กรุงเทพฯ--10 มี.ค.--สหมงคลฟิล์ม
กำหนดฉาย 9 เมษายน 2552
แนวภาพยนตร์ สยองขวัญ
บริษัทผู้สร้าง-จัดจำหน่าย สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล
บริษัทดำเนินงานสร้าง มหาการพิคเจอร์ส
อำนวยการสร้าง สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ
ควบคุมงานสร้าง ยุทธเลิศ สิปปภาค, เอมอร ชนะภัย
กำกับ-เขียนบท ยุทธเลิศ สิปปภาค
กำกับภาพ ยุคนธร มิ่งมงคล
ลำดับภาพ ธวัช ศิริพงศ์
ออกแบบงานสร้าง ศรายุทธ์ พุมเพรา
กำกับศิลป์ คชา เรืองทอง
ออกแบบเครื่องแต่งกาย ศิริวรรณ ก้านชูช่อ
แต่งหน้า บรรจง สุภาษี
แต่งหน้าเอฟเฟ็กต์ ธนาวุฒิ บู่สามสาย
เว็บไซต์หลักภาพยนตร์ www.buppha3.com
ทีมนักแสดง เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์, มาริโอ้ เมาเร่อ, ฉันทนา กิติยพันธ์, สมเล็ก ศักดิกุล,
สุธน เวชกามา, สายเชีย วงศ์วิโรจน์ ฯลฯ
จากภาพยนตร์ที่สร้างความหวาดผวามาแล้วถึง 2 ครั้ง
หฤหรรษ์ความหลอนมาแล้วถึง 2 ครา
สู่ที่สุดแห่งความเสียวไส้ฉบับไตรภาค
“เขา” คนนี้ จะกลับมาพบกับ “เธอ” ที่นี่
“ออสการ์อพาร์ตเม้นต์-ยุคเรโนเวท”
“เมื่อมีรักย่อมมีหวัง” บทกวีสุดซึ้งแห่ง “รักแห่งสยาม” เขาว่าไว้
แต่ “บุปผา ราตรี” เธอไม่ขอซึ้งด้วย
เพราะ “รักของเธอ” มันช่าง “สุดห่วย” ไม่เห็นจะสวยดังบทกวี
เมื่อ “ความหวัง” ถูกแปรเปลี่ยนเป็น “ความเหวอ”
“ความซาบซึ้ง” จึงถูกโละทิ้งเป็น “ความสยอง”
ฤา “รักแห่งสยาม” จะมลายเป็น “รักแห่งสยอง”
ในหนังผีที่การันตี “ความสยองขนหัวลุก” มาแล้วถึง “2 ภาค”
ภาคใหม่นี้...กลับมาพบกันเป็น “ครั้งที่ 2” ของนักแสดงสุดฮ็อตจาก “รักแห่งสยาม”
“เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์” และ “มาริโอ้ เมาเร่อ”
9 เมษายนนี้ เตรียมสั่นประสาทหวาดผวา “ฮา” ละวาด...อีกครั้ง
กับ “รักนองเลือด เชือดไม่เลือกหน้า” ของ “บุปผา” ผีสาวตัวแม่
ที่จะกลับมาเรียกเสียงกรี๊ดลั่น “ออสการ์อพาร์ตเม้นต์” แบบ “ยกกำลัง 3”
รับประกัน “ความเฮี้ยนขั้นเทพ” โดยผู้กำกับตัวพ่อ “ต้อม ยุทธเลิศ”
บุปผารำลึก
(ย้อนระทึกความสยองกับ “บุปผาราตรี 1-2” ภายใน 2 นาที)
บุปผาราตรี (Rahtree: Flower of the Night)
ณ อพาร์ตเม้นต์แห่งหนึ่งย่านใจกลางเมืองที่มักมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างถึง “ผีสาว” นางหนึ่งที่ดีกรีความเฮี้ยน “แร๊งงงงงงงง...” จนเป็นที่หวาดผวาต่อผู้เช่าห้องพักทั้งหลาย เธอวนเวียนอยู่ใน “ห้อง 609” เพื่อรอคอยคนรักที่ทอดทิ้งเธอไปในอดีต
