กรุงเทพฯ--5 มี.ค.--
เกี่ยวกับงานสร้าง
นานหลายปีแล้ว ที่มีคำเล่าลือเกี่ยวกับสถานที่ลึกลับใจกลางทะเลทรายเนวาดา ที่ซึ่งปรากฏการณ์ที่ไม่อาจอธิบายได้และภาพแปลกประหลาดเกิดขึ้นบ่อยครั้ง สถานที่แห่งนั้นถูกเรียกว่าหุบเขามรณะ และเมื่อแจ็ค บรูโน (ดเวย์น จอห์นสัน) คนขับแท็กซี่ในลาสเวกัส ได้รับผู้โดยสารสองวัยรุ่นที่มีพลังพิเศษเหนือธรรมชาติขึ้นรถ เขาก็ต้องเอาตัวเองเข้าไปพัวพันกับการผจญภัยที่ตัวเขาเองยังอธิบายไม่ได้ด้วยซ้ำไป หลังจากที่ได้ร่วมมือกันแล้ว แจ็คและผู้โดยสารวัยรุ่นของเขาก็ได้ค้นพบว่าโอกาสเดียวที่จะกอบกู้โลกใบนี้ให้ได้อยู่ที่การไขปริศนาลึกลับของหุบเขามรณา และแล้วการแข่งขันกับเวลาก็เริ่มต้นขึ้น
“Race to Witch Mountain” โดยวอลท์ ดิสนีย์ พิคเจอร์ส เป็นการกลับมาร่วมงานกันอีกครั้งของผู้กำกับแอนดี้ ฟิคแมน (“The Game Plan,” “She’s the Man”) และดเวย์น จอห์นสัน (“Get Smart,” “The Game Plan”) ผู้อำนวยการสร้างคือแอนดรูว์ กันน์ (“Bedtime Stories,” “Freaky Friday”) และผู้รับหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างบริหารคือมาริโอ้ อิสโควิช (“The Princess Diaries 2: Royal Engagement”) และแอน มารี แซนเดอร์ลิน (“Freaky Friday”) บทภาพยนตร์โดยแมตต์ โลเปซ (“Bedtime Stories”) และมาร์ค บอมแบ็ค (“Live Free or Die Hard”) จากเรื่องราวโดยแมตต์ โลเปซ จากหนังสือเรื่อง “Escape to Witch Mountain” โดยอเล็กซานเดอร์ คีย์ ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นการหยิบยกเรื่องราวจากหนังสือคีย์ ซึ่งเคยถูกสร้างเป็นภาพยนตร์คลาสสิกของดิสนีย์ในปี 1975 “Escape to Witch Mountain” และที่ตัวละครของมันก็ได้เป็นแรงบันดาลใจให้เกิดซีเควลปี 1978 เรื่อง “Return from Witch Mountain”มาปัดฝุ่นให้ทันสมัยขึ้น
ผู้ที่ร่วมงานกับจอห์นสันคือทีมนักแสดงดาวรุ่งที่น่าประทับใจและนักแสดงระดับแถวหน้าของวงการหลายคน ซึ่งได้แก่ แอนนาโซเฟีย ร็อบบ์ (“Bridge to Terabithia,” “Charlie and the Chocolate Factory”), คาร์ลา กูจิโน (“Night at the Museum,” “Watchmen”), เคียราน ฮินด์ (“There Will Be Blood,” “Munich”), อเล็กซานเดอร์ ลุดวิก (“The Seeker: The Dark Is Rising”), ทอม เอฟเวอร์เร็ตต์ สก็อต (“That Thing You Do!,” “ER”), คริสโตเฟอร์ มาร์เคว็ตต์ (“Just Friends”), ชีค มาริน (“Beverly Hills Chihuahua,” “Cars”), แกร์รี มาร์แชล (“The Simpsons,” “Chicken Little”) และบิลลี บราวน์ (“Cloverfield,” “Lakeview Terrace”) ร่วมด้วยคิม ริชาร์ดส์และเอค ไอส์ซินแมนน์ ผู้รับบทเทียและโทนี เด็กต่างดาวในภาพยนตร์ “Witch Mountain” ต้นฉบับ
ทีมงานเบื้องหลังได้แก่ผู้กำกับภาพเกร็ก การ์ดิเนอร์ (“The Game Plan”), ผู้ออกแบบงานสร้างเดวิด เจ. บอมบา (“Walk the Line”) และมือลำดับภาพเดวิด เร็นนี (“National Treasure: Book of Secrets”)
การหวนคืนสู่ “WITCH MOUNTAIN”
สำหรับคอหนังจำนวนมากในยุค 70s “Escape to Witch Mountain” และซีเควล “Return from Witch Mountain” เป็นภาพยนตร์ไซไฟผจญภัยยอดนิยม ที่กลายเป็นสิ่งที่ชวนให้รำลึกถึงวัยเยาว์ในช่วงที่ผู้ชมได้ก้าวพ้นวัยเด็กเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ สองตัวละครหลักในภาพยนตร์ทั้งสองเรื่อง เด็กๆ ต่างดาว โทนีและเทีย กลายเป็นเหมือนกับไอคอน การผจญภัยของทั้งคู่เป็นที่ชื่นชอบของผู้ชมจำนวนมากที่แนะนำภาพยนตร์เรื่องนี้ให้ลูกๆ ของพวกเขาด้วยการดูโทรทัศน์ วิดีโอเทปหรือดีวีดี
ความนิยมที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับทำให้ผู้อำนวยการสร้างแอนดรูว์ กันน์ ผู้ก่อตั้งกันน์ ฟิล์มส์ ได้พยายามที่จะสร้างเรื่องราวของ “Witch Mountain” เวอร์ชันใหม่ขึ้นเมื่อเขาได้ทำข้อตกลงที่จะบริหารบริษัทของเขาภายใต้วอลท์ ดิสนีย์ สตูดิโอ โมชัน พิคเจอร์ส เขาเคยประสบความสำเร็จมาแล้วกับรีเมกภาพยนตร์ดิสนีย์เรื่อง “Freaky Friday” ในปี 2003 และเขาก็ต้องการโอกาสในการสร้างสิ่งแปลกใหม่ให้กับ “Witch Mountain” แต่เวอร์ชันใหม่เอี่ยมอ่องนี้จะต้องเป็นเรื่องราวที่แอ็กชันมากขึ้น ซึ่งพร้อมไปด้วยซีเควนซ์อลังการและสเปเชียล เอฟเฟ็กต์ขั้นเทพ
“มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอกครับที่เราลงเอยกันด้วยชื่อ ‘Race to Witch Mountain’” กันน์บอก “เพราะพอหนังเรื่องนี้เริ่มต้นขึ้นแล้ว มันก็แล่นเร็วเหมือนจรวด เราอยากให้มันเป็นการผจญภัยที่พอคุณได้เข้าร่วมแล้ว คุณจะไม่ลงจากมันจนกว่าจะถึงตอนจบน่ะครับ”
ผู้กำกับแอนดี้ ฟิคแมน ผู้เพิ่งเสร็จจากงานสร้างคอเมดีฮิตเรื่อง “The Game Plan” ให้กับวอลท์ ดิสนีย์ พิคเจอร์ส ได้ยินเรื่องที่กันน์กำลังคิดที่จะปลุกชีพแฟรนไชส์ “Witch Mountain” ขึ้นมาใหม่
“ผมชอบ ‘Escape to Witch Mountain’ มันเป็นหนังเรื่องโปรดเรื่องหนึ่งของผมสมัยเด็กๆ ครับ” ฟิคแมนเล่า “ไม่มีอะไรที่ทำให้ผมตื่นเต้นได้มากเท่ากับตัวหนังและการอ่านหนังสือที่เป็นที่มาของเรื่องอีกแล้ว ดังนั้น พอผมมีโอกาสหลังจาก ‘The Game Plan’ ที่จะสานต่อความสัมพันธ์ของผมกับดิสนีย์ ผมก็บอกพวกเขาว่าผมอยากจะสร้าง ‘Race to Witch Mountain’ ให้ติดตรึงใจผู้ชมสมัยใหม่เหมือนกับที่ผมเคยรู้สึกมาแล้วในปี 1975”
สำหรับฟิคแมน ความหลงใหลในสิ่งที่ไม่อาจอธิบายได้เริ่มต้นเกือบจะตั้งแต่แรกเกิด ด้วยความที่เขาเกิดในรอสเวลล์, นิวเม็กซิโก เมืองเล็กๆ ที่โด่งดังจากเรื่องเล่าลือเกี่ยวกับยูเอฟโอที่ตกลงบนผืนโลก ที่รัฐบาลและกองทัพปิดข่าวเอาไว้ และใน “Race to Witch Mountain” และความชื่นชอบเรื่องลี้ลับ (รวมถึงธีมแบบชาวรอสเวลล์ของการปะทะกันของสองโลก) ก็เป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งต่อพล็อตของเรื่องราวอ็อกเทนสูที่สนุกสนานนี้
และองค์ประกอบของความธรรมดาที่ได้พบเจอกับสิ่งที่ผิดธรรมดานั้นเองที่มีเสน่ห์สำหรับเขา “‘Race to Witch Mountain’ เป็นเรื่องราวแอ็กชันผจญภัยที่ยอดเยี่ยมครับ” ฟิคแมนกล่าว “มันเป็นการเดินทางมหัศจรรย์ที่ฮีโรจำเป็นได้กอบกู้โลก ซึ่งไม่ใช่แค่โลกเดียว แต่เป็นสองโลกครับ”
ซีนที่ออกแบบมาเพื่อ ดเวย์น จอห์นสัน โดยเฉพาะ
หลังจากที่ได้เซ็นสัญญารับงานนี้แล้ว ฟิคแมนก็ได้ออกแบบงานสตันท์และซีเควนซ์แอ็กชันที่อาจจะดึงดูดความสนใจของดเวย์น จอห์นสัน ดารานำจาก “The Game Plan” ให้มาร่วมโปรเจ็กต์นี้ได้
“ผมคิดว่าการได้ดเวย์น จอห์นสันมาร่วมงานในหนังเรื่องนี้คงจะเป็นเหมือนฝันที่เป็นจริง” ฟิคแมนกล่าว “เขาเผยให้เห็นทั้งความอบอุ่นและเสน่ห์ใน ‘The Game Plan’ และผมก็อยากจะผสมผสานสิ่งเหล่านั้นเข้ากับแอ็กชันที่มากยิ่งกว่าที่เขาเคยผ่านมาในหนังเรื่องหนึ่งๆ ผมอยากให้เขาได้เห็นว่าหนังเรื่องใหม่นี้จะมีสตันท์ยิ่งใหญ่ขึ้น ความลุ้นระทึกน่าหวาดเสียวมากขึ้น ตัวละครที่ยอดเยี่ยมกว่าเดิม และการผจญภัยที่มากกว่าเดิม ผมอยากให้เขารู้ว่าเรากำลังปีนขึ้นภูเขาลูกที่สูงขึ้นเยอะครับ”
กลับกลายเป็นว่าเขาไม่ต้องชักแม่น้ำทั้งห้ามาชักจูงใจจอห์นสัน ผู้เป็นแฟนภาพยนตร์ฉบับออริจินอลในยุค 70s เลย
“ผมได้รับโทรศัพท์จากแอนดี้ เขาเชิญผมไปรับประทานอาหารกลางวันด้วยเพื่อคุยถึงโปรเจ็กต์ที่เราจะร่วมงานกันอีก” จอห์นสันกล่าว “เรานั่งลงแล้วเขาก็ถามผมว่าผมรู้จักหนังเรื่อง ‘Witch Mountain’ รึเปล่า ไม่เพียงแต่ผมจะรู้จักมันเท่านั้น ผมบอกเขาว่าผมชอบหนังพวกนี้มากๆ ตอนผมเป็นเด็กด้วย จริงๆ แล้ว ผมเพิ่งดู ‘Escape to Witch Mountain’ กับลูกสาวผมไปเอง! พอแอนดี้เล่าเรื่องราวเยี่ยมๆ ที่ทำให้หนังเรื่องนี้เป็นการผจญภัยร่วมสมัยที่น่าตื่นเต้น ผมก็ติดใจแล้ว ผมถามว่า ‘โค้ช ให้ผมเซ็นชื่อตรงไหนดีล่ะ’ น่ะครับ”
ตัวละคร แจ็ค บรูโน คนขับแท็กซี่ อดีตนักโทษที่กลับตัวกลับใจ ไม่ได้มีอยู่ในภาพยนตร์ฉบับก่อนหน้านี้ “แจ็คเป็นคนขับรถในลาสเวกัส ที่เคยทำตัวเลวร้ายมาก่อน” กันน์อธิบาย “เขานั่งอยู่หน้าพวงมาลัย ขับรถไปตามเวกัส สตริป พยายามจะทำตัวให้ไม่มีปัญหา แล้วทุกอย่างในชีวิตเขาก็เปลี่ยนแปลงไปเมื่อเด็กสองคนกระโดดขึ้นรถแท็กซี่ของเขา แล้วพอเขารู้ตัวอีกที เขาก็ถูกตามไล่ล่าโดยกลุ่มคนในรถเอสยูวีและนักล่าต่างดาวจากอีกโลกหนึ่ง สิ่งที่เขาไม่รู้เลยก็คือเด็กๆ พวกนี้เป็นอะไรที่พิเศษสุดจริงๆ และจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาไปตลอดกาลด้วยครับ”
สิ่งที่ทำให้จอห์นสันสนใจแจ็คก็คือโอกาสในการได้ไถ่บาปของตัวละครตัวนี้ในเมืองที่ขึ้นชื่อในเรื่องการเปลี่ยนแปลงโชคชะตาในชั่วพริบตา
“แจ็ค บรูโนเป็นคนที่พยายามจะใช้ชีวิตที่ถูกที่ควรมาได้ซักพักแล้ว” จอห์นสันกล่าว “ความสัมพันธ์เป็นส่วนตัวหนึ่งเดียวสำหรับเขาคือการรับผู้โดยสารจากจุดเอ ไปส่งที่จุดบี ในเวกัส แต่พอเด็กๆ ที่มีพลังพิเศษพวกนี้ก้าวขึ้นรถเขา เขาก็มีโอกาสที่จะได้ทำสิ่งที่มันพิเศษสุดจริงๆ และมันก็คือโอกาสในการได้กอบกู้โลกครับ!”
