กรุงเทพฯ--4 มี.ค.--บีโอไอ
บอร์ดบีโอไอชุดนายกฯ อภิสิทธิ์ เชื่อมั่นในโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศ คาดวิกฤตเศรษฐกิจจะไม่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อแผนการลงทุนในระยะยาวของทั้งนักธุรกิจไทยและบริษัทต่างชาติ เผย 2 เดือนยอดคำขอรับส่งเสริมมีมูลค่า 1.08 ล้านบาทพร้อมเร่งผลักดันภาคเอกชนลงทุนโครงการขนาดใหญ่
นายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบอร์ดบีโอไอ ที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ว่า ที่ประชุมได้รับทราบถึงสถานการณ์ด้านการลงทุนของประเทศในปัจจุบัน และมีความมั่นใจว่าโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจของไทยยังมีความเข้มแข็ง ประกอบกับสถานการณ์ต่างๆ มีความชัดเจนมากขึ้น ดังนั้น เมื่อมองภาพรวมแล้วคาดว่าวิกฤตเศรษฐกิจจะไม่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนในระยะยาวของนักธุรกิจไทยและนักธุรกิจจากต่างประเทศ
ทั้งนี้ ภาวะการลงทุนในช่วงต้นปี 2552 พบว่า นักลงทุนยังสนใจเข้ามาลงทุนในไทย โดยตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 28 กุมภาพันธ์ 2552 มีโครงการยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนรวม 141 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 108,700 ล้านบาท มีโครงการสำคัญคือการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ จำนวน 2 โครงการ มูลค่าลงทุนรวมกว่า 81,000 ล้านบาท ที่จะก่อให้เกิดการจ้างแรงงานกว่า 6,700 คน โดยการลงทุนด้านบริการและสาธารณูปโภค พบว่า มีการลงทุนสูงสุดเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมอื่นๆ คือ มีมูลค่าถึง 92,500 ล้านบาท
นายชาญชัย กล่าวต่อไปว่า แนวโน้มการลงทุนจากนี้ไป จะเพิ่มมากขึ้นได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับการดำเนินงานของภาครัฐอย่างจริงจัง โดยเฉพาะเรื่องการผลักดันให้ภาคเอกชนลงทุนในโครงการเหล็กขั้นต้นคุณภาพสูง และการเร่งรัดจัดหาพื้นที่เพื่อพัฒนาเป็นเขตอุตสาหกรรมในพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ (Southern Seaboard) รองรับการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมในอนาคต โดยเฉพาะอุตสาหกรรมปิโตรเคมี เหล็กและพลังงานทดแทน
นอกจากนี้ คาดว่าจะยังมีการลงทุนในโครงการที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมยานยนต์ เช่น ชิ้นส่วนยานยนต์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในยานยนต์ เพื่อรองรับโครงการผลิตรถยนต์ที่ได้รับส่งเสริมการลงทุนไปในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา และจะมีโครงการลงทุนเพิ่มในกิจการโรงไฟฟ้า ซึ่งมาจากการเปิดประมูลรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ หรือ ไอพีพี ด้วย