เมื่อโดน “หลอกลวง” อย่างเจ็บช้ำ เธอจึงยังไปไหนไม่ได้และต้องเอาคืนโดย “หลอกหลอน” ทุกคนที่มาเข้ามายุ่งย่ามกับเธอถึงในห้อง
ร้อนถึง “เจ๊สี่” เจ้าของอพาร์ตเม้นต์ที่มีธุรกิจเข้าทรงเป็นอาชีพเสริม ต้องหาวิธีสยบเสียงเล่าลือนี้ให้หมดไป บรรดา “หมอผี” จากทั่วทุกสารทิศจึงถูกเรียกมา “ปราบผีไม่มีอั้น” แต่ก็ไม่วายโดน “ผีสาว” เล่นงานจนเตลิดเปิดเปิงไปตามๆ กัน
ฤา สุดท้ายอพาร์ตเม้นต์แห่งนี้จะกลายเป็นสถานที่ร้างที่เหลือเพียงเสียงร่ำลือถึงผีสาวเฮี้ยนรักที่ไม่มีใครกล้าแม้แต่จะเอ่ยชื่อของเธอ...“บุปผา ราตรี”
บุปผาราตรี เฟส 2 (Rahtree Returns)
ยังหรอก...“ออสการ์อพาร์ตเม้นต์” แห่งนั้น ยังไม่ร้าง และยังเปิดให้บริการและบริหารงานโดย “เจ๊สี่” ดังเดิม แม้จะมีผู้เช่ารายใหม่อยู่ไม่กี่ห้องก็ตาม โดยหารู้ไม่ว่ามันคือ “อพาร์ตเม้นต์ผีสาวเฮี้ยนรัก” ที่วันดีคืนดีก็จะมีผู้พบเห็น “ผีสาว” นางนั้นเข็น “ผีหนุ่มขาด้วน” ออกมาเดินเล่นกันตามลำพัง
“คณะตลกตกอับ” ที่ผันตัวเองมาเป็นโจรปล้นธนาคารหอบเงินหลบหนีตำรวจมากบดานอยู่...ที่นี่
“สาวตาบอดนางหนึ่ง” ที่หมดหนทางในชีวิต กำลังคิดหาสถานที่ฆ่าตัวตาย ก็ได้ย้ายมาอยู่...ที่นี่
ในเมื่อ “คน” ไม่อยู่ส่วนคน รนหาที่มาถึงถิ่น “ผี ณ ห้อง 609”
ว่าแล้ว “ผีหนุ่มสาว” ก็เลยระเบิดแรงอาฆาตจน “เหล่าสมาชิกใหม่” แห่งออสการ์อพาร์ตเม้นต์อลหม่านแตกตื่นหนีจ้ำอ้าวแทบไม่ทัน
เมื่อ “ผีสาวบุปผา” ถึงคราวรีเทิร์นส ก็ไม่มีใครกล้าเมิน “ความเฮี้ยนสยอง” ของเธอไปได้
บุปผากลับมา อาละวาด “รักเลือดสาด”
ท่ามกลางความเงียบสงบของอพาร์ตเม้นต์ชื่อดังแห่งหนึ่ง ภายในห้อง 609 มีบางสิ่งบางอย่างกำลังจะถูกปลุกให้กลับมา “เฮี้ยนสยอง...ยกกำลังสาม”
ณ ออสการ์อพาร์ตเม้นต์ ยุคเรโนเวท บริหารงานโดย “เจ๊สาม” (ฉันทนา กิติยพันธ์) พี่สาวของเจ๊สี่ที่เสียชีวิตไปแล้ว หลังปรับปรุงใหม่ครั้งใหญ่ เจ๊สามก็เกิดพุทธิปัญญาจัดการเปิดชั้น 3 ของอพาร์ตเม้นต์ให้เป็น “บ่อนพนันเถื่อน” แบบลับๆ มันซะเลย
ในขณะเดียวกัน “หรั่ง” (มาริโอ้ เมาเร่อ) หนุ่มนักวาดการ์ตูนเรื่องผีๆ ที่สามารถมองเห็นผีได้จริง ก็ย้ายเข้ามาอยู่ที่ “ออสการ์อพาร์ตเม้นต์” ด้วยเหตุจำเป็นบางอย่าง เพียงแค่ไม่กี่วัน เขาก็มีโอกาสได้พบกับ “บุปผา” (เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์) หญิงสาวใน “ห้อง 609” ที่เหมือนเป็นรักแรก (ข้ามรุ่น) ของเขา