“ผมชื่นชอบดิสนีย์จริงๆ ครับ” จอห์นสันกล่าวต่อ “และผมก็ตื่นเต้นกับความบันเทิงเข้มข้นในหนังเรื่องนี้ ช่วงเวลา 10-15 นาทีแรกของหนังเป็นเหมือนโรลเลอร์คอสเตอร์ที่น่าทึ่งแล้วพอคุณได้ขึ้นไปบนนั้น มันก็ไม่หยุดเลย…แต่แอ็กชันก็ผสมผสานกับคุณสมบัติทั้งหลายทั้งปวงที่สร้างเป็นแบรนด์ของดิสนีย์ นั่นคือความอบอุ่นหัวใจ ครอบครัว และอารมณ์ขัน บวกด้วยเวทมนตร์เล็กๆ ครับ”
พี่น้องต่างดาว
เด็กๆ ต่างดาวสองคนที่เป็นตัวเอกของเรื่องราวนี้มีเป้าหมายชัดเจน และพวกเขาก็มีเวลาเพียงน้อยนิดที่จะทำภารกิจให้สำเร็จ พวกเขาจะต้องหาเครื่องมือที่พ่อแม่ของพวกเขาทิ้งไว้บนโลก ที่เก็บงำความลับที่ไม่เพียงแต่จะช่วยโลกของพวกเขาไว้ได้ แต่มันยังจะสามารถช่วยโลกของพวกเราได้ด้วย ให้พบ
“เซธและซาราเป็นผู้มาเยือนจากต่างดาว ผู้มีภารกิจพิเศษ” ฟิคแมนกล่าว “พวกเขาแบกรับน้ำหนักของทั้งสองโลกไว้บนบ่า” เซธและซารามีพลังพิเศษที่ทรงพลังมากๆ หลายอย่าง
“ซารามีพลังเทเลพาธีและเทเลคิเนซิสครับ” กันน์กล่าว “เธอสามารถอ่านใจคุณหรือใช้พลังจิตเคลื่อนย้ายสิ่งของได้ ส่วนเซธ น้องชายเธอ ก็สามารถเปลี่ยนแปลงมวลสารในร่างกายเขาได้ เขาสามารถทำตัวเหมือนวิญญาณและเดินผ่านกำแพงหรือทำให้ร่างกายแข็งเหมือนโลหะ เพื่อที่สิ่งต่างๆ จะวิ่งชนเขาได้โดยที่เขาไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ พวกเขาไม่รู้สึกกลัวหรืออ่อนแอ แต่พวกเขามุ่งมั่น แข็งแกร่งและมีความสามารถ มันเป็นความเสี่ยงที่สูงลิบลิ่วสำหรับพวกเขา พวกเขาก็เลยต้องใช้เวลาซักพักในการตัดสินใจว่าพวกเขาจะไว้วางใจมนุษย์อย่างแจ็ค ให้มีส่วนร่วมในภารกิจของพวกเขาได้รึเปล่า”
นักแสดงวัยรุ่นมากความสามารถสองคนที่มารับบทนี้ไม่เพียงแต่จะต้องแบกรับภาพยนตร์ทั้งเรื่องแต่พวกเขายังต้องสร้างตัวละครใหม่ๆ ที่แม้จะไม่เหมือนเดิม แต่ก็ยังต้องมีอะไรบางอย่างที่ทำให้นึกถึงโทนีและเทีย ตัวละครเวอร์ชันเก่าของพวกเขา ฟิคแมนพบซาราของเขาเกือบจะทันทีในตัวของแอนนาโซเฟีย ร็อบบ์ ผู้เพิ่งร่วมแสดงในแฟนตาซีน่าจดจำโดยวอลท์ ดิสนีย์ พิคเจอร์สเรื่อง “Bridge to Terabithia” และภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ เช่น “Charlie and the Chocolate Factory” และ “The Reaping”
“ผมคิดว่าแอนนาโซเฟีย ที่ทำให้หัวใจผู้ชมสลายใน ‘Bridge to Terabithia’ น่าจะรับบทเป็นซาราที่น่าทึ่งได้” ฟิคแมนเล่า “เธอเป็นนักแสดงคนแรกที่เราเลือกหลังจากเราได้ตัวดเวย์นมาแล้ว”
ร็อบบ์ วัย 15 ปีจากโคโลราโด อยากจะรับบทซารา ตั้งแต่ที่เธอได้เดินเข้าไปในออฟฟิศของฟิคแมนเพื่อคุยเรื่องบทนี้แล้ว
“แอนดี้เพิ่งจะเสร็จงานจาก ‘The Game Plan’ และออฟฟิศเขาก็เต็มไปด้วยภาพดเวย์และเมดิสัน เพ็ททิสจากหนังเรื่องนั้น” ร็อบบ์เล่า “ตอนนั้น เขายังไม่มีสคริปต์ที่เสร็จสมบูรณ์แล้วมาให้ฉันดู และตอนนั้นฉันก็ตื่นเต้นที่ได้รับการพิจารณาด้วย แล้วพอเราคุยกันไปเรื่อยๆ สคริปต์ก็เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา พอถึงตอนที่เราเริ่มคัดเลือกนักแสดง ฉันได้เดินกลับเข้าไปในออฟฟิศเขา แล้วก็ได้เห็นภาพดเวย์น มนุษย์ต่างดาวและยูเอฟโอของเล่น…และตัวฉัน! ฉันรู้เลยว่าฉันจะได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับหนังเรื่องนี้แน่ๆ ฉันรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่เขาคิดถึงฉันเป็นคนแรกค่ะ”
การหานักแสดงที่จะมารับบทเป็นเซธ เด็กหนุ่มผู้ลึกลับ เป็นความท้าทายมากกว่า นักแสดงรุ่นเยาว์หลายสิบคนได้เข้าทดสอบสำหรับบทนี้ แต่ไม่มีใครที่โดดเด่นขึ้นมา และแล้วฟิคแมนก็จำได้ถึงนักแสดงแคเนเดี้ยนวัย 15 ปีที่ชื่ออเล็กซานเดอร์ ลุดวิกขึ้นมาได้
ลุดวิก ผู้มาจากเวสต์ แวนคูเวอร์, บริติช โคลัมเบีย กล่าวว่า “รู้สึกว่าแอนดี้จะเพิ่งปล่อย ‘The Game Plan’ ลงโรง แล้วเขาก็อยากจะดูคู่แข่งในช่วงสุดสัปดาห์ที่เขาเปิดตัว เขาก็เลยไปดูหนังเรื่อง ‘The Seeker: The Dark Is Rising’ ของผม ที่ผมเพิ่งถ่ายทำในยุโรปตะวันออกและเป็นการแสดงหนังครั้งแรกของผมด้วย พอถึงเวลาที่ต้องคัดเลือกนักแสดงสำหรับ ‘Race to Witch Mountain’ เขาก็จำผมได้ และจัดการให้ผมมาออดิชัน ผมชอบการได้ทำงานกับเขาในทันทีเลย ผมได้พบกับดเวย์นและแอนนาโซเฟียทีหลังสำหรับออดิชันครั้งสุดท้าย แล้วเราก็รู้สึกผูกพันกันจริงๆ ครับ ไม่เพียงแต่เราจะมีปฏิกิริยาเคมีที่เข้ากัน แต่เรายังสนุกกันมากอีกด้วย”
แง่มุมที่ลุดวิกชื่นชอบเกี่ยวกับเซธมากที่สุดคือความไม่ไว้วางใจในตัวมนุษย์ที่เขาและพี่สาวเขาเจอในตอนแรก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แจ็ค บรูโน
“เซธ ตัวละครของผม และซารา พี่สาวของเขามาจากอีกโลกหนึ่งครับ” ลุดวิกบอก “เรามาที่โลกเพื่อช่วยเหลือไม่ให้โลกทั้งสองถูกทำลาย เรากำลังรีบเร่งที่จะกลับไปโลกของเราให้ทันเวลาที่จะช่วยกอบกู้มัน ตัวละครของผมเป็นคนที่ซีเรียส และไม่ค่อยจะไว้วางใจใครใคร เขาเป็นตัวละครที่มีความเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจ และเริ่มกลายเป็นคนที่รักใคร่ ห่วงใยคนอื่นมากขึ้นเมื่อเรื่องราวดำเนินไป แต่ส่วนใหญ่แล้ว เขาคัดค้านการร่วมงานกับแจ็ค บรูโน ตัวละครของดเวย์น และมันก็มีความตึงเครียดระหว่างพวกเราทั้งคู่ครับ”
ร็อบบ์บอกว่า “ตัวละครของฉันมีความสามารถมหัศจรรย์ในการอ่านใจคนได้ ฉันใช้ได้ทั้งเทเลพาธีและเทเลคิเนซิส ฉันสามารถเคลื่อนย้ายสิ่งของได้ด้วยพลังจิต ฉันก็เลยสนุกมากกับการได้รับบทเป็นเด็กสาวที่มีความสามารถน่าทึ่งแบบนี้ แล้วฉันก็มักจะพูดในสิ่งที่คนอื่นคิดออกมาก่อนที่พวกเขาจะทันเอ่ยปากด้วยซ้ำ บทนี้ก็เลยมีอะไรตลกมากๆ เลยค่ะ น้องชายฉัน ที่รับบทโดยอเล็กซ์ กับฉันเป็นทีมเดียวกัน ถ้าพวกเราไม่ร่วมมือกัน พวกเราก็จะไม่สามารถปฏิบัติภารกิจนี้ให้ลุล่วงไปได้ ฉันแคร์มนุษย์และฉันก็เรียนรู้ที่จะรักคนใหม่ๆ ซึ่งก็คือแจ็ค บรูโน และไว้วางใจเขาจริงๆ การรักมนุษย์เป็นประสบการณ์ใหม่สำหรับฉันค่ะ”
ไม่ใช่นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ธรรมดาๆ
เมื่อได้นักแสดงมารับบทสำคัญอย่างเซธและซาราแล้ว ฟิคแมนและกันน์ก็ให้ความสำคัญกับการคัดเลือกนักแสดงสำหรับบทอื่นๆ ในภาพยนตร์เรื่องนี้ ในตอนแรก พวกเขาพุ่งความสำคัญไปที่คนที่จะมารับบทนักฟิสิกส์ดาราศาสตร์คนสวย ดร. อเล็กซ์ ฟรีดแมน ผู้นำเสนองานที่งานประชุมยูเอฟโอ ที่ซึ่งเธอได้พบกับแจ็ค บรูโน
“เราโชคดีที่ได้คาร์ลา กูจิโนเดินเข้าประตูเรามา” กันน์บอก “เธอเหมือนกับตัวละครของเธอมากๆ เธอทั้งฉลาด สวยและตลก ตัวละครของเธอต้องมีความแข็งแกร่ง และเธอก็เพอร์เฟ็กต์เลย เราบอกได้ตั้งแต่ซีนแรกๆ ที่เราถ่ายทำคาร์ลากับดเวย์นแล้วว่า คนสองคนนี้จะมีความผูกพันเกิดขึ้นจริงๆ ครับ”
ฟิคแมนเล่าว่า ตัวละครตัวนี้ถูกสร้างขึ้นในบทเพื่อสะท้อนถึงผู้ศรัทธาในความเชื่อทางวิทยาศาสตร์ตัวจริงภายในแวดวงยูเอฟโอที่ทวีจำนวนมากขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ตัวละคร ดร. อเล็กซ์ ฟรีดแมนเป็นการรวมเอาคุณสมบัติของผู้เชี่ยวชาญด้านยูเอฟโอตัวจริงภายในแวดวงยูเอฟโอในปัจจุบันหลายๆ คนครับ” ฟิคแมนกล่าว “ในการทำรีเสิร์ชทั้งหมดของเรา เราอยากจะผสมผสานวิทยาศาสตร์และความรู้ที่คนเหล่านี้ได้สั่งสมในสายงานของพวกเขาลงไปในตัวละครตัวนี้ เธอแตกต่างกันอย่างดีกับแจ็ค บรูโน ที่แข็งกร้าว และเธอก็ทำหน้าที่เหมือนแม่ที่คอยนำทางเซธและซาราด้วยครับ”
