กรุงเทพฯ--10 มี.ค.--สหมงคลฟิล์ม
Shinjuku Incident ถือว่าเป็นผลงานที่นำเอาสองผู้มีอิทธิพลแห่งเกาะฮ่องกงมาร่วมงานกันเป็นครั้งแรก ระหว่างดาราเอเชียที่มีชื่อเสียงโด่งดังระดับโลกอย่าง เฉินหลง และหนึ่งในผู้กำกับชั้นนำบนเกาะฮ่องกงอย่าง เอ๋อตงซิน โดยที่ถึงแม้ว่า เฉินหลง จะแสดงหนังมามากกว่า 4 ทศวรรษ แต่นี้เป็นครั้งแรกที่เขาจะถูกนำเสนอในมุมมองที่ต่างออกไป ซึ่งผู้ชมอาจไม่เคยเห็นเขามาก่อน โดยนี้เป็นการร่วมมือกันสร้างระหว่างสามประเทศได้แก่ ฮ่องกง, จีน และญี่ปุ่น โดยมันจะนำผู้ชมเข้าไปสัมผัสโลกแห่งแสงสีย่านชินจูกุในมหานครโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น และสภาพเมืองที่ขัดสนและแเร้นแค้นในเขต ซูโจว และ ฉางชุ้น ประเทศจีน
Shinjuku Incident เป็นเรื่องของชาวจีนที่อพยพเข้ามาในย่านชินจูกุ ที่มีแหล่งช้อปปิ้งและแหล่งบันเทิงอันเลื่องชื่อที่สุดแห่งหนึ่งในโลก โดย เฉินหลง รับบทเป็นคนขับรถแทร็คเตอร์ชาวจีน ที่เดินทางมาที่โตเกียวเพื่อตามหาแฟนสาวที่หายไป (ซู จิงเล่ย) ซึ่งท้ายที่สุดแล้วเขาก็พบว่าเธอแต่งงานกับหัวหน้าแก๊งค์ยากูซ่าไปเสียแล้ว
เขาก็ได้เกี่ยวพันกับแก๊งค์ยากูซ่าใต้ดิน ที่แผ่ขยายควบคุมอำนาจไว้ทั่วชินจูกุ โดยเขาต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดของตัวเอง ซึ่งในที่สุดแล้ว เขาก็ได้ตัดสินใจนำชาวจีนอพยพคนอื่น ต่อสู้เพื่อสิทธิในการเป็นอยู่บนผืนแผ่นดินนี้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาได้โอนถ่ายอำนาจให้กับเพื่อนร่วมหมู่บ้านและสมาชิกรุ่นต่อไปอย่าง เจี๋ย (แดเนียล วู) สถานการณ์ก็ดูจะเปลี่ยนไปอย่างไม่มีวันหวนคืน
Shinjuku Incident เป็นภาพยนตร์ที่ทั้ง เอ๋อตงซิน และ เฉินหลง ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า นี้เป็นโปรเจ็คที่พวกเขารู้สึกภูมิใจมากที่สุดในอาชีพของตัวเอง โดยเฉพาะ เอ๋อตงซิน ที่ได้มาเล่าถึงการเดินทางของโปรเจ็คนี้ รวมถึงแรงบันดาลใจของเขามาให้พวกเราฟังกันอย่างหมดเปลือก
สารจากผู้กำกับ
Shinjuku Incident คือโปรเจ็คที่ใช้เวลาบ่มเพาะอยู่ในหัวสมองผมมาอย่างยาวนาน ในการทำให้มันเกิดขึ้นมาเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา อย่างไรก็ตาม มันก็ยังมีสิ่งอื่นที่สำคัญไปกว่าระยะเวลา เพราะสำหรับผมแล้ว การได้ออกไปค้นหาข้อมูลดูจะน่าสนใจมากขึ้น เมื่อเรื่องราวที่เกิดขึ้นยังคงเกิดขึ้นอยู่ทุกวันจนถึงปัจจุบัน
ประมาณปี 1997-1998 ผมได้เห็นบทความในหนังสือพิมพ์ ที่ตีแผ่ชีวิตของผู้ลี้ภัยที่พำนักอาศัยอยู่ในญี่ปุ่น มันเล่าถึงกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่รวมตัวกันเพื่อสร้างสังคมขึ้นมาในสถานที่ที่พวกเขาไม่คุ้นเคย ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่หัวข้อที่ดูแปลกใหม่แต่อย่างใด แต่ด้วยความที่ญี่ปุ่นคือประเทศที่ไม่เหมือนกับที่อื่น ทำให้ผู้อพยพมีความยากลำบากที่จะฝังรากใหม่ลึกลงไป ซึ่งสาเหตุก็มาจากการที่ชาวญี่ปุ่นมีความรู้สึกต่อต้านพวกผู้อพยพอย่างรุนแรงนั้นเอง
หนึ่งในหลายสิ่งที่ทำให้ผมสนใจ ในขณะที่ตัวเองได้ลงไปหาข้อมูลสำหรับการเขียนบทภาพยนตร์ ก็คือการได้รู้ว่าธรรมชาติของมนุษย์นั้นเปลี่ยนแปลงไปน้อยเพียงแค่ไหน หรือกระทั่งเราอาจจะไม่รู้สึกว่ามันเปลี่ยนไปเลย เพราะตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผู้คนมักจะย้ายถิ่นฐานไปแหล่งที่มีเงินหรือเศรษฐกิจเฟื่องฟู ผมไม่ได้พูดถึงแค่ชาวเอเชียเท่านั้น แต่ยังรวมถึงคนยุโรปอีกด้วย และเมื่อผู้อพยพเหล่านี้ได้เริ่มตั้งถิ่นฐานและพยายามเอาตัวให้รอด พวกเขาก็จะรวมตัวกันและพัฒนากลุ่มให้อยู่ในรูปแบบขององค์กรในที่สุด