คงเป็นด้วย “ความรักบังตา” หรั่งจึงไม่อาจรู้ได้ว่า “หญิงสาว” ที่เขาหลงรักเป็น “ผีสาวเฮี้ยนรัก” ที่เขาต้องพึงระวังไม่เฉียดกรายเข้าใกล้จะดีกว่า
ทันที่ที่เขาก้าวเข้าสู่ห้อง 609 “บุพเพสันนิวาส” ที่หรั่งเคยคิดเมื่อแรกเจอบุปผา มันกลับกลายเป็น “บุปผาอาละวาด” ไปซะงั้น
ทันใดนั้นเองเสียงกรีดร้องของ “บุปผา” ผีสาวตัวแม่ก็ดังโหยหวนขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว
และแล้วเหตุการณ์ “เฮี้ยนขั้นเทพ-โหดสยองนองเลือด-เชือดไม่เลือกหน้า” ก็ถูกบรรเลงขึ้นชุดใหญ่ไล่ตั้งแต่ห้อง 609 จนแตกตื่นไปทั่วทั้งออสการ์อพาร์ตเม้นต์...อีกครั้ง
แท็คทีม “ยุทธเลิศ / เฌอมาลย์ / มาริโอ้” การันตี “สยองคูณสามซูเปอร์เฮี้ยน”
ถ้า “บุปผาราตรีภาคแรก” เปิดซิงความสยองให้คุณ “หลอนลึก” จนนอนไม่หลับ ทวีคูณด้วย “บุปผาราตรี เฟส 2” ที่ยิ่ง “หวาดระทึก-สั่นผวา” จนคุณไม่กล้าหลับตา...แล้วล่ะก็
เตรียมพบ “ความสยองคูณ 3 ซูเปอร์เฮี้ยน” ของผีสาวที่จะมา “เชือด” ไม่เลือกหน้า กระตุกต่อม "ฮาละวาด” เรียกเสียงกรี๊ดให้ออสการ์อพาร์ตเม้นต์แตกตื่น...สยองนองเลือด...ทั่วทุกชั้นอีกครั้ง
เมื่อ "มาริโอ้ เมาเร่อ" ถูกถอดคราบหนุ่มสุดฮ็อต ให้มามองเห็นผีและดันแอบหลงรัก "บุปผา" (พลอย เฌอมาลย์) โดยไม่รู้ว่าเธอเป็นผีสาวเฮี้ยนรัก ณ ห้อง 609 ความสั่นสยองของผีไทยสไตล์ผู้กำกับตัวพ่อ "ต้อม ยุทธเลิศ" จึงกลับมากระตุกต่อมฮือเฮี้ยน-ฮาสยองให้ของขึ้น “ยกกำลัง 3” พร้อมเซอร์ไพร้ส์...เพียบ
“ต้อม-ยุทธเลิศ สิปปภาค” กลับมาปล่อยของ สยองนองเลือดอีกครั้ง
เคยสร้างความหวาดผวาขนหัวลุกทั่วบ้านทั่วเมืองมาแล้วถึง 2 ภาคใน “บุปผาราตรี” (2546) และ “บุปผาราตรี เฟส 2” (2548) หลังจากห่างหายไปนานถึง 4 ปี มาปีนี้ผู้กำกับมากฝีมือ “ยุทธเลิศ สิปปภาค” เลยขอกลับมาปล่อยของสยองขวัญสั่นประสาทอีกครั้งในฉบับไตรภาคกับ “บุปผาราตรี 3.1” ที่จะทำให้คุณกรี๊ดลั่นโรง 9 เม.ย. นี้ แน่นอน
กลับมาทั้งทีก็ต้อง “สยองยิ่งใหญ่” และ “เฮี้ยนเป็นพิเศษ” กันหน่อย ไม่งั้นก็ไม่ใช่ “บุปผาราตรี ฉบับไตรภาค” น่ะสิ
***ปะติดปะต่อเรื่องราว***
คือเราอย่าไปสนใจเรื่องย่อมาก เพราะไม่งั้นมันจะดูหนังไม่สนุกแล้ว เอาเป็นว่าบุปผาราตรีภาค 3 มันยังคงเป็นภาคต่อเนื่องมาจากภาค 1 และ 2 แต่ว่าภาค 3 เนี่ย มันจะเป็นชีวิตของบุปผาครั้งใหม่ที่จนแล้วจนรอดมันก็ยังต้องมาเกิดเรื่องที่ออสการ์อพาร์ตเม้นต์อยู่ดี