สำหรับกูจิโน การพบกับฟิคแมนครั้งแรกก็ทำให้เธอสนใจที่จะได้เป็นส่วนหนึ่งของ “Witch Mountain” เวอร์ชันใหม่นี้แล้ว
“ฉันเป็นแฟนของต้นฉบับอยู่แล้ว” กูจิโนบอก “แต่พอฉันได้พบแอนดี้ ฉันก็รู้ว่าเขาเป็นคนที่น่าร่วมงานด้วยและมีความคิดสร้างสรรค์เหลือเกิน เขาเข้าใจวัฒนธรรมยูเอฟโอและเรื่องเหนือธรรมชาติอย่างดี ซึ่งทำให้ฉันมีพื้นฐานที่แข็งแรงในการสร้างตัวละครของฉันขึ้นมา ฉันยังคิดด้วยว่ามันจะมีคอเมดีเยี่ยมๆ ในการจับเอานักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ที่ถูกดิสเครดิตกับคนขับแท็กซี่อดีตนักโทษให้มาอยู่ด้วยกัน เพื่อสำรวจมุมมองที่แตกต่างกันที่ทั้งคู่มีต่อโลกน่ะค่ะ”
ในการรับบทนักวิทยาศาสตร์ผู้ปราดเปรื่อง นักแสดงหญิงก็เริ่มสงสัยว่าเธอจะถูกเสนอแต่บทบาทแบบนี้รึเปล่า “ตอนนี้ ฉันเคยรับบทนักฟิสิกส์ดาราศาสตร์มาแล้ว ศัลยแพทย์ประสาทก็แล้ว นักวิทยาศาสตร์จรวดและนักวิเคราะห์ความไม่แน่นอนก็แล้ว” กูจิโนกล่าว “แต่สิ่งที่ฉันชอบในการได้รับบทอเล็กซ์คือเธอเป็นคนน่าขันค่ะ ฉันชอบที่ว่าตอนที่เราได้พบเธอ เธอได้เปลี่ยนจากที่เล็คเชอร์ที่ฮาร์วาร์ดและสแตนฟอร์ดไปพูดที่งานชุมนุมเรื่องยูเอฟโอที่ลาสเวกัส แต่เป็นเพราะเธอเชื่อในข้อมูลและสิ่งที่เธอพบจริงๆ เธอเชื่อว่ามีสิ่งมีชีวิตอยู่ในดาวดวงอื่นจริงๆ แม้ว่ามันจะทำให้เธอกลายเป็นแกะดำของวงการก็ตาม”
สำหรับบทดร. โดนัลด์ ฮาร์แลน ผู้เชี่ยวชาญยูเอฟโอหัวเก่า ทีมผู้สร้างมีนักแสดงเพียงคนเดียวในใจ เขาคือแกร์รี มาร์แชล
“พอแกร์รีรับบทดร.ฮาร์แลน เขาก็ตรงข้ามกับอเล็กซ์เลยครับ” กันน์กล่าว “ในขณะที่อเล็กซ์เชื่อเกี่ยวกับข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ ดร.ฮาร์แลนหลงใหลไซไฟ แต่เขาก็มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการนำตัวเอกของเราเข้าไปยังสถาบันลับของรัฐบาลในหุบเขามรณะ นอกจากนั้นแล้ว แกร์รียังเป็นคนที่ตลกที่สุดเท่าที่ผมเคยพบ เขาทำให้ดร. ฮาร์แลน เป็นตัวละครที่แปลกพิลึก ตลกขบขันและวิเศษสุดอย่างแท้จริงครับ”
ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้ เขาจะเป็นที่รู้จักจากผลงานการเขียนบทและกำกับละครโทรทัศน์ (“Happy Days,” “Mork and Mindy”) และภาพยนตร์ (“Pretty Woman,” “The Princess Diaries”) มาร์แชลก็เป็นนักแสดงที่ประสบความสำเร็จด้วยเช่นกัน ใน “Race to Witch Mountain” เขาเป็นเจ้าของสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับแฟนๆ ของ “Escape to Witch Mountain” ฉบับออริจินอล นั่นคือรถบ้านวินน์บาโก้ ที่เป็นของเจสัน โอ’ เดย์ ตัวละครของเอ็ดดี้ อัลเบิร์ตในภาคแรก
“ผมคิดว่าคุณสามารถพูดได้ว่าตัวละครของผมมีอะไรบางอย่างที่เหมือนกับตัวละครของเอ็ดดี้ อัลเบิร์ตในภาคแรก นั่นคือเราใช้ชีวิตอยู่ในวินน์บาโก้คันเดียวกัน” มาร์แชลบอก “เพียงแต่ผมมีสำเนียงบรองซ์ ซึ่งแตกต่างมากๆ จากเอ็ดดี้ ผมยังชอบที่ว่าตัวละครของผมเป็นคนที่พิลึกมากๆ เหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผมรับทนี้คือลูกๆ ของผมเองก็ชื่นชอบหนังต้นฉบับ และตอนนี้ หลานๆ ของผมก็จะสนุกไปกับภาคใหม่นี้ครับ”
การสร้างศัตรูคู่ปรับที่แข็งแกร่ง
สำหรับทีมผู้สร้างแล้ว มันเป็นเรื่องสำคัญที่พวกเขาจะต้องสร้างศัตรูคู่ปรับที่แข็งแกร่งเพื่อมาต่อกรกับเสน่ห์ของตัวเอกของเรื่อง ในต้นฉบับ นักแสดงชื่อดังอย่างเรย์ มิลแลนด์, โดนัลด์ พลีเซนส์, คริสโตเฟอร์ ลีและเบ็ตต์ เดวิสรับบทเหล่านี้ ใน “Race to Witch Mountain” ก็คือเคียราน ฮินด์ นักแสดงยอดนิยมชาวไอริช ที่รับบท เฮนรี บูร์เก้ ผู้สืบสวนเกี่ยวกับยูเอฟโอของรัฐบาล ผู้จริงจัง
ฮินด์ ที่ประสบความสำเร็จทั้งในภาพยนตร์ (“There Will Be Blood”) ในโทรทัศน์ (ด้วยการรับบทจูเลียส ซีซาร์ในซีรีส์เอชบีโอเรื่อง “Rome”) และในละครเวที (ในละครบรอดเวย์ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงโทนี สาขาละครดรามายอดเยี่ยมเรื่อง “The Seafarer”) ตั้งตารอที่จะได้รับบท บูร์เก้ ตัวละครที่ร้ายกาจแต่จริงใจ ชายผู้ซึ่งชีวิตของเขาทุ่มเทไปกับการตามจับสิ่งมีชีวิตจากอีกโลกหนึ่ง
“เขาเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรที่ลึกลับมากๆ พวกเขาเป็นกลุ่มคนที่มีหน้าที่ต่อต้านการรุกรานจากนอกโลกทุกชนิด” ฮินด์กล่าว “พวกเขาไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่นอกโลกบ้าง แต่พวกเขาก็คอยเฝ้าระวังเผื่อว่าจะมีอะไรบางอย่างเข้ามา เขาเป็นหัวหน้ากลุ่มมานานแล้ว และในที่สุด เขาก็มีโอกาสได้จับสิ่งมีชีวิตพวกนี้และได้ค้นพบความจริงว่าพวกเขาเป็นภัยคุกคามหรือไม่เสียที”
ความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ของบูร์เก้ก็คือการที่เขาค้นพบยานอวกาศของเซธและซารา และซ่อนมันไว้ในถ้ำภายในหุบเขามรณะ
“ความสนใจแรกของเขาคือสิ่งที่เขาสามารถเรียนรู้ได้จากยานอวกาศและพวกเด็กๆ และใช้ความรู้พวกนั้นให้เกิดประโยชน์กับรัฐบาลของเรา” กันน์อธิบาย “ที่สุดแล้ว เด็กๆ พวกนี้ก็เป็นการทดลองสำหรับเขาและทีมงานของเขาครับ”
ผู้ที่อยู่ในทีมเดียวกับบูร์เก้คือแมธีสัน ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ (รับบทโดยทอม เอฟเวอร์เร็ตต์ สก็อต), โป๊ป ผู้เชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์ (รับบทโดยคริสโตเฟอร์ มาร์เคว็ตต์) และ คาร์สัน ผู้เชี่ยวชาญด้านการต่อสู้ (รับบทโดยบิลลี บราวน์)
การสร้างความผูกพันกับแฟนๆ ‘WITCH MOUNTAIN’ ต้นฉบับ
สำหรับแฟนๆ ของ “Witch Mountain” ภาคเก่า ฟิคแมนรู้สึกว่าจะต้องมีการสร้างบทบาทเล็กๆ ที่จะทำให้พวกเขารู้สึกผูกพันกับการผจญภัยครั้งใหม่ใน “Race to Witch Mountain”
บทช่างเครื่อง ที่รับบทโดยนักแสดงตลกชื่อดัง ชีค มาริน ถูกตั้งชื่อว่าเอ็ดดี้ เพื่อเป็นการแสดงความคารวะต่อเอ็ดดี้ อัลเบิร์ต ดารานำของ “Escape to Witch Mountain” นักแสดงสำคัญสองคนที่มีบทบาทในภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือนักแสดงที่เคยรับบทโทนี และเทีย เด็กชาวต่างดาวในต้นฉบับมาแล้ว เขาก็คือเอค ไอส์ซินแมนน์ และคิม ริชาร์ดส์
“คำถามแรกที่ผมมักจะถูกถามอยู่เสมอก็คือ ‘คิมกับเอคจะกลับมารึเปล่า’” ฟิคแมนเล่า “มันก็เลยไม่ได้เป็นหนังสำหรับผมจริงๆ จนกระทั่งผมมีโอกาสได้คุยกับพวกเขาทั้งคู่ทางโทรศัพท์ ได้พบกับเขา แล้วดึงให้พวกเขามาเป็นส่วนหนึ่งของโลกใหม่ใบนี้ เพราะพวกเขาก็เคยร่วมแสดงในหนังที่ผมโปรดปรานที่สุดสองเรื่อง ผมอยากจะเป็นเหมือนโทนีและเทียมาตลอดครับ”
ผู้กำกับได้สร้างบทสำคัญสองบทขึ้นมาให้กับทั้งคู่ ริชาร์ดส์จะรับบททีนา สาวเสิร์ฟใจอ่อนแห่งเรย์ส ทาเวิร์นในเมืองสโตนี ครี้ก ส่วนไอส์ซินแมนน์ก็จะรับบทนายอำเภอแอนโทนี ผู้รักษากฎหมายของเมือง สโตนี ครี้กเป็นเมืองเดียวกับที่เทียและโทนีพยายามจะไปให้ถึงใน “Escape to Witch Mountain” ภาพยนตร์เมื่อปี 1975 การได้กลับไปถ่ายทำที่วอลท์ ดิสนีย์ สตูดิโอส์ ที่ซึ่งเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ต้นฉบับด้วย เป็นการผจญภัยที่น่าตื่นเต้นสำหรับนักแสดงทั้งคู่
“ทั้งหมดนี้เป็นฝันที่เป็นจริงที่วิเศษสุดสำหรับฉันค่ะ” ริชาร์ดส์ ผู้เมื่อเร็วๆ นี้ เพิ่งร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่อง “Black Snake Moan” บอก “ในตอนที่ฉันเลิกทำงานในแต่ละวัน ฉันรู้สึกเยี่ยมมากๆ ฉันได้เล่าให้ครอบครัวฉันฟังว่าฉันมีวันที่แสนวิเศษอีกวันหนึ่งในหุบเขามรณะค่ะ!”
