กรุงเทพฯ--3 มี.ค.--ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด
สายธุรกิจสถาบันธนกิจมีผลการดำเนินงานยอดเยี่ยม เงินฝากรวมทั้งกลุ่มเพิ่มขึ้น 31%
3 มีนาคม 2552: กลุ่มธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดประกาศผลประกอบการยอดเยี่ยมอีกครั้ง สำหรับปี 2551 โดยมีรายได้เพิ่มขึ้น 26% เป็น 13.97 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ กำไรก่อนหักภาษีเพิ่มขึ้น 13% อยู่ที่ 4.57 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ท่ามกลางภาวะวิกฤตในตลาดช่วงปลายครึ่งปีที่แล้ว ทั้งนี้ 80% ของรายได้ที่เพิ่มขึ้นมาจากการเติบโตในการดำเนินธุรกิจปกติ
ช่วงครึ่งแรกของปี 2551 การค้าภายในภูมิภาคที่ยังแข็งแกร่งส่งผลให้เศรษฐกิจสามารถเติบโตอย่างเข้มแข็ง อย่างไรก็ดีในช่วงครึ่งหลังของปี วิกฤตทางการเงินเริ่มส่งผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจแท้จริงทั่วทั้งโลก
กลุ่มธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ลูกค้าในฐานะสถาบันการเงินที่มีคุณภาพ ทำให้ยอดเงินฝากโดยรวมของกลุ่มเพิ่มขึ้น 31% ในปี 2551 โดยส่วนใหญ่เป็นเงินฝากที่ไหลเข้ามาในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีที่แล้ว ขณะที่ความมั่นใจในสถาบันเงินทั่วไปเริ่มถดถอย การดำรงสภาพคล่องสูง และงบดุลที่แข็งแกร่ง ตามด้วยการให้สิทธิจองซื้อหุ้นสามัญแก่ผู้ถือหุ้นรายเดิมตามสัดส่วนจำนวนหุ้นที่ถือหุ้นในเดือนธันวาคม ทำให้กลุ่มธนาคารฯ มีสถานะที่แข็งแกร่งที่จะให้การสนับสนุนลูกค้าและถือครองส่วนแบ่งตลาด
นายปีเตอร์ แซนด์ส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด กล่าวว่า “เรายังคงเปิดกว้างและสนับสนุนลูกค้าในภาวะที่ต้องฝ่าฟันวิกฤตินี้ เรามองหาโอกาสที่จะเติบโตจากความผันผวนนี้ และเรามีกลยุทธ์ที่ชัดเจนและต่อเนื่อง และยังคงลงทุนเพื่อการเติบโต”
ภูมิภาคหลักๆ ส่วนใหญ่ที่กลุ่มธนาคารฯ เข้าไปดำเนินกิจการมีผลประกอบการที่ดี โดย 7 ใน 9 ภูมิภาคหลักของธนาคารมีรายได้รวมกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ สิงคโปร์มีรายได้ก่อนหักภาษีเพิ่มขึ้น 67% อินเดีย 37% ตะวันออกกลางและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 25% เกาหลี 10% และ แอฟริกา 5% ส่วนฮ่องกง แม้จะมีผลประกอบการที่ยอดเยี่ยมในครึ่งแรกของปี แต่กำไรก่อนหักภาษีในปี 2551 ลดลง 15% ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจมหภาคที่ตกต่ำลงในช่วงครึ่งหลังของปี
ผลประกอบการที่ยอดเยี่ยมในปี 2551 มาจากสายธุรกิจสถาบันธนกิจ ซึ่งมีรายได้เพิ่มขึ้น 43% และกำไรก่อนหักภาษีเพิ่มขึ้น 28% จากผลิตภัณฑ์ประเภทต่างๆ ทั่วทุกภูมิภาค
สายธุรกิจบุคคลธนกิจมีรายได้เติบโตขึ้น 3% แต่กำไรก่อนหักภาษีลดลง 33% ซึ่งเกิดจากธุรกิจบริการการเงินและการลงทุนที่ลดลงในช่วงครึ่งปีหลังท่ามกลางภาวะตกต่ำตลาดหลักทรัพย์ในเอเชีย โดยรวม ธุรกิจการเงินและการลงทุนมีรายได้เพิ่มขึ้น 6% ในปี 2551 ส่วนธุรกิจ SME ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสายธุรกิจหลักของธนาคาร มีรายได้เพิ่มขึ้น 8%
กลุ่มธนาคารให้ความสำคัญกับการบริหารงบดุลที่แข็งแกร่ง หลังจากที่ให้สิทธิจองซื้อหุ้นสามัญแก่ผู้ถือหุ้นรายเดิมตามสัดส่วนจำนวนหุ้นที่ถืออยู่ เป็นจำนวน 2.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในเดือนธันวาคม 2551ทำให้เงินกองทุนขั้นที่ 1 ของธนาคารอยู่ที่ระดับ 10.1% ส่วนเงินกองทุนรวมอยู่ที่ 15.6% ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่ทางกลุ่มธนาคารตั้งไว้ ยอดเงินฝากที่เพิ่มขึ้นทำให้สัดส่วนสินทรัพย์ต่อเงินฝากอยู่ที่ 75% จาก 84% ในช่วงครึ่งหลังของปี
นายปีเตอร์ แซนด์ส กล่าวว่า “กลุ่มธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดเริ่มต้นปี 2552 ด้วยผลการดำเนินงานที่ดี โดยสายธุรกิจสถาบันธนกิจมีผลงานในเดือนมกราคมดีกว่าเดือนเดียวกันในปีที่แล้ว และยังคงกุมสัดส่วนตลาดที่เพิ่มขึ้น ส่วนสายธุรกิจบุคคลธนกิจยังคงมีบทบาทสำคัญต่อการระดมเงินฝากและการดำรงสภาพคล่องของกลุ่มธนาคารฯ”