กรุงเทพฯ--3 มี.ค.--ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย
ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย เปิดโครงการสินเชื่อซับน้ำตา ด้วย 3 ผลิตภัณฑ์ สินเชื่อเพื่อไถ่ถอน หรือเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย ที่ให้วงเงินสูงสุดถึง 110% ปลอดเงินต้น 3 ปี และสินเชื่อรีไฟแนนซ์บัตรเครดิต/สินเชื่อบุคคล ที่สามารถเลือกผ่อนชำระได้นานถึง 6 ปี พร้อมปลอดชำระเงินต้นได้สูงสุด 6 เดือน หวังช่วยแบ่งเบาภาระหนี้ผู้บริโภค
นายธีรศักดิ์ สุวรรณยศ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ในภาวะที่เศรษฐกิจตกต่ำ ทำให้ผู้บริโภคเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ยากขึ้น เพราะสถาบันการเงินส่วนใหญ่จะชะลอการปล่อยสินเชื่อ ประกอบกับหลายอุตสาหกรรมมีการเลิกจ้างงาน ทำให้ผู้บริโภคมีปัญหาภาระหนี้เพิ่มขึ้น ซึ่งในส่วนนี้ธนาคารอิสลามได้ให้ความร่วมมือในการสนับสนุนนโยบายของภาครัฐ ในการเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยการออกโครงการสินเชื่อซับน้ำตา เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระหนี้ให้กับผู้บริโภค
สำหรับโครงการสินเชื่อซับน้ำตา ประกอบไปด้วย 3 ผลิตภัณฑ์ คือ สินเชื่อเพื่อไถ่ถอนที่อยู่อาศัย มีวัตถุประสงค์เพื่อไถ่ถอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง บ้าน ทาวเฮาส์ อาคารพาณิชย์ ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของตนเองและครอบครัวจากสถาบันการเงินอื่น ให้วงเงินสูงสุด 110% ของภาระหนี้คงเหลือ
ผลิตภัณฑ์ที่สอง คือ สินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย ให้วงเงินสูงสุดไม่เกิน 90% ของราคาซื้อขายหรือราคาประเมิน ซึ่งทั้ง 2 ผลิตภัณฑ์ จะกำหนดระยะเวลาผ่อนชำระสูงสุดไม่เกิน 30 ปี และสามารถขอปลอดชำระเงินต้นได้สูงสุด 3 ปี
นายธีรศักดิ์ กล่าวอีกว่า สินเชื่อเพื่อไถ่ถอนที่อยู่อาศัย และสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย จะคิดอัตรากำไรแบบคงที่พิเศษต่ำสุด ปีที่ 1 คิดอัตรากำไร 4.25% ปีที่ 2 และ 3 อัตรากำไร 6.00% พร้อมปลอดเงินต้น 3 ปี
สำหรับผลิตภัณฑ์ที่สาม คือ สินเชื่อรีไฟแนนซ์หนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคล เพื่อไถ่ถอนหนี้บัตรเครดิตหรือหนี้ส่วนบุคคลจากสถาบันการเงินอื่น วงเงินไม่เกิน 100% ของภาระหนี้คงเหลือรวมทั้งหมดในกรณีที่ลูกค้ารีไฟแนนซ์มากกว่า 1 วงเงิน แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้า ซึ่งหากมีบุคคลค้ำประกันสามารถเลือกปลอดชำระเงินต้นได้สูงสุด 6 เดือน และมีระยะเวลาชำระสูงสุด 6 ปี อัตรากำไร SPRR+7.75%
“การออกโครงการสินเชื่อซับน้ำตา เชื่อว่าจะสามารถช่วยบรรเทาความเดือดร้อน และแบ่งเบาภาระหนี้ให้กับผู้บริโภคได้ ในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว อีกทั้งธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นสถาบันการเงินรัฐวิสาหกิจก็อยากจะเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลในการแบ่งเบาภาระหนี้ภาคประชาชนและกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวม โดยโครงการนี้จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม ถึง 31 สิงหาคม 2552” นายธีรศักดิ์ กล่าว