สำหรับไอส์ซินแมนน์ ความรู้สึกในการได้กลับมาสู่สตูดิโอดิสนีย์อีกครั้งเป็นอะไรที่เกินคำบรรยาย นักแสดง ผู้ตอนนี้กลายเป็นนักพากย์เสียงที่ประสบความสำเร็จและเป็นผู้ก่อตั้งไมท์ตี้ โมโจ สตูดิโอส์ บริษัทผลิตดิจิตอล อนิเมชันขึ้นในฟลอริดา กล่าวว่า “ผมจะมองไปรอบๆ แล้วเห็นที่ที่เทรลเลอร์เก่าของผมเคยตั้งอยู่ ที่ที่ผมและคิมได้เข้าเรียน และที่ที่ผมกับคิมได้เล่นกันระหว่างเทค เราถ่ายทำฉากภายในและฉากวิชวล เอฟเฟ็กต์แทบทั้งหมดใน ‘Escape to Witch Mountain’ ในตึกเดียวกับที่เราทำงานอยู่ในหนังเรื่องใหม่นี้ มันเป็นโอกาสที่ยอดเยี่ยมสำหรับเราทั้งในตอนนั้นและตอนนี้ครับ”
การออกแบบงานสร้างได้สร้างสรรค์ลุคไซไฟขึ้นมา
สำหรับยานอวกาศของเด็กๆ ทั้งคู่ เดวิด เจ. บอมบา ผู้ออกแบบงานสร้างต้องการจะสร้างแบบที่แปลกใหม่ แต่ก็ยังอยู่ภายในขอบเขตที่คนทั่วไปรับรู้ว่าเป็นยานบิน
“แม้ว่าเราจะอยากให้ยานของเราเป็นเหมือนยานบิน ผมก็อยากจะทำให้มันแตกต่างจากสิ่งที่ทุกคนเคยชินน่ะครับ” บอมบากล่าว “แอนดี้อยากได้รูปแบบและการเคลื่อนไหวของแสงที่เฉพาะเจาะจง ส่วนผมก็ไม่อยากได้แผงหน้าปัดและคันโยกแบบทั่วๆ ไปในยาน เราก็ใช้ในสิ่งที่เราคิดว่าสิ่งมีชีวิตที่มีความฉลาดเฉลียวเหนือเราจะใช้ เช่นหน้าจอและแป้นสัมผัส สำหรับยานไซฟอน เราใช้แบบดีไซน์ที่เป็นเหลี่ยมมุมและเพรียวมากขึ้น เพื่อให้เหมาะกับการเป็นยานนักรบครับ”
อีกฉากหนึ่งที่ท้าทายความสามารถของแผนกศิลป์คือห้องทดลองใต้ดินของพวกมนุษย์ต่างดาว สวนอีเดนแห่งอนาคต ที่พ่อแม่ของเซธและซาราเคยใช้เมื่อหลายปีก่อนหน้านี้เพื่อสร้างวิธีใหม่ๆ ในการปลูกพืชที่ให้อ็อกซิเจน ซึ่งเป็นหน้าที่ที่สำคัญอย่างยิ่งยวดสำหรับดาวเคราะห์บ้านเกิดของพวกเขาที่กำลังเผชิญปัญหาโลกร้อน ทางเข้าของห้องทดลองนี้จะต้องผ่านอุโมงค์ลับหลายชั้น ซึ่งทางเข้าของมันจะอยู่ที่เครื่องใช้ภายในบ้านที่ดูไม่น่าจะเป็นไปได้ นั่นคือประตูตู้เย็นเก่าๆ ในห้องครัวของกระท่อมที่ถูกทิ้งร้างกลางทะเลทราย
“ห้องทดลองใต้ดินจะเป็นโลกทดลองที่พ่อแม่ของเด็กๆ พวกนี้สร้างขึ้นเพื่อศึกษาความลับของชีวิตบนโลกใบนี้ครับ” บอมบากล่าว “พวกเขาอยากจะเรียนรู้ถึงสิ่งที่จำเป็นในการสร้างชีวิตให้กับพืชอีกครั้งเพราะโลกของพวกเขาเต็มไปด้วยความแห้งแล้ง พอคนได้ยินคำว่า ‘ห้องทดลอง’ พวกเขาก็จะคิดถึงตะเกียง และบี๊คเกอร์ แต่ผมอยากจะให้มันมีชีวิตมากกว่านั้น ด้วยความที่พวกเขาเป็นมนุษย์ต่างดาวและใช้วิธีการแบบมนุษย์ต่างดาว ผมก็เลยสร้างกระเปาะขนาดใหญ่เพื่อใช้เป็นจานทดลองของพวกเขา ไอเดียก็คือพวกเขาใช้ธาตุทั้งสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ในการสร้างพื้นฐานของชีวิตใหม่ขึ้นมา ทั้งหมดนี้ถูกบรรจุไว้ในกลไกแบบบอลลูน ที่เหมือนกับกระเปาะเพาะปลูกที่มีชีวิตครับ”
สิ่งที่เป็นความท้าทายด้านการออกแบบอีกอย่างหนึ่งสำหรับช่างเทคนิคของเรื่อง ที่แม้จะคุ้นตามากกว่า แต่ก็แปลกประหลาดไม่แพ้กันก็คืองานชุมนุมเรื่องยูเอฟโอที่เต็มไปด้วยสีสันและชีวิตชีว ที่เกิดขึ้นในลาสเวกัส แต่จริงๆ แล้วถ่ายทำกันที่โพโมนา, แคลิฟอร์เนีย ในการสร้างให้เกิดความสมจริง ผู้กำกับ (และผู้คลั่งไคล้ยูเอฟโอ) ฟิคแมนได้หาคนดังแห่งโลกยูเอฟโอตัวจริง รวมถึงนักธุรกิจหลายคน ที่ขายสินค้าในงานชุมนุมทั่วโลก มาอยู่ในบูธจริงๆ
“เราได้ทำรีเสิร์ชเกี่ยวกับงานชุมนุมยูเอฟโอครั้งที่ผ่านๆ มา” ฟิคแมนบอก “พวกมันมหัศจรรย์และมีภาพที่โดดเด่นมากๆ ส่วนหนึ่งมันเป็นคอมิกคอน ส่วนหนึ่งเป็นงานวิทยาศาสตร์และอีกส่วนหนึ่งเป็นค่ายอวกาศครับ ผมคิดว่ามันคงสนุกน่าดูถ้าท่ามกลางคนพวกนี้ที่แต่งตัวเป็นมนุษย์ต่างดาว จะมีเด็กผมบลอนด์สองคนที่เป็นมนุษย์ต่างดาวจรงิๆ เดินผ่านไปโดยไม่มีใครสังเกตเห็นน่ะครับ”
ทีมงานออกแบบงานสร้าง ซึ่งรวมถึงจอห์น อาร์ เจนเซน ผู้กำกับศิลป์, แพทริค คาสสิดี้ นักตกแต่งฉากและเจเนเวียฟ ไทร์เรล ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย ได้อาศัยแรงบันดาลใจจากงานชุมนุมยูเอฟโอ และเพิ่มเติมความเป็นต่างดาวเข้าไปอีก ในเมื่อมีคนแต่งเป็นมนุษย์กุ้ง อีที และสตอร์ม ทรูปเปอร์มากมายขนาดนี้ ใครจะสังเกตเห็นตัวไซฟอนท่ามกลางคนพวกนั้นล่ะ
“เราทำให้แน่ใจว่ามันมีสิ่งต่างๆ ให้ได้เห็นมากมาย และมีคนจำนวนมากที่แต่งชุดประหลาดๆ จนนักแสดงของเราสามารถกลมกลืนไปในที่นั้นได้ครับ” บอมบากล่าว
นอกจากนี้ ฟิคแมนยังได้เชิญคนดังจากโลกยูเอฟโอตัวจริงหลายคนมาร่วมแสดงในเรื่องด้วย ซึ่งรวมถึง บิล เบิร์นส์ (ผู้ตีพิมพ์นิตยสาร ยูเอฟโอ แม็กกาซีน และพิธีกรรายการโทรทัศน์ยอดนิยม “UFO Hunters”) และภรรยาของเขา แนนซี, ดร. โรเจอร์ แลร์ (ผู้เชี่ยวชาญและผู้บรรยายเรื่องการฝังตัวของมนุษย์ต่างดาว), โจโจ้ เซาคาลอส (บรรณาธิการ นิตยสาร ลีเจนดารี ไทม์ แม็กกาซีนและนักวิจัยเกี่ยวกับทฤษฎีที่พูดถึงการมาเยือนของมนุษย์ต่างดาว) และวิทลีย์ สไตรเบอร์ (ผู้เขียน “Communion,” “Wolfen” และ “The Hunger” และเป็นหนึ่งในผู้ที่อ้างตัวว่าถูกมนุษย์ต่างดาวลักพาตัวไป ที่โด่งดังที่สุดคนหนึ่ง)
“แอนดี้ได้เกลี้ยกล่อม ผมและแอนน์ ภรรยาของผมให้ร่วมเล่นในหนังของเขาระหว่างที่พวกเราพบกันเพื่อรับประทานมื้อเที่ยงด้วยกัน” สไตรเบอร์เล่า “กลับกลายเป็นว่า แอนดี้มีความรู้เรื่องยูเอฟโอดีเยี่ยมและเขาคิดว่าคงสนุกดีถ้าผมกับแอนน์จะไปจัดบูธที่งานชุมนุมยูเอฟโอในหนัง เราสนุกจริงๆ ครับ”
ความสัมพันธ์พิเศษกับแพลเน็ต ฮอลลีวูด รีสอร์ต แอนด์ คาสิโน ทำให้ทีมงานสามารถตั้งร้านค้าขึ้นในหมู่นักพนันและผู้จัดงานเฉลิมฉลองตัวจริง เป็นเวลาสองสัปดาห์บนลาสเวกัส สตริป ทีมออกแบบของเรื่องได้ตั้งอุปกรณ์ประกอบฉากและจอวิดีโอไว้ภายในคาสิโน แต่ส่วนใหญ่ของสิ่งที่ผู้ชมได้เห็นบนหน้าจอก็คือเวกัสแท้ๆ สถานที่อื่นๆ ที่คุ้นตาในเวกัสก็ถูกใช้เช่นกัน เช่นดาวน์ทาวน์ลาสเวกัส และถนนที่เต็มไปด้วยแสงสี ที่เป็นที่รู้จักในชื่อ ลาสเวกัส สตริป (ซึ่งจอห์นสันและกูจิโนได้ถ่ายทำฉากนั่งแท็กซี่ยามราตรี)
ในซอกัส, แคลิฟอร์เนีย ผู้ออกแบบงานสร้างบอมบาได้สร้างพื้นที่ส่วนใหญ่ของสถาบันลับใต้ดินของรัฐบาลในหุบเขามรณะขึ้นมา มันเป็นรังลับที่ท้ายที่สุดไม่เพียงแต่จะเป็นสถานที่ขังวัยรุ่นต่างดาว แต่ยังเป็นสถานที่เก็บยานอวกาศของพวกเขาเช่นกัน
“เราได้ค้นคว้าอย่างหนักว่าหุบเขามรณะควรจะมีหน้าตายังไง” ฟิคแมนบอก “เรามีโอกาสได้ไปเยี่ยมชมสถาบันโนรัดบนหุบเขาเชเยนน์ ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ได้รับการคุ้มกันเข้มงวดที่สุดของอเมริกา เราได้ออกแบบสถาบันของเราให้มีความลึกลับและกลิ่นไอแบบ Area 51 ฐานทัพในเนวาดา ซึ่งเป็นที่มาของตำนานเล่าลือมากมายเกี่ยวกับยูเอฟโอครับ”
แม้ว่าโครงสร้างหุบเขามรณะส่วนใหญ่จะอยู่ในโรงงานกระจกในซอกัส อุโมงค์หลายส่วนก็ซ่อนอยู่ใต้พื้นของสถานที่ที่ไม่เป็นความลับเอาเสียเลย นั่นก็คือวอลท์ ดิสนีย์ สตูดิโอส์นั่นเอง
ประวัตินักแสดง
ดเวย์น จอห์นสัน (แจ็ค บรูโน) ได้สร้างตัวละครฮีโรนักบู๊คนใหม่ให้เกิดขึ้นใน “Race to Witch Mountain” ด้วยการรับบทคนขับแท็กซี่ผู้ตกอับในลาสเวกัส ชีวิตของเขาต้องเผชิญกับความวุ่นวายจากต่างดาวด้วยฝีมือของมนุษย์ต่างดาววัยรุ่นสองคน การกลับมาสู่แอ็กชันเพียวๆ นี้เป็นสิ่งที่พระเอกมากความสามารถผู้นี้คุ้นเคยเป็นอย่างดี โดยผลงานล่าสุดของเขาคือภาพยนตร์ฮิตในบ็อกซ์ออฟฟิศเรื่อง “The Game Plan” และ “Get Smart” โดยเขายังคงแสดงความสามารถในการกะจังหวะแสดงตลกได้อย่างเหมาะเหม็งรวมไปถึงความสามารถในการเข้าถึงผู้ชมของเขาทั้งในอเมริกาและทั่วโลก
จอห์นสันเกิดในครอบครัวของเอนเตอร์เทนเนอร์พิเศษที่ไม่เหมือนใคร เขามีโอกาสที่จะพัฒนาความเข้าใจเกี่ยวกับการแสดงสดจากการได้ดูทั้งพ่อและปู่ของเขาประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ในวงการมวยปล้ำอาชีพ การเฝ้าดูพวกเขาตระเวนแสดงทั่วประเทศทำให้จอห์นสันได้รับการศึกษาเบื้องต้นที่ไม่เหมือนใคร หลังจากที่ย้ายไปเพนซิลเวเนียเมื่อเขาก้าวเข้าสู่ช่วงอายุวัยรุ่นตอนปลาย จอห์นสันก็ทุ่มเทความเป็นนักกีฬาตามธรรมชาติของเขาไปกับการเล่นฟุตบอล และทำให้มหาวิทยาลัยไมอามีสนใจในตัวเขา เมื่อได้รับทุนการศึกษาฟุตบอล จอห์นสันก็ได้เข้าร่วมหลักสูตรฟุตบอล และร่วมคว้ารางวัลแชมป์ทั่วประเทศกับทีมได้สำเร็จเป็นครั้งแรกในปี 1991 หลังจากที่ลงเล่นชิงแชมป์ทั่วประเทศอีกครั้งในปี 1992 จอห์นสันก็ยุติอาชีพนักฟุตบอลที่เจิดจรัสของเขาด้วยการลงแข่งในการชิงแชมป์ทั่วประเทศในปี 1995 กับมหาวิทยาลัยเนบราสก้าในโอเรนจ์ บอล