คือภาค 1 มันจะเป็นอารมณ์รักเศร้าๆ ของบุปผาจากประสบการณ์ที่เจอ ในภาค 2 ก็ยังเจอกับ ความรักที่ไม่มั่นคงของผู้ชายที่ตัวเองรัก พอมาถึงภาค 3 ความรักของบุปผาเริ่มไม่มีแล้ว พอกันที มันจะเหลือแต่ความแค้น ความโกรธเกรี้ยว ความอาฆาตอะไรพวกนี้ ซึ่งมันเลยทำให้บุปผาภาค 3 เนี่ยจะโหดขึ้น น่ากลัวขึ้น มันจะเป็นภาคแรกที่บุปผาจะฆ่าคน ปกติจะไม่ฆ่าใคร แค่หลอก แต่ครั้งนี้เอาถึงตาย คือเนื้อเรื่องเนี่ยมันจะเข้มข้นมาก มันไม่หลบเลี่ยงไม่หนีความรุนแรง คือมันต้องพุ่งเข้าไปหาตรงนั้น แต่คนดูจะไม่ค่อยรู้สึกอึดอัดมากถึงขนาดรับไม่ได้หรอก เพราะว่ามันจะมีความเป็นคอเมดี้รายล้อมอยู่ ความเป็นโรแมนติกผสมอยู่ด้วย เลี้ยงหนังไปตั้งแต่ต้นจนจบ แต่ความโหดความรุนแรงในภาคนี้เนี่ยมันจะโหดกว่าภาค 1 และ 2 แน่นอนครับ
***บุปผาเปลี่ยนลุค***
ภาคนี้สิ่งที่เปลี่ยนไปของบุปผาคือ บุปผาสวยขึ้นแน่ๆ ซึ่งเราก็นึกอยากให้ผีบุปผาเนี่ยทำให้ความสวยงามมันดูน่ากลัวได้มั้ย แต่ทั้งหมดก็คือบุปผาจะโหดขึ้นมากๆ จะเล่นของมีคมอันเล็กแต่เจ็บลึก แล้วคนที่รองรับบทโหดเนี่ยคือหน้าหล่อมาริโอ้นี่ล่ะครับ โดนเละครับ คือใครที่หมั่นไส้ว่ามาริโอ้เนี่ยหล่อเกินไป ขอเชิญชมบุปผา 3 ครับ หน้าแหกกันกลางจอครับ สงกรานต์นี้ใครไม่ได้ไปสาดน้ำ ก็เข้ามาสาดเลือดกับความรักของบุปผาได้ครับ รับรองรักคะนองเลือดท่วมจอแน่ๆ
***บุพเพสันนิวาสหรือบุปผาพามาอาละวาด และรักแห่งสยามกำลังกลายเป็นรักแห่งสยอง***
เค้าเรียกว่า ฮ็อตกับฮ็อตมาเจอกัน ซี้ด...มันจะร้อนไปไหน เข้ามากองถ่ายก็ร้อน ร้อนไปหมด (หัวเราะ) จะเรียกว่าบุพเพก็ได้ หรือบุปผาพาเฮ บุปผาพามาก็ได้ เพราะว่าผมก็เพิ่งมานึกได้ว่า เฮ้ย...เค้าก็เคยเล่นด้วยกันนี่หว่า แต่ตอนนั้นเป็นพี่น้องกัน แต่ช่วงนี้มันเกิดความคิดที่ว่า มันจำเป็นมั้ยที่เป็นแฟนกันต้องอายุเท่ากัน หรือผู้ชายต้องอายุมากกว่า นี่มันปีไหนแล้ว นี่มันโลกสมัยไหนแล้ว แล้วบุปผา 3 มันพูดถึง 10 ปีในอนาคตอะไรอย่างงี้ ผีแก่รักโคอ่อน (หัวเราะ) เอ้ย...ไม่ใช่ มันเป็นรักร่วมสมัย พูดถึงรักต่างวัยไม่พอ ยังเป็นรักต่างภพอีก อันนี้ก็คือแกนเรื่องของบุปผาภาค 3 คือคนกับผีจะรักกันยังไง
***ออสการ์อพาร์ตเม้นต์ฉบับเรโนเวท ยังสยองเหมือนเดิม***
บรรยากาศในออสการ์ฯ ยังน่ากลัวเหมือนเดิมนะ แต่คนที่นั่นก็จะเริ่มรำคาญกันแล้ว (หัวเราะ) ก็ต้องขอโทษขอโพยกันไป การถ่ายทำก็ราบรื่น ไม่มีผีหลอกกลางกอง ไม่มี “ผีโปรโมท!!!”
