยรวมเช่นเดียวกับที่ผ่านมาผ่านมูลนิธิบิ๊กซี ทั้งการจัดสร้างอาคารเรียนบิ๊กซี มูลค่า2.2 ล้านบาท และบ้านหนังสือ บิ๊กซีให้แก่โรงเรียนที่ขาดแคลน การจัดสร้างสนามบาสเก็ตบอลและสนามเด็กเล่นมอบให้กับชุมชนต่างๆ การมอบทุนการศึกษาแก่นักเรียน การมอบสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนโดยพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้กับโรงเรียนในพื้นที่ที่บิ๊กซีเปิดสาขา เป็นต้น โดยปัจจุบัน มูลนิธิบิ๊กซีได้ช่วยสนับสนุนการศึกษาของเยาวชนไทยและทำกิจกรรมเพื่อสังคมต่างๆ เป็นเงินกว่า 130 ล้านบาท
สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2551 บิ๊กซีมียอดขายจำนวน 67,292 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2550 จำนวน 5,692 ล้านบาทหรือ 9.2% มีรายได้ค่าเช่าและค่าบริการ 3,148 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2550 จำนวน 421 ล้านบาทหรือ 15.4 % และมีกำไรสุทธิจำนวน 2,852 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 349 ล้านบาท หรือ 14%
ทั้งนี้ ในปีที่ผ่านมา บิ๊กซีได้มีการลงทุนประมาณ 5,500 ล้านบาท ในการขยายสาขาใหม่รวม 12 สาขา คือ สาขาอยุธยา สาขาบ้านโป่ง สาขาสุโขทัย สาขาชัยภูมิ สาขาเพชรบูรณ์ สาขากระบี่ สาขานวนคร สาขารังสิตคลอง 6 สาขายโสธร สาขาสระแก้ว สาขาวารินชำราบ และสาขามหาสารคาม และการปรับปรุงสาขาเดิมจำนวน 4 สาขา
บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) (ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ฯ: BIGC) ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2536
เป็นผู้ดำเนินธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ในรูปแบบซูเปอร์เซ็นเตอร์ ภายใต้ชื่อ “บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์” ซึ่งจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคและบริโภคที่หลากหลายในราคาสมเหตุสมผลภายใต้สโลแกน “เราให้คุณมากกว่าคำว่าถูก” เพื่อสร้างความพึงพอใจแก่ ผู้บริโภค ปัจจุบันมีสาขาที่เปิดให้บริการจำนวน 66 สาขาครอบคลุมทั่วประเทศ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ สามารถเข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ของบริษัทฯ ได้ที่ www.bigc.co.th
รายละเอียดเพิ่มเติม โปรดติดต่อ:
สาธิดา ศรีธัญญาธรณ์ หรือ สุภาภรณ์ สุธรรมโกศล
อาซิแอม เบอร์สัน-มาร์สเตลเลอร์
โทร. 0 2252 9871