หลังจากสำเร็จการศึกษา จอห์นสันก็ได้ใช้ประโยชน์จากแรงขับดันและวินัยของตัวเองในการเปลี่ยนความรักที่เขามีต่อความบันเทิงให้กลายเป็นอาชีพที่เปลี่ยนแปลงชีวิตเขา ดเวย์นได้เดินตามรอยเท้าของปู่และพ่อของเขา และใช้บทเรียนที่ผ่านมาในชีวิตของเขาเองให้เป็นประโยชน์เพื่อสร้างตัวละครที่ชื่อ “เดอะ ร็อค” ขึ้นมา จอห์นสันได้แสดงเพื่อแฟนๆ กว่า 10 ล้านคนต่อสัปดาห์ทางโทรทัศน์ รวมไปถึงผู้ชมในอเมริกาและต่างประเทศที่ชมการแสดงของเขาสดๆ ซึ่งมีจำนวนมากกว่า 70,000 คน จอห์นสันมักสร้างปรากฏการณ์ขายบัตรหมดในสถานที่จัดแสดงชื่อดังทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นเดอะ ฮูสตัน แอสโทรโดม, เมดิสัน สแควร์และหอคอยโตรอนโต สกาย ในฐานะ “เดอะ ร็อค” ดเวย์นได้ประสบความสำเร็จอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เขากลายเป็นนักเขียนเจ้าของผลงานเบสต์เซลเลอร์ในลิสต์ของนิวยอร์ก ไทม์ จากหนังสืออัตชีวประวัติเรื่อง “The Rock Says” และยังเป็นศิลปินเจ้าของยอดขายแพลตินัมจากซีดีรวมฮิตเวิล์ด เรสลิง เอนเตอร์เทนเมนต์ ที่เขาร่วมงานกับศิลปินมากมาย รวมถึงไวเคลฟ จีน เจ้าของรางวัลแกรมมี อวอร์ด
ในการไล่ตามความฝันในการขยายสื่อในการให้ความบันเทิงของเขาออกไป จอห์นสันได้ขยับจากจอแก้วก้าวสู่จอเงิน ด้วยกรรับบทชาย/พระเจ้าชาวอียิปต์ ราชันย์แมงป่องในภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์ปี 2001 เรื่อง “The Mummy Returns” ซึ่งนำไปสู่การรับบทนำเป็นครั้งแรกใน “The Scorpion King” ในปี 2002 ความสำเร็จจากภาพยนตร์เรื่องนั้นทำให้เขาได้รับบทนำในภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ อีกหลายเรื่องเช่น “The Rundown” (ในบทนักล่าฆ่าหัวที่รู้สึกผิดที่ผิดทางในเซาธ์ อเมริกา), “Walking Tall” (ในบทฮีโรจากสงครามอ่าวเปอร์เซีย ผู้ปกป้องบ้านเกิดของเขาจากพวกค้ายา) และ “Gridiron Gang” (ในบทเจ้าหน้าที่คุมควมประพฤติผู้เข้มงวดแต่ก็เห็นอกเห็นใจผู้อื่น ผู้เป็นแรงบันดาลใจให้กับกลุ่มนักโทษวัยรุ่น) นอกจากนี้ เขายังได้ฝากผลงานที่ยอดเยี่ยมเอาไว้ในภาพยนตร์ฮิตเรื่อง “Be Cool” ในบทบอดี้การ์ดเกย์สีสันฉูดฉาด ซาโมนอีกด้วย
จอห์นสัน ผู้เป็นที่รู้จักดีจากการทำบุญทั่วโลก จอห์นสันมักจะได้รับการยกย่องจากสิ่งที่เขาทำเพื่อเด็กๆ และประเด็นเกี่ยวกับเด็กๆ ล่าสุด เขาได้รับรางวัล 2008 คองเกรสชันแนล ฮอไรซัน อวอร์ดจากความอุตสาหะของเขา ในปี 2006 ดเวย์นได้ก่อตั้งมูลนิธิเดอะ ร็อคขึ้นเพื่อให้การศึกษา ให้พลัง และสร้างแรงจูงใจให้กับเด็กๆ ทั่วโลกผ่านทางการศึกษา สุขภาพและความสมบูรณ์ทางร่างกาย จนถึงปัจจุบัน มูลนิธิแห่งนี้ได้ช่วยเหลือเด็กๆ หลายพันคนทั่วโลก
เขาจะกลับไปแสดงภาพยนตร์คอเมดีสำหรับครอบครัวฟอร์มยักษ์อีกครั้งในช่วงเทศกาลวันหยุด และหลังจากนี้ เขาจะได้รับบทนักฮ็อคกี้อาชีพผู้หยิ่งทะนง ผู้มักจะทำลายความฝันของเด็กๆ และถูกดินแดนเทพยดาบังคับให้สวมชุดฟูฟ่อง ถือไม้คทาและติดปีกนางฟ้าในฐานะ “นางฟ้าฟันน้ำนม”
นอกจากนี้ เขายังได้พากย์เสียงนักบินอวกาศกัปตัน ชาร์ลส์ เบเกอร์ในภาพยนตร์อนิเมชันผจญภัยเรื่อง “Planet 51” ที่จะลงโรงในช่วงเทศกาลวันหยุดที่จะถึงนี้เช่นกัน
แอนนาโซเฟีย ร็อบบ์ (ซารา) เป็นนักแสดงที่ประสบความสำเร็จด้วยอายุเพียง 15 ปี โดยเธอมีเครดิตภาพยนตร์ที่น่าประทับใจหลายเรื่องตลอดหกปีที่ผ่านมา ซึ่งรวมถึงบทนำประกบดาราชื่อดังอย่างจอห์นนี เดปป์ (“Charlie and the Chocolate Factory” โดยทิม เบอร์ตัน), ชาร์ลิซ เธอรอน (“Sleepwalking”) และฮิลลารี สแวงค์ (“The Reaping”)
แอนนาโซเฟียเกิดและเติบโตในโคโลราโด ในครอบครัวของเดวิด และจาเน็ต ร็อบบ์ พ่อแม่ที่คอยเป็นกำลังใจให้เธอเสมอมา เธอสั่งสมประสบการณ์การแสดงจากโทรทัศน์และโฆษณาตีพิมพ์ รวมไปถึงเวิร์คช็อปการแสดงในท้องถิ่น ก่อนที่จะได้แสดงภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่เรื่องแรกประกบเจฟฟ์ แดเนียลส์ในภาพยนตร์คลาสสิกสำหรับครอบครัวเรื่อง “Because of Winn Dixie” นอกจากนี้ เธอยังได้แสดงในภาพยนตร์ที่แพร่ภาพทางโทรทัศน์เรื่อง “Samantha: An American Girl Holiday” ก่อนที่ผู้กำกับทิม เบอร์ตันจะเลือกเธอให้รับบทไวโอเล็ต โบเรการ์ดในภาพยนตร์ที่เขาดัดแปลงจากเรื่อง “Charlie and the Chocolate Factory”
ความสำเร็จเหล่านั้นทำให้แอนนาโซเฟียได้รับข้อเสนอต่างๆ มากขึ้น และที่น่าจดจำที่สุดก็คือบทตัวเอกในภาพยนตร์สะเทือนอารมณ์โดยวอลท์ ดิสนีย์ พิคเจอร์สและวอลเดน มีเดียเรื่อง “Bridge to Terabithia” ซึ่งเธอได้ฝากเสียงของเธอไว้ในเพลง “Keep Your Mind Open” ด้วย ล่าสุด เธอได้แสดงในภาพยนตร์เรื่อง “Have Dreams, Will Travel” และ “Jumper”
ในตอนที่เธอไม่ได้แสดง เธอก็มีความสุขกับการไปโรงเรียน เดินทางและทำงานเพื่อการกุศล
อเล็กซานเดอร์ ลุดวิก (เซธ) ได้สร้างหลักไมล์ในชีวิตเขาระหว่างการถ่ายทำ “Race to Witch Mountain” ด้วยการมีอายุครบ 16 ปี หนึ่งในของขวัญมากมายที่เขาได้รับจากเพื่อนนักแสดงและทีมงานคือกีตาร์อะคูสติกจากดเวย์น จอห์นสัน ที่เป็นนักกีตาร์มือดีเช่นเดียวกัน
ลุดวิก ที่สั่งสมผลงานน่าประทับใจทั้งในสายของภาพยนตร์และโทรทัศน์ กำลังวางตัวเองเป็นหนึ่งในนักแสดงดาวรุ่งที่มาแรงที่สุดของฮอลลีวูด ขณะที่อาชีพนักแสดงของเขาก็ยิ่งพัฒนามากขึ้นด้วยโปรเจ็กต์ที่น่าตื่นเต้นและท้าทาย นักแสดงชาวแวนคูเวอร์, บริติช โคลัมเบียคนนี้ได้เข้าสู่วงการบันเทิงตั้งแต่อายุ 10 ขวบ ด้วยการเข้าออดิชันโฆษณาโทรทัศน์ครั้งแรก หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ได้รับบทบาทในภาพยนตร์สำหรับครอบครัวหลายเรื่อง รวมถึง “Eve and the Firehorse,” “MXP: Most Xtreme Primate,” “Air Bud: World Pup” และ “The Sandlot III”
ล่าสุด เขาเพิ่งได้ร่วมแสดงในทริลเลอร์เรื่อง “The Seeker: The Dark Is Rising” กับเอียน แม็คเชน, ฟรานซิส คอนรอยและเวนดี้ ครูว์สัน
ในตอนที่เขาไม่ได้อยู่โรงเรียนหรืออยู่ในกองถ่ายภาพยนตร์ ลุดวิกก็จะมีความสุขกับกิจกรรมกลางแจ้ง เขาใช้เวลาว่างไปกับการเล่นสกีกับพ่อแม่และพี่น้องสามคนของเขาที่ภูเขาวิทส์เลอร์ใกล้ๆ กับบ้านของเขาในบริติช โคลัมเบีย รวมไปถึงการเล่นกระดานโต้คลื่น การเล่นสกีน้ำ เทนนิสและฮ็อคกี้น้ำแข็งด้วย
คาร์ลา กูจิโน (ด็อกเตอร์ อเล็กซ์ ฟรีดแมน) เป็นหนึ่งในนักแสดงนำหญิงที่เป็นที่ต้องการตัวมากที่สุดในฮอลลีวูดด้วยบทบาทที่น่าจดจำและกระตุ้นเร้าความรู้สึกของเธอในภาพยนตร์ โทรทัศน์และละครเวที เธอกำลังจะมีผลงานในภาพยนตร์เรื่อง “Watchmen” ที่สร้างขึ้นจากนิยายดีซี คอมิคชื่อดังและในละครเวทีเรื่อง “Desire Under the Elms” ที่จัดแสดงที่โรงละครกู๊ดแมนในชิคาโก เธอจะกลับไปรับบทอแมนดาของเธออีกครั้งในซีซันใหม่ของซีรีส์เอชบีโอเรื่อง “Entourage” ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ที่เธอนำแสดงได้แก่ “Righteous Kill” ที่ร่วมแสดงโดยโรเบิร์ต เดอ นีโรและอัล ปาชิโน, “American Gangster,” “The Lookout,” “Night at the Museum” และ “Spy Kids”
อาชีพนักแสดงของกูจิโนเริ่มต้นขึ้นจากงดงามเมื่อเธอได้รับบทใน “Troop Beverly Hills” หลังจากนั้น เธอก็ได้ร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่อง “Son in Law,” “This Boy’s Life,” “Miami Rhapsody,” “Michael,” “Snake Eyes” และ “The Singing Detective” ผลงานเรื่องถัดไปของเธอได้แก่ภาพยนตร์รวมเรื่องสั้นเรื่อง “New York, I Love You,” “Women in Trouble” และ “Our Lady of Victory”
ผลงานจอแก้วของเธอได้แก่การแสดงที่ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมในซีรีส์ “Threshold” และบทนำในซีรีส์เรื่อง “Karen Sisco” การแสดงของเธอในซีรีส์เรื่อง “Chicago Hope” และซิทคอมเรื่อง “Spin City” ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถอันกว้างขวางของกูจิโนทั้งในดรามาและคอเมดี