ในอพาร์ตเม้นต์ก็จะมีเรโนเวท (Renovate) มีการปรับปรุงทาสีใหม่ แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้ความน่ากลัวมันหายไปไหน นึกออกมั้ย คนมันยังอยู่เหมือนเดิม ชีวิตจริงก็ยังเป็นแบบนั้น แต่ตอนนี้ก็ยังคงสภาพนั้น แต่เปลี่ยนเป็นบ่อน เริ่มมีแบบอบายมุขมาแทน เป็นที่เตะตาตำรวจ ไอ้บ่อนเนี่ยมันก็จะดึงเอาดาราเก่าๆ ที่เล่นอยู่อย่าง หมอคง, หมวด-จ่า ขาประจำต้องกลับมาเพราะบ่อนตัวนี้ ซึ่งบ่อนนี้ก็จะมีหลายๆ เซียนพนันมาประลองฝีมือความฮากันด้วย
***เหล่านักแสดงสมทบและรับเชิญ อีกหนึ่งสัญลักษณ์ของบุปผาราตรี***
เอ่อ...จำชื่อดาราไม่ค่อยได้ด้วยสิ (หัวเราะ) มีแม่แดง ฉันทนา กิติยพันธ์ มาเป็น “เจ๊สาม” พี่สาวเจ๊สี่ ซึ่งพอเจ๊สี่เสียชีวิต เจ๊สามก็เข้ามาจัดการออสการ์อพาร์ตเม้นต์แทน ถ้าจำได้ภาคก่อนเจ๊สี่จะเปิดศาลเจ้าพ่อเห้งเจียหลอกชาวบ้านใช่มั้ยครับ มาภาคนี้พี่สาวคือเจ๊สามเล่นเปิดบ่อนเถื่อนเลย (หัวเราะ) แล้วก็มีอีกหลายคนครับทั้งสมทบจากภาคก่อนๆ อย่าง “หมวดอังเคิล-จ่าบุญถิ่น” ก็ยังมีอยู่, “ยามอ่าง เถิดเทิง”, พี่สมเล็กที่เล่นเป็น “หมอคง” ที่เคยเป็นหมอผีปราบบุปผาในภาค 2 เนี่ย พอมาในภาค 3 คาแร็คเตอร์ก็จะเปลี่ยนไปเลย ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเปลี่ยนไปทางไหน และก็ดารารับเชิญใหม่ๆ ฮาๆ ทั้งนั้นต้องลองดูกันครับ
ดารารับเชิญมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ครับ ตามคำขอ ก็ทยอยจัดบทให้ ก็ต้องมานั่งเขียนเพิ่มบทให้ครับช่วยลิสต์มาด้วยครับ เพราะตอนนี้กำลังจะทำทีเดียวเลย 5 ภาคครับ (หัวเราะ) เต๋า สมชาย ตอนแรกก็จะมานะครับ แต่พอดีสะดุด...กำลังเคลียร์กันอยู่ (หัวเราะ) ก็คือนักแสดงรับเชิญทุกคนมาด้วยความอยากสนุกกับเราเท่านั้นเอง ก็เป็นหนังสนุกๆ ที่มีนักแสดงที่ชื่นชอบมารับบทสนุกกันไป มันก็น่าจะเป็นคาแร็คเตอร์ของเรื่องบุปผาไปแล้วมั้งครับ คือไม่รู้สึกหนักใจกับนักแสดงหน้าใหม่หรือดารารับเชิญอะไรเลยนะ แต่จะยินดีเลย คือรู้สึกสนุก เหมือนทุกคนดูบุปผาหมดแล้ว แล้วพอเดินเข้าเซ็ตเหมือนทุกคนรู้จักบุปผา รู้จักคาแร็คเตอร์บุปผาหมดแล้ว คือทุกคนอยากสนุก อยากให้ผีบุปผาหลอก มันเป็นมู้ดสนุกในการทำงานซึ่งก็แปลกดี
***บุปผาเปรียบเสมือนฮีโร่หญิงแห่งยุคสมัยใหม่***
ถ้ามองว่าบุปผาเป็นฮีโร่ก็เป็นได้นะ แต่ไม่รู้ว่าถ้าเป็นฮีโร่ครั้งนี้ หลายคนคงจะมองว่าเป็นฮีโร่ที่แรงไปหรือเปล่า มันเหมือน...ก็อย่างที่ดูภาค 1 ภาค 2 ตัวละครที่ถูกกระทำจะเป็นผู้หญิง แล้วบุปผาก็จะตอบโต้ด้วยวิธีการของบุปผา ซึ่งภาค 3 นี้บุปผาก็จะมีวิธีการตอบโต้ตามประสบการณ์ ตามสัญชาตญาณ ตามสภาพแวดล้อมที่โดนมา หรืออะไรแบบนี้ ซึ่งวงจรชีวิตของบุปผามันจะเป็นอย่างนี้ ความรุนแรงหรือการตอบโต้ของบุปผามันจะรุนแรงขึ้น รุนแรงขึ้น ซึ่งไม่รู้ลิมิตของบุปผา คือรุนแรงที่สุดจะอยู่ได้ด้วยเรตติ้งอะไรนะครับ (หัวเราะ)
ก็ดีใจนะที่บุปผามันมาไกลถึงขนาดนี้ แล้วก็เห็นตัวละครของพลอยที่แข็งแรง มันเป็นตัวละครที่มีเสน่ห์ แต่ขณะเดียวกันพลอยก็ไปเล่นบทอื่นได้ แต่คนอื่นไม่มีใครจะมาเล่นเป็นบุปผาได้ นอกจากพลอย ด้วยความแข็งแรงมันเป็นแบบนั้น เราก็เลยรู้สึกว่า มันเป็นผีที่แข็งแรงในภาพลักษณ์ที่ชัดเจน มันไม่ค่อยมีหรอกผีที่เป็นแบบนี้ คือก็ไม่เข้าใจเหมือนกันนะว่า นางนากยังเป็นได้หลายคน แต่ผีบุปผาเนี่ย พลอยเค้าจองคนเดียวเลย มันก็คงจะเป็นตำนานจนกว่าพลอยจะแก่ตายไป (หัวเราะ) โดยส่วนตัวพี่ชอบหนัง “บุปผาราตรี” แล้วทุกครั้งที่คิดจะทำมันเนี่ย ไอเดียความคิดอะไรต่างๆ มันจะไหลออกมาเสมอ เพราะยิ่งทำมันยิ่งยาก มันตื่นเต้นที่จะทำ คือทุกคนจะไม่รู้ว่าเรื่องราวมันจะเป็นไปยังไง จะออกนอกลู่นอกทางมั้ย หรือมันจะซ้ำรอยเดิมมั้ย ซ้ำรอยเดิมก็ไม่ได้ ต้องคิดอะไรใหม่ๆ ไอ้ตรงนี้แหละที่มันสนุก
***สยองเพลินเกินห้ามใจ ไอเดียบรรเจิดกำเนิด “บุปผาราตรี 3.1 และ 3.2”***
คือเราไม่ได้เขียนบทหนังบุปผาฯ มานานมาก พอมาเขียนอีกทีก็เลยมันมือไปหน่อย เขียนแล้วมันสนุก มันก็เลยยาวตัดไม่ลงในตอนเดียว และไม่อยากจะตัดทิ้งเพราะไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้น มันเสียของโดยใช่เหตุ อีกอย่างไม่อยากให้หลุดไปอยู่ภาค 4 เพราะมันเป็นเนื้อหาเดียวกันกับภาค 3 ก็เลยคุยกับเสี่ยเจียงว่าจะแบ่งเป็น 2 ตอนคือ 3.1 กับ 3.2 ดีกว่า เสี่ยเค้าก็โอเค ก็ไม่มีปัญหาอะไร ตอนแรก 3.1 จะได้ดูกัน 9 เมษานี้แล้ว ส่วนอีกตอน 3.2 คงห่างกันแค่ 3-4 เดือนเอง ได้ดูภายในปีนี้แน่ๆ ครับ ภาค 3 ก็เลยต้องแบ่งเป็นสองตอน ความสยองกับดารารับเชิญยังมากันเพียบเหมือนเดิมครับ ต้องลองดูกัน แฟนๆ บุปผาน่าจะชอบกันครับ
ประวัติผู้กำกับตัวพ่อ “ต้อม ยุทธเลิศ สิปปภาค”