จากการทำงานในภาพยนตร์เรื่องนี้ ทำให้ผมรู้สึกตระหนักว่า ไม่ว่าเทคโนโลยีมันจะก้าวล้ำไปมากแค่ไหนจากเมื่อ 3,000 ปีที่แล้ว พฤติกรรมของพวกเราก็ยังคงเป็นเหมือนเดิมและจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ผมคิดว่าผู้ชมคงจดจำหลายๆสิ่งใน Shinjuku Incident ได้ ที่ประสบการณ์ส่วนตัวของพวกเขาอาจจะสอดคล้องกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นอยู่ในภาพยนตร์เรื่องนี้
ประวัติและผลงาน
เอ๋อตงซิน คือผู้กำกับ/นักแสดง/ผู้เขียนบท และผู้กำกับภาพที่มีพรสวรรค์ที่สุดคนหนึ่งของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของฮ่องกง เขาเกิดเมื่อปี 1957 โดยช่วงยุค 40 นั้น พ่อของเขาคือผู้อำนวยการสร้างหนัง ส่วนแม่เป็นนักแสดงชื่อดังในเซี่ยงไฮ้ อันเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของจีน ในขณะที่ เจียงต้าเหว่ย พี่ชายของเขาก็เป็นนักแสดงผู้คว้ารางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมที่เทศกาลภาพยนตร์ Asian Pacific ครั้งที่ 16 เมื่อปี 1970 โดยสมาชิกตระกูลเอ๋อกว่า 20 ชีวิตได้คร่ำหวอดอยู่ในวงการภาพยนตร์มายาวนานและเหนียวแน่น
ในปี 1975 บริษัท Shaw Brother ของฮ่องกงยกให้ เอ๋อตงซิน เป็นนักแสดงนำชายคนหนึ่งของบริษัท หลังจากนั้นอีก 9 ปีเขาก็ได้แสดงภาพยนตร์ในบทนำกว่า 40 เรื่อง ต่อมาในปี 1986 เขาถึงได้เข้าสู่เส้นทางการกำกับภาพยนตร์ “Lunatics” ผลงานเรื่องแรกของ เอ๋อตงซิน ถูกแบนในฮ่องกงเพราะมันตั้งคำถามที่เปราะบางและสร้างความขัดแย้งในสังคม แต่หลังโต้แย้งและคัดค้านกับทางการ ในที่สุดหนังก็ได้ออกฉายสู่สายตาสาธารณชนและทำเงินได้เกือบ 10 ล้านดอลล่าร์ รวมทั้งสร้างเทรนด์ภาพยนตร์แนวใหม่และต่อมาก็กลายเป็นที่รู้จักในฐานะ 1 ใน 10 ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมแห่งปี 1986 และยังถูกเสนอเข้ารางวัล Hong Kong Film Awards ถึง 5 รางวัล รวมถึงผู้กำกับยอดเยี่ยม
ผลงานเรื่องต่อมาของเขาก็คือ C'est la vie, mon cheri (1994) หนังรักเรื่องเยี่ยมที่สามารถทำลายสถิติรายได้บนตารางบ็อกซ์ออฟฟิศ และคว้ารางวัลอันทรงเกียรติของงาน Hong Kong Film Awards มาได้ถึง 6 รางวัล, Full Throttle (1995), Viva Erotica (1996), Lost in Time (2003) หนังรักสุดประทับใจ นำแสดงโดย จางป๋อจือ และ กู่เทียนเล่อ, One Nite in Mongkok (2004) ที่ทำให้เขาได้รับรางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมของ Hong Kong Film Awards เป็นครั้งที่สอง และล่าสุดคือ Protege (2007) ภาพยนตร์ดราม่า-อาชญากรรม ที่ได้ หลิวเต๋อหัว มาประชันบทกับ แดเนียล วู
เอ๋อตงซิน ได้พิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นแล้วว่าเขาเป็นคลื่นลูกใหม่ที่น่าจับตามอง โดยประสบความสำเร็จทั้งในเรื่องของรายได้และเสียงวิจารณ์มาอย่างยาวนาน และยังสามารถสร้างภาพยนตร์ได้หลากหลายแนว แต่ถ้าเราสังเกตุถึงเครื่องหมายการค้าของเขาแล้ว เราก็จะทราบว่าหัวข้อที่เขาสนใจเป็นพิเศษคือการเล่าเรื่องของกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง และความสัมพันธ์อันซับซ้อนของพวกเขา ที่เราทุกคนอาจเห็นได้ตามท้องถนนอยู่ทุกวัน