ในช่วงต้นปี 2007 กูจิโนได้แสดงประกบไบลธ์ แดนเนอร์ในละครโปรดักชันของราวน์อเบาท์ เธียเตอร์ คัมปะนีเรื่อง “Suddenly Last Summer” ซึ่งทำให้เธอได้รับการยกย่องอย่างสูง เธอได้เปิดตัวบนเวทีบรอดเวย์ด้วยละครเรื่อง “After the Fall” ที่ราวน์อเบาท์ การแสดงของเธอทำให้เธอได้รับยกย่องมากมาย ซึ่งรวมถึงการได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอาเตอร์ คริติกส์ เซอร์เคิล อวอร์ด และรางวัลเธียเตอร์ เวิลด์ อวอร์ดสาขาการเปิดตัวยอดเยี่ยมบนเวทีบรอดเวย์
เคียราน ฮินด์ (เฮนรี บูร์เก้) ได้รับการยกย่องในฐานะนักแสดงละครเวที โทรทัศน์และภาพยนตร์ชื่อดังในอังกฤษ บ้านเกิดของเขา แต่เขาคงเป็นที่รู้จักดีที่สุดในหมู่ชาวอเมริกันจากบทจูเลียส ซีซาร์ในซีรีส์เอชบีโอเรื่อง “Rome” รวมไปถึงการแสดงประกบแดเนียล เดย์-ลูอิสในภาพยนตร์ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดปี 2007 เรื่อง “There Will Be Blood” (รับบทเฟล็ทเชอร์ สมุนของลูอิส)
ฮินด์เกิดในเบลฟาสต์, ไอร์แลนด์เหนือ เขาเริ่มศึกษาด้านกฎหมายที่มหาวิทยาลัยควีนส์แห่งเบลฟาสต์ ก่อนที่จะได้โอกาสเรียนในสถาบันรอยัล อคาเดมี ออฟ ดรามาติก อาร์ตที่ทรงเกียรติในลอนดอน หลังจากนั้น เขาก็ได้เป็นสมาชิกของเดอะ กลาสโกว์ ซิตีเซนส์ เธียเตอร์ ที่ซึ่งเขาได้ฝึกปรือฝีมือหลายปีก่อนที่จะได้ขึ้นแสดงบนเวทีให้กับคณะละครหลายแห่งเช่นเดอะ ลิริค เธียเตอร์ เบลฟาสต์, ดรูอิด เธียเตอร์ในกัลเวย์และเดอะ โปรเจ็กต์ในดับลิน
ผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกของเขาได้แก่ภาพยนตร์โดยจอห์น บูร์แมนเรื่อง “Excalibur” ในปี 1981 ตามมาด้วยผลงานในภาพยนตร์หลายๆ เรื่องเช่น “The Cook, The Thief, His Wife and Her Lover,” “December Bride,” “Circle of Friends,” “Titanic Town,” “Some Mother’s Son,” “The Lost Son,” “Oscar and Lucinda,” “The Weight of Water,” “Mary Reilly,” “Road to Perdition,” “The Sum of All Fears,” “Calendar Girls,” “Lara Croft: Tomb Raider,” “The Statement,” “Veronica Guerin,” “The Phantom of the Opera,” “Miami Vice” และ “Munich” โดยสตีเวน สปีลเบิร์ก
ก่อนหน้าที่เขาจะได้รับบทจูเลียส ซีซาร์ในซีรีส์เรื่อง “Rome” เขาได้แสดงละครโทรทัศน์มาแล้วหลายเรื่องเช่น “The Mayor of Casterbridge,” “Jane Eyre,” “Jason and the Argonauts,” “Ivanhoe,” “Rules of Engagement,” “Prime Suspect 3” และ “Persuasion” ที่สร้างขึ้นจากเรื่องโดยเจน ออสเตน
เขายังคงแสดงบนเวทีละครทั่วโลก โดยล่าสุด เขาได้แสดงละครดรามาบรอดเวย์ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลโทนี อวอร์ดเรื่อง “The Seafarer” ประกบเดวิด มอร์สที่โรงละครบูธอันโด่งดัง
ผลงานล่าสุดของเขาได้แก่ภาพยนตร์เรื่อง “Amazing Grace,” “Nativity,” “Hallam Foe,” “The Tiger’s Tail,” “Margot at the Wedding,” “Stop-Loss,” “In Bruges,” “Miss Pettigrew Lives for a Day” และ “Ca$h”
แกร์รี มาร์แชล (ด็อกเตอร์ โดนัลด์ ฮาร์แลน) ยังคงผสมผสานงานการแสดงเข้ากับอาชีพที่รุ่งโรจน์และมีรางวัลการันตีในการเขียนบท กำกับและอำนวยการสร้างโทรทัศน์ ภาพยนตร์ โอเปราและละครเวที
มาร์แชลเป็นชาวนิวยอร์ก เขาศึกษาวารสารศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยนอร์ธเวสเทิร์น ที่ซึ่งเขาเริ่มเขียนงานเกี่ยวกับกีฬามหาวิทยาลัย เขาขยับไปสู่งานเขียนบทโทรทัศน์ให้กับแจ็ค พาร์ ไม่นานหลังจากนั้น เขาก็กลายเป็นนักเขียนงานชุกให้กับซีรีส์หลายเรื่องเช่น “Danny Thomas,” “The Lucy Show,” “The Dick Van Dyke Show,” “The Joey Bishop Show,” “Gomer Pyle U.S.M.C.” และ “The Odd Couple” ก่อนหน้าที่เขาจะสร้างซีรีส์ที่ประสบความสำเร็จยาวนานอย่าง “Happy Days” ในปี 1974 “Happy Days” ได้แตกแขนงเป็นซีรีส์สปินออฟยอดนิยมสองเรื่องคือ “Mork & Mindy” และ “Laverne & Shirley” คอเมดีที่ครองจอแก้วมานานเกือบทศวรรษ
แม้ว่าเขาจะให้ความสำคัญกับโทรทัศน์ แต่เขาก็ได้เขียนบทภาพยนตร์สองเรื่องคือ “The Grasshopper” และ “How Sweet It Is” ซึ่งเขาควบหน้าที่ผู้อำนวยการสร้าง หลังจากนั้น เขาก็ได้ก้าวสู่งานกำกับด้วยภาพยนตร์เรื่อง “Young Doctors in Love” ในปี 1982 ตามมาด้วยภาพยนตร์ยอดนิยมเรื่อง “The Flamingo Kid,” “Nothing in Common,” “Overboard,” “Beaches,” “Pretty Woman,” “Frankie and Johnny,” “Runaway Bride” และ “The Other Sister” ซึ่งหลายเรื่องเขาก็ควบหน้าที่อำนวยการสร้างด้วย
นอกจากนี้ เขายังพบว่าการแสดงเป็นการปลดปล่อยพลังงานสร้างสรรค์ของตัวเองอีกทางหนึ่งและเขาก็ได้รับบทที่น่าจดจำมากมายในภาพยนตร์หลายๆ เรื่องเช่น “Lost in America,” “Soapdish,” “A League of Their Own” (กำกับโดยน้องสาวของเขา นักแสดงหญิงและผู้สร้าง เพ็นนี มาร์แชล), “The Twilight of the Golds,” “Keeping Up with the Steins,” “Orange County” และd “Chronic Town” รวมไปถึงซีรีส์โทรทัศน์เรื่อง “ER,” “Murphy Brown” และ “Brothers & Sisters” นอกจากนี้แล้ว เขายังได้พากย์เสียงตัวละครในภาพยนตร์อนิเมชันและซีรีส์อนิเมชัน ซึ่งรวมถึงภาพยนตร์เรื่อง “Chicken Little” และซีรีส์ “The Simpsons”
เขาได้เขียนหนังสืออัตชีวประวัติของตัวเอง (กับลูกสาว ลอรี มาร์แชล) ในชื่อ “Wake Me When It’s Funny” ขึ้นในปี 1995 เขาได้ร่วมกับแคทลีน มาร์แชล ลูกสาวของเขา สร้างโรงละครฟัลคอน 130 ที่นั่งขึ้นในเบอร์แบงค์ ซึ่งจัดแสดงละครเวทีนับตั้งแต่ปี 1997 ส่วนหนึ่งของโปรเจ็กต์ล่าสุดของเขาได้แก่โอเปราเรื่อง “Grand Duchess” และ “The Elixir of Love” ซึ่งเขากำกับให้กับลอสแองเจลิส โอเปราและซานแอนโทนิโอ โอเปรา ตามลำดับ นอกจากนี้ มาร์แชลยังได้เขียนหนังสือสำหรับเวอร์ชันมิวสิคัลของซีรีส์ “Happy Days” ซึ่งปัจจุบันกำลังอยู่ระหว่างการแสดงทั่วประเทศ
ผลงานการกำกับภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของเขาได้แก่ภาพยนตร์ยอดนิยมเรื่อง “The Princess Diaries,” “The Princess Diaries 2: Royal Engagement,” “Raising Helen” และ “Georgia Rule”
ริชาร์ด “ชีค” มาริน (เอ็ดดี้) เริ่มต้นการทำงานจากการเป็นหนึ่งในคู่หูคอเมดีชื่อดัง ชีค แอนด์ ชอง (ร่วมกับคู่หู ทอมมี ชอง) ทั้งคู่ที่ประสบความสำเร็จเกินความคาดหวังได้สร้างคำนิยามให้กับยุคนั้นด้วยการแสดงตลกสุดฮา จิกกัด ประชดประชัน ข้ามเชื้อชาติ ชนิดยั้งไม่อยู่ ความสำเร็จยิ่งใหญ่ของชีค มารินและทอมมี ชองเริ่มต้นขึ้นจากแวดวงสแตนด์อัพ ซึ่งนำไปสู่อัลบัมคอเมดีเก้าชุดและภาพยนตร์ฮิตอีกแปดเรื่อง ซึ่งทำลายสถิติบ็อกซ์ออฟฟิศ ทำยอดขายอัลบัมคอเมดีได้ถล่มทลาย ได้รับการเสนอชื่อชิงหลายรางวัลแกรมมีและทำให้แฟนๆ หลงใหลนานกว่าหนึ่งทศวรรษ
หลังจากที่ทั้งคู่แยกกัน ชีค มารินก็ได้ให้ความสำคัญกับการแสดงภาพยนตร์เป็นพิเศษ ผลงานของเขาได้แก่ “Yellowbeard,” “Cannonball Run II,” “After Hours,” “Born in East LA,” “Fatal Beauty,” “Ghostbusters II,” “Rude Awakening” และ “Tin Cup” รวมไปถึงการพากย์เสียงตัวละครในภาพยนตร์อนิเมชันหลายเรื่องเช่น “FernGully: The Last Rainforest,” “The Lion King” และ “Oliver & Company” การได้ร่วมงานกับผู้กำกับโรเบิร์ต โรดริเกซได้ทำให้เขาได้รับบทบาทในภาพยนตร์ของโรดริเกซอีกหลายเรื่องเช่น “Desperado,” “From Dusk Till Dawn,” ไตรภาค “Spy Kids,” “Once Upon a Time in Mexico” และล่าสุด “Planet Terror” ผลงานอื่นๆ ของเขาได้แก่การพากย์เสียงใน “Beverly Hills Chihuahua” และ “Cars”
ด้านจอแก้ว เขาประสบความสำเร็จจากการแสดงประกบดอน จอห์นสันในซีรีส์ฮิตเรื่อง “Nash Bridges” และเขาก็ได้กลายเป็นนักแสดงขาประจำในซีรีส์ “Judging Amy” และเขาก็เพิ่งได้ร่วมแสดงในเอพิโซดล่าสุดของซีรีส์ “Lost” และ “Grey’s Anatomy” อีกด้วย
ในตอนที่เขาไม่มีงานแสดง เขาก็จะกลายเป็นนักกอล์ฟตัวยง และนักสะสมศิลปะชิคาโน ที่ได้รับการจัดแสดงทั่วโลก
ล่าสุด ชีคและชองได้กลับมาร่วมงานกันอีกครั้งหลังจากที่ไม่ได้แสดงด้วยกันมานานหลายสิบปี และได้ออกทัวร์แสดงตลกทั่วประเทศในชื่อ “Cheech & Chong: Light Up America”
ประวัติทีมผู้สร้าง
“Race to Witch Mountain” เป็นผลงานเรื่องที่สองของแอนดี้ ฟิคแมน (ผู้กำกับ) หลังจากภาพยนตร์เรื่องแรกของเขาที่ประสบความสำเร็จภายใต้ดิสนีย์เรื่อง “The Game Plan” ที่นำแสดงโดยดเวย์น จอห์นสันและไครา เซดจ์วิค ความสำเร็จของฟิคแมนจากภาพยนตร์เรื่องนั้นทำให้ดิสนีย์ยื่นข้อเสนอให้เขาและบริษัทโปรดักชันที่เพิ่งเปิดใหม่ของเขา ว่าดิสนีย์จะเป็นผู้มีสิทธิในการพิจารณาโปรเจ็กต์ภาพยนตร์ทุกเรื่องที่พัฒนาขึ้นโดยฟิคแมนและทีมงานสร้างสรรค์ของเขาเป็นเวลา 3 ปี
อุ๊ปส์ โดนัทส์ โปรดักชันส์ ซึ่งเป็นบริษัทโปรดักชันที่เพิ่งเปิดใหม่ของเขา มีผลงานเรื่อง “Pool Rats” ที่กำกับโดยฟิคแมนและมีกำหนดจะลงโรงในปี 2011 อยู่แล้ว “Pool Rats” เป็นภาพยนตร์คอเมดีสำหรับครอบครัวสำหรับดิสนีย์ ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากประสบการณ์ของฟิคแมนเองในการเป็นโค้ชให้กับทีมว่ายน้ำในท้องถิ่น เมื่อเร็วๆ นี้ ดิสนีย์เพิ่งซื้อคอเมดีเรื่อง “The Most Annoying Man in the World” มาจากบริษัทของฟิคแมน
นอกเหนือจากภาพยนตร์สองเรื่องที่เขาสร้างให้กับดิสนีย์แล้ว เขายังเคยกำกับเรื่อง “She’s the Man” ที่นำแสดงโดยอแมนดา ไบน์และแชนนิง ทาทัม ซึ่งได้รับรางวัลทีน ชอยส์ อวอร์ดสาขาคอเมดียอดเยี่ยม, เวอร์ชันภาพยนตร์ของเรื่อง “Reefer Madness” ที่นำแสดงโดยคริสติน เบลและอลัน คัมมิง ให้กับโชว์ไทม์ ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับรางวัลเอ็มมี อวอร์ดและเป็นที่ชื่นชอบในเทศกาลภาพยนตร์หลายแห่งเช่นซันแดนซ์และโดวิลล์ รวมไปถึงคอเมดีอินดีเรื่อง “Who’s Your Daddy?” ที่นำแสดงโดยแพ็ทซี เคนซิท, คาดีม ฮาร์ดิสันและวิลเลียม แอทเฮอร์ตัน
นอกเหนือไปจากผลงานการกำกับของฟิคแมนและงานสร้างของบริษัทแล้ว เมื่อเร็วๆ นี้ เขายังได้เซ็นสัญญากับอาร์เคโอ พิคเจอร์ส โดยโรสบลัด มูฟวี คัมปะนี ซึ่งเป็นแผนกภาพยนตร์ทริลเลอร์/สยองขวัญของอาร์เคโอ และทวิสเท็ด พิคเจอร์ส จะให้ฟิคแมนรับหน้าที่อำนวยการสร้างบริหารภาพยนตร์รีเมกสี่เรื่อง ซึ่งรวมถึงภาพยนตร์สยองขวัญคลาสสิกของวัล ลูว์ตันสามเรื่องได้แก่ “I Walked with a Zombie” (1943), “The Body Snatcher” (1945) และ “Bedlam” (1946) ส่วนเรื่องที่สี่คือทริลเลอร์ปี 1939 เรื่อง “Five Came Back” นอกเหนือจากการอำนวยการสร้างบริหารภาพยนตร์สยองขวัญแล้ว ฟิคแมนยังถูกวางตัวให้กำกับภาพยนตร์เรื่อง “The Body Snatcher” รวมไปถึง “Bedlam” อีกด้วย
ฟิคแมนเกิดในรอสเวล, นิวเม็กซิโกและเติบโตในเท็กซัส เขาเข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยฮูสตันและเท็กซัส เท็ค และเริ่มแสดงสแตนด์อัพคอเมดีตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น หลังจากสำเร็จการศึกษา เขาก็ย้ายไปลอสแองเจลิส ที่ซึ่งงานแรกๆ ของเขารวมถึงการเป็นไกด์ทัวร์ที่โรงถ่ายยูนิเวอร์แซลและในห้องพัสดุที่ไทรแอด อาร์ติสท์ เอเจนซี เขากลายเป็นมือเขียนบทและผู้กำกับมือฉมังในแวดวงละครเวทีท้องถิ่น และท้ายที่สุด เขาก็ได้ร่วมก่อตั้งและบริหารงานฟาวเทนเฮด เธียเตอร์ คัมปะนี
ฟิคแมนได้ขยับขยายสู่งานพัฒนาภาพยนตร์ด้วยการร่วมงานกับบริษัทที่บริหารงานโดยจีน ไวล์เดอร์และเบ็ต มิดเลอร์ ก่อนที่จะได้รับตำแหน่งรองประธานฝ่ายครีเอทีฟและโปรดักชันให้กับมิดเดิล ฟอร์ค โปรดักชันส์ ที่ซึ่งเขาได้ทำหน้าที่ผู้ช่วยอำนวยการสร้างในทริลเลอร์ที่ประสบความสำเร็จเรื่อง “Anaconda” ผลงานละครเวทีของฟิคแมนได้รวมถึงละครเวทีชื่อดังเรื่อง “Jewtopia” และ “Reefer Madness” โดยละครเวทีทั้งสองเรื่องได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมมากมายและมีผู้ชมเต็มทุกรอบเมื่อจัดแสดงในนิวยอร์ก ซิตี้
แอนดรูว์ กันน์ (ผู้อำนวยการสร้าง) เป็นผู้สร้างมากฝีมือ ผู้ซึ่ง กันน์ ฟิล์มส์ บริษัทโปรดักชันของเขา เป็นส่วนหนึ่งของวอลท์ ดิสนีย์ สตูดิโอส์ ล่าสุด เขาเพิ่งอำนวยการสร้างคอเมดีเรื่อง “Bedtime Stories” ที่กำกับโดยอดัม แชงค์แมนและนำแสดงโดยอดัม แซนด์เลอร์และเคอรี รัสเซล
เขาเกิดที่โตรอนโต ประเทศแคนาดา เขาย้ายไปลอสแองเจลิสเพื่อศึกษาต่อที่แอนเนนเบิร์ก สคูล ฟอร์ คอมมิวนิเคชัน แห่งมหาวิทยาลัยเซาเธิร์น แคลิฟอร์เนีย ที่ซึ่งเขาได้ศึกษาจนจบปริญญาโทในปี 1995 ตลอดสามปี เขารับหน้าที่ดูแลงานโปรดักชันและงานพัฒนาที่บริษัทเกร็ท โอ๊คส์ เอนเตอร์เทนเมนต์ของจอห์น ฮิวจ์ ที่เป็นส่วนหนึ่งของวอลท์ ดิสนีย์ สตูดิโอส์ โดยเขาได้ทำงานในภาพยนตร์ชื่อดังหลายเรื่องเช่น “Flubber,” “101 Dalmatians” และ “Home Alone 3” และเขายังรับหน้าที่ผู้ร่วมอำนวยการสร้างในคอเมดีโดยวู้ปปี้ โกลด์เบิร์กเรื่อง “Eddie” อีกด้วย
หลังจากก่อตั้งกันน์ ฟิล์มส์แล้ว เขาก็ได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง “The Country Bears,” “The Haunted Mansion,” “Freaky Friday,” “Sky High” และ “College Road Trip” เขาได้รับหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างบริหารซาวน์แทร็คยอดขายแพลตินัมให้กับภาพยนตร์เรื่อง “Freaky Friday” และรับหน้าที่เดียวกันนี้ให้กับ “Minutemen” ที่แพร่ภาพทางดิสนีย์ แชนแนล
กันน์ยังอยู่ระหว่างการพัฒนาภาพยนตร์เรื่อง “Snow & the Seven” ร่วมกับผู้กำกับฟรานซิส ลอว์เรนซ์เรื่อง (“I Am Legend”)
แอน มารี แซนเดอร์ลิน (ผู้อำนวยการสร้างบริหาร) ดำรงตำแหน่งประธานบริษัทกันน์ ฟิล์มส์ ที่ซึ่งเธอรับหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างบริหารภาพยนตร์ทุกเรื่องของบริษัท นอกจากนั้น ที่กันน์ ฟิล์มส์ เธอยังได้ร่วมอำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง “Freaky Friday” และรับหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างบริหารในภาพยนตร์เรื่อง “Sky High,” “College Road Trip,” “Bedtime Stories” และภาพยนตร์ออริจินอลทางดิสนีย์แชนแนลเรื่อง “Minutemen” อีกด้วย
เธอเป็นชาวโอกลาโฮมา เธอสำเร็จการศึกษาด้านวารสารศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแคนซัสก่อนที่จะเข้าทำงานในห้องพัสดุที่วิลเลียม มอร์ริส เอเจนซีในลอสแองเจลิส ภายหลัง เธอได้กลายมาเป็นผู้อำนวยการฝ่ายครีเอทีฟที่ริคาร์โด เมสเทรส โปรดักชันส์ก่อนที่จะเข้าร่วมงานกับกันน์ ฟิล์มส์ ในปี 2002
มาริโอ้ อิสโควิช (ผู้อำนวยการสร้างบริหาร) เป็นคนทำหนังที่คร่ำหวอดในวงการมานาน ล่าสุด เขารับหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างบริหารให้กับภาพยนตร์เรื่อง “Sky High” และผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ให้กับเรื่อง “The Princess Diaries 2: Royal Engagement”
หลังจากเข้าสู่วงการภาพยนตร์ในฐานะผู้ช่วยส่วนตัวให้กับสตีฟ แม็คควีน ตำนานแห่งโลกภาพยนตร์ เขาก็ได้ก้าวไปเป็นผู้ประสานงานฝ่ายงานสร้างในภาพยนตร์เรื่อง “The Domino Principle” และรับหน้าที่ผู้ช่วยอำนวยการสร้างในภาพยนตร์เรื่อง “The Runner Stumbles” เขาได้ทำงานเป็นผู้จัดการฝ่ายโลเกชันในภาพยนตร์หลายเรื่องเช่น“Jinxed,” “2010,” “Lost in America,” “Nothing in Common,” “Overboard,” “The Presidio” และ “Chances Are” ก่อนที่จะกลายเป็นผู้อำนวยการสร้างในภาพยนตร์หลายเรื่อง เช่น “Sister Act,” “What’s Love Got to Do with It,” “Sister Act II: Back in the Habit,” “Mulholland Falls,” “Dear God,” “George of the Jungle,” “Deep Rising,” “The Other Sister,” “Runaway Bride,” “The Princess Diaries,” “Freaky Friday” และ “Raising Helen”
เอมี สเตนฟ์เนเจล (ผู้ช่วยอำนวยการสร้าง) ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาที่กันน์ ฟิล์มส์ เธอเป็นชาวอินเดียนาแต่กำเนิด เธอสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาภาษาอังกฤษและการสื่อสารที่วิทยาลัยฮันโนเวอร์ ก่อนที่จะย้ายไปลอสแองเจลิสและได้เข้าทำงานที่เจอร์รี บรัคไฮเมอร์ ฟิล์มส์ หลังจากนั้นเธอก็ย้ายไปทำงานที่วอลท์ ดิสนีย์ สตูดิโอส์ ก่อนที่จะเข้าทำงานในตำแหน่งผู้บริหารฝ่ายครีเอทีฟที่กันน์ ฟิล์มส์ในปี 2006
แมตต์ โลเปซ (เรื่องราวและบทภาพยนตร์โดย) ร่วมเขียนบทภาพยนตร์คอเมดี/แฟนตาซีของวอลท์ ดิสนีย์ พิคเจอร์สที่เพิ่งลงโรงเร็วๆ นี้ของวอลท์ ดิสนีย์ พิคเจอร์สเรื่อง “Bedtime Stories” ที่นำแสดงโดยอดัม แซนด์เลอร์และเครี รัสเซล และกำกับโดยอดัม แชงค์แมน (“Hairspray”)
ปัจจุบัน โลเปซกำลังอยู่ระหว่างการเขียนบทภาพยนตร์อีกหลายเรื่องให้กับดิสนีย์ ซึ่งรวมถึง “The Sorcerer’s Apprentice” ภาพยนตร์ไลฟ์แอ็กชันแฟนตาซี/ผจญภัย ที่นำแสดงโดยนิโคลัส เคจและคอเมดีเรื่อง “My Samurai” ให้กับผู้กำกับวอลท์ เบ็คเกอร์ (“Wild Hogs”)
แมตต์สำเร็จการศึกษาด้านกฎหมายจากมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก เขาเป็นอดีตทนายความด้านความบันเทิงและผู้บริหารฝ่ายธุรกิจที่ดรีมเวิร์คส์ ก่อนหน้าที่จะเข้าศึกษาด้านกฎหมาย โลเปซสำเร็จการศึกษาด้านภาพยนตร์จากมหาวิทยาลัยฟลอริดา เขาเกิดที่แทมปา, ฟลอริดา และปัจจุบัน ใช้ชีวิตในลอสแองเจลิสกับภรรยาและลูกสาวสองคน
มาร์ค บอมแบ็ค (บทภาพยนตร์โดย) ล่าสุดได้เขียนบททริลเลอร์ฮิตเรื่อง “Live Free or Die Hard” ที่นำแสดงโดยบรูซ วิลลิส ผลงานการเขียนบทเรื่องอื่นๆ ของเขาได้แก่ ภาพยนตร์เรื่อง “Godsend” ที่นำแสดงโดยโรเบิร์ต เดอ นีโรและเกร็ก คินเนียร์และ “Deception” ที่นำแสดงโดยฮิวจ์ แจ็คแมนและยวน แม็คเกรเกอร์ ปัจจุบัน เขากำลังอยู่ระหว่างการทำงานในภาพยนตร์เรื่อง “Unstoppable” และ “Agent Zigzag” รวมไปถึงมินิซีรีส์ทางเอชบีโอเรื่อง “The Sportswriter” นอกเหนือจากนั้น เขายังได้สอนหลักสูตรการเขียนบทที่มหาวิทยาลัยเวสเลยันที่เขาจบมาอีกด้วย
เกร็ก การ์ดิเนอร์ (ผู้กำกับภาพ) ล่าสุดได้ทำงานในคอเมดีที่ประสบความสำเร็จหลายเรื่องเช่น “The Game Plan” และ “She’s the Man” (ที่กำกับโดยแอนดี้ ฟิคแมนทั้งสองเรื่อง) และ “Welcome Back, Roscoe Jenkins” ที่นำแสดงโดยมาร์ติน ลอว์เรนซ์
เขาเริ่มต้นจากการเป็นช่างไฟในภาพยนตร์เรื่อง “Early Warning” ในปี 1981 และเป็นช่างควบคุมไฟในภาพยนตร์เรื่อง “Repo Man,” “Paris, Texas” และ “Cherry 2000”
หลังจากนั้น เขาก็ทำงานเป็นผู้กำกับภาพยูนิทที่สองให้กับภาพยนตร์เรื่อง “Critters 2: The Main Course” และ “Society”
เขาได้กลายมาเป็นผู้กำกับภาพในภาพยนตร์เรื่อง “Far Out Man” ในปี 1990 และได้ทำหน้าที่เดียวกันนั้นในภาพยนตร์ที่แพร่ภาพทางโทรทัศน์เรื่อง “The Flash,” “Viper” และ “Leaving LA” ก่อนที่จะทำงานเป็นตากล้องในภาพยนตร์เรื่อง “Somebody Is Waiting,” “The Apocalypse,” “To End All Wars,” “Orange County,” “Big Trouble,” “Men in Black II,” “Biker Boyz,” “Elf,” “New York Minute,” “Herbie Fully Loaded” และ “Son of the Mask”
เดวิด เจ. บอมบา (ผู้ออกแบบงานสร้าง) ได้รับรางวัลสมาพันธ์ผู้กำกับศิลป์ปี 2006 จากงานออกแบบของเขาในภาพยนตร์เรื่อง “Walk the Line”
บอมบาเป็นชาวฟลอริดา ที่เติบโตในนิวออร์ลีนส์ เขาสำเร็จการศึกษาสาขาสถาปัตยกรรมศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเท็กซัส เอ แอนด์ เอ็ม ก่อนที่จะเริ่มต้นทำงานเป็นนักตกแต่งฉากและฝ่ายจัดหาอุปกรณ์ให้กับงานโฆษณา จากนั้น เขาก็รับหน้าที่ผู้กำกับศิลป์ให้กับภาพยนตร์เรื่อง “A Civil Action,” “Twilight,” “Apollo 13,” “Serial Mom,” “Eye for an Eye,” “Chain Reaction,” “The Gun in Betty Lou’s Handbag,” “Mother’s Boys,” “He Said, She Said” และ “Silent Fall” ก่อนที่จะไปทำหน้าที่ผู้ออกแบบงานสร้างให้กับภาพยนตร์เรื่อง “My Dog Skip,” “Secondhand Lions,” “Divine Secrets of the Ya-Ya Sisterhood,” “The Wendell Baker Story,” “Original Sin” และภาพยนตร์เอชบีโอเรื่อง “Gia”
ล่าสุด เขาเพิ่งได้ร่วมงานกับผู้กำกับแอนดี้ ฟิคแมนในคอเมดีเรื่อง “She’s the Man” และ “The Game Plan” และได้ร่วมงานกับนักแสดง/ผู้กำกับ เดนเซล วอชิงตันในดรามาชื่อดังเรื่อง “The Great Debaters”
เดวิด อิริซาร์รี(ผู้อำนวยการสร้างฝ่ายวิชวล เอฟเฟ็กต์) ล่าสุดได้สร้างสรรค์วิชวล เอฟเฟ็กต์ให้กับภาพยนตร์เรื่อง “They Came from Upstairs,” “Meet the Spartans” และ “The Santa Clause 3: The Escape Clause”
เขาเริ่มต้นการทำงานในสายภาพยนตร์ด้วยการทำหน้าที่ผู้ประสานงานฝ่ายวิชวล เอฟเฟ็กต์ในคอเมดีเรื่อง “The Santa Clause 2: The Mrs. Clause” ก่อนจะรับหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างฝ่ายวิชวล เอฟเฟ็กต์ในภาพยนตร์เรื่อง “Confessions of a Teenage Drama Queen,” “Ice Princess,” “Sky High” (ให้กับผู้อำนวยการสร้างแอนดรูว์ กันน์) และ “The Greatest Game Ever Played”
อเล็ค กิลลิส และทอม วู้ดรัฟฟ์ จูเนียร์ (นักออกแบบฝ่ายเอฟเฟ็กต์พิเศษตัวละคร) เป็นหุ้นส่วนบริษัทสเปเชียล เอฟเฟ็กต์ อมัลเกเมทเท็ด ไดนามิคส์, อิงค์ (เอดีไอ) ซึ่งได้สร้างสัตว์ประหลาด ชิ้นส่วนเทียมและสเปเชียล เมคอัพ เอฟเฟ็กต์ให้กับภาพยนตร์หลายเรื่อง เช่น “Wolverine: Origins,” “Dragonball,” “Cirque du Freak,” “Alien vs. Predator 2,” “Wild Hogs” และ “Spider-Man 3” พวกเขาได้รับรางวัลออสการ์จากผลงานของพวกเขาในภาพยนตร์โดยโรเบิร์ต ซีเมคิสเรื่อง “Death Becomes Her” และได้รับการเสนอชื่อชิงออสการ์จากผลงานเรื่อง “Alien 3,” “Starship Troopers” และ “The Hollow Man”
อเล็ค กิลลิสได้ร่วมงานกับเจมส์ คาเมรอน เพื่อนสมัยเด็กของเขาที่นิวเวิลด์ พิคเจอร์สของโรเจอร์ คอร์แมนในช่วงต้นยุค 80s และได้ทำงานในภาพยนตร์หลายเรื่องเช่น “Battle Beyond the Stars” และ “Galaxy of Terror” เขาได้เข้าศึกษาที่ยูซีแอลเอ ฟิล์ม สคูลก่อนที่จะได้พบกับทอม วู้ดรัฟฟ์ จูเนียร์ ผู้กลายมาเป็นหุ้นส่วนของเขา ในระหว่างที่ทั้งคู่ทำงานให้กับสแตน วินสตัน ปรมาจารย์ด้านเอฟเฟ็กต์ผู้ล่วงลับไปแล้ว ในภาพยนตร์เรื่อง “Aliens” และ “Leviathan”
ทอม วู้ดรัฟฟ์ จูเนียร์ เริ่มต้นสร้างภาพยนตร์ 8 ม.ม. ตั้งแต่เด็กๆ ที่เขาใช้ชีวิตในวิลเลียมสปอร์ต, เพนซิลวาเนีย เขาย้ายไปลอสแองเจลิสและได้เข้าทำงานในบริษัทเอฟเฟ็กต์ที่บริหารงานโดยสแตน วินสตัน โดยเขาได้ทำงานในทริลเลอร์ยอดเยี่ยมของเจมส์ คาเมรอนเรื่อง “The Terminator” นอกจากนั้นแล้ว เขายังได้เป็นผู้อยู่เบื้องหลังสัตว์ประหลาดที่เขาเป็นคนออกแบบเอง ด้วยการแสดงในภาพยนตร์หลายเรื่องเช่น “Monster Squad,” “Pumpkinhead” และ “Alien vs. Predator”
ที่เอดีไอ วู้ดรัฟฟ์และกิลลิสได้ร่วมกันออกแบบให้กับภาพยนตร์หลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น “Jumanji,” “Scary Movie 3,” “Looney Tunes: Back in Action,” “Evolution,” “Bedazzled,” “Alien Resurrection,” “The X Files,” “The Santa Clause 3,” “Zodiac,” “Elektra,” “Spider-Man 2,” “Spider-Man” และ “Panic Room”
เทรเวอร์ ราบิน (คอมโพสเซอร์) เป็นที่ต้องการตัวในฐานะนักแต่งดนตรีประกอบภาพยนตร์ โดยเขาได้ทำงานในภาพยนตร์ที่กำลังจะลงโรงและเพิ่งลงโรงหลายเรื่องเช่น “G-Force,” “12 Rounds,” “Get Smart,” “National Treasure: Book of Secrets,” “The Guardian,” “Hot Rod” และ “Gridiron Gang” เมี่อเร็วๆ นี้ เพลงธีมของเขาจาก “Remember the Titans” ได้ถูกใช้ระหว่างสุนทรพจน์ของบารัค โอบามาที่งานประชุมพรรคเดโมแครทและสุนทรพจน์ประกาศชัยชนะหลังการเลือกตั้งของเขาด้วย
นักดนตรีชาวเซาธ์แอฟริกาคนนี้เริ่มต้นจากการเป็นนักกีตาร์ร็อคให้กับวงดนตรีหลายวง ก่อนที่จะร่วมงานกับ เยส วงดนตรีร็อคระดับคลาสสิกในปี 1994 ในการออกอัลบัมฮิตสามชุดคือ “90125” (ซึ่งมีซิงเกิลของราบินในชื่อ “Owner of a Lonely Heart”), “Big Generator” และ “Talk” เขาออกจากวงในปี 1994 เพื่อหันไปแต่งดนตรีประกอบภาพยนตร์ และท้ายที่สุด เขาก็ได้แต่งดนตรีประกอบให้กับภาพยนตร์เรื่อง “Con Air,” “Armageddon,” “Enemy of the State,” “Gone in Sixty Seconds,” “The 6th Day,” “The Banger Sisters,” “Bad Company” และ “National Treasure”