จากผลงานการกำกับภาพยนตร์มาตลอดเกือบ 10 ปีอย่าง มือปืน/โลก/พระ/จัน (2544), กุมภาพันธ์ (2546), บุปผาราตรี (2546), สายล่อฟ้า (2547), บุปผาราตรี เฟส 2 (2548), กระสือวาเลนไทน์ (2549), โกยเถอะเกย์ (2550), รัก|สาม|เศร้า (2550) และ อีติ๋มตายแน่ (2550) พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า “ต้อม-ยุทธเลิศ สิปปภาค” เป็นผู้กำกับภาพยนตร์ไทยที่มีแบบฉบับการทำงานเป็นของตนเองจนยากที่จะมีใครเลียนแบบได้ เขาเป็นหนึ่งในผู้กำกับน้อยคนของวงการที่มักจะถูกจับตามองอยู่เสมอเมื่อมีผลงานใหม่ๆ ออกมา และถือว่าประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งกับความสามารถในการเขียนบทและกำกับภาพยนตร์หลากหลายแนวทั้งตลก, แอ็คชั่น, สยองขวัญ, ดราม่า และโรแมนติก ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จทั้งทางด้านคำวิจารณ์และรายได้
ล่าสุด เขากลับมาสยองอีกครั้งกับ “บุปผาราตรี ฉบับไตรภาค” ภาพยนตร์สยองขวัญคูณสามซูเปอร์เฮี้ยนที่จะมาทำให้คุณได้ “หลอนขั้นเทพ” แน่นอน
ประวัติการศึกษา
ปี 2527-2530 วิทยาลัยช่างศิลป์ (College of Fine Arts)
ปี 2530-2534 ปริญญาตรี คณะมัณฑนศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร (Interior Design, Silpakorn University)
ปี 2536-2538 ศึกษาต่อด้านศิลปะที่ The Art Students League of New York (Fine Arts) และเรียนรู้ด้านภาพยนตร์จากการอ่านด้วยตนเองที่ร้านหนังสือใหญ่อย่างบาร์นส์แอนด์โนเบิล (Barnes and Noble)
ผลงานการกำกับภาพยนตร์
ปี 2541 เขียนบทเรื่อง โอเนกาทีฟ ที่แกรมมี่ฟิล์มนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง รักออกแบบไม่ได้ ที่ได้รับคำชื่นชมและกล่าวขวัญถึงทุกวันนี้
ปี 2544 แจ้งเกิดอย่างเต็มตัวจากการเขียนบทและกำกับภาพยนตร์เรื่องแรกอย่าง มือปืน/โลก/พระ/จัน ที่กวาดรายได้ไปกว่า 120 ล้านบาท
ปี 2546 เรียกเสียงฮือฮากับการเขียนบทและกำกับภาพยนตร์โรแมนติกดราม่าเรื่อง กุมภาพันธ์ ที่เดินทางไปถ่ายทำไกลถึงนิวยอร์ค
ปี 2546 ประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องกับการเขียนบทและกำกับภาพยนตร์สยองขวัญไม่ซ้ำแบบใครเรื่อง บุปผาราตรี ที่กวาดรายได้ไปเกือบ 50 ล้านบาท
ปี 2547 ตามติดด้วยการเขียนบทและกำกับ สายล่อฟ้า ภาพยนตร์กั๊ก โรแมนติก แอ็คชั่น คอเมดี้ ที่กวนได้ใจกวาดรายได้ไปถึง 50 ล้านบาท
ปี 2548 สานต่อต้นฉบับความสยองขวัญด้วยการเขียนบทและกำกับภาพยนตร์เรื่อง บุปผาราตรี เฟส 2 ที่กวาดรายได้แซงหน้าภาคแรกอย่างถล่มทลายไปถึง 70 ล้านบาท
ปี 2549 พลิกคาแร็คเตอร์กระสือสาวในเรื่องราวความรักที่หวานปนสยองได้อย่างลงตัวกับการเขียนบทและกำกับเรื่อง กระสือวาเลนไทน์
ปี 2550 สร้างปรากฏการณ์ครั้งยิ่งใหญ่ในเรื่องรักผิดผีของสองคาวบอยหนุ่ม ณ ปั๊มน้ำมันร้างได้อย่างฮาสนั่นเมืองกับการเขียนบทและกำกับเรื่อง โกยเถอะเกย์
ปี 2551 กลับมาสร้างความซาบซึ้งตรึงใจด้วยการเขียนบทและกำกับภาพยนตร์รักน้ำตารินเรื่อง รัก|สาม|เศร้า ที่ส่งให้ “ก้อย-รัชวิน วงศ์วิริยะ” คว้ารางวัลสุพรรณหงส์สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมไปครองได้อย่างสวยงาม
ปี 2551 แท็คทีมกับเดี่ยวไมโครโฟนตัวพ่อ “อุดม แต้พานิช” ที่รับหน้าที่เขียนบทและแสดงนำในภาพยนตร์โรแมนติกปนขำที่บ่มเพาะมากว่า 3 ปี เรื่อง อีติ๋มตายแน่ (งานนี้ยุทธเลิศขอกำกับอย่างเดียว)
การคืนบัลลังก์ครั้งสำคัญของ “ผีสาวตัวแม่” ขอกลับมา “เชือดไม่เลือกหน้า”
ผีตัวไหนๆ ก็ต้องหลบไปให้ไกล เมื่อความเสียวไส้ฉบับ “ผีบุปผา” ผีสาวตัวแม่ของ “พลอย เฌอมาลย์” กำลังจะกลับมาสั่นประสาทหวาดผวาจนคุณต้องขนหัวลุกไปอีกครั้ง
คราวนี้ผีบุปผาจะมาในโหมด “สวยขึ้น สาวขึ้น โหดขึ้น สยองขึ้น” เข้าสู่นิยาม “สวยสยองยกกำลัง 3” ใน “บุปผาราตรี 3.1”
“ครั้งนี้บุปผาก็จะเปลี่ยนไปจาก 2 ภาคแรกค่อนข้างเยอะนะคะ เพราะอย่างภาคแรก บุปผาเค้าจะเหมือนเป็นจุดเริ่มต้นว่าทำไมต้องมาหลอกหลอนอะไรอย่างนี้ บุปผาก็จะโดนกระทำไว้ซะเยอะนะคะ พอกลับมาภาคนี้ก็จะโหดร้ายมากขึ้น มีความแค้น ความอาฆาต ความดุดันมากขึ้น แต่หนังเรื่องนี้ก็ยังคงความตลกเหมือนเดิม มุขที่แบบว่าเสียดสีเรื่องราวอัพเดทของประเทศไทยก็ยังมีอยู่ แล้วที่มีเพิ่มเข้ามาก็คือมีเรื่องความรักโรแมนติกเข้ามาด้วย
ภาคนี้ก็ขอสวยไว้ก่อนค่ะ (หัวเราะ) ด้วยความที่พลอยคุยกับพี่ต้อมว่าม้าเต่อมาในภาคแรกแล้ว พอภาคสองก็เป็นผมบ๊อบนะคะ ภาคสามนี้พลอยผมยาวพอดี ก็เลยเสนอพี่ต้อมว่าผมยาวแล้วมันก็ดูจิตๆ เหมือนกันนะ เวลาผมยุ่งๆ ยีให้ฟูๆ มันก็จะดูโหดดี แล้วก็ Request ขอปัดขนตาด้วยค่ะ (หัวเราะ) มีปัดขนตาให้ตาเป็นประกายปิ๊งมากขึ้น ก็ขอนิดนึง ผมก็จะเป็นผมยาว ตอนแรกพี่ต้อมจะจับใส่วิก แต่พลอยคิดว่าน่าจะเปลี่ยนเป็นผมยาวมันจะได้ดูน่ากลัวๆ หน่อย เวลาอาละวาดฟันคน ผมก็จะกระจุยกระจายแบบดูโหดดีค่ะ เพราะว่าเวลาพลอยใส่ลิกผมบ๊อบแล้วมันจะน่ารักไป มันดูเหมือนตัวการ์ตูนอากิโกะน่ะค่ะ
พลอยรู้สึกว่าบุปผานี่มันต้องมี Sex Appeal นิดนึงนะคะ ถึงจะน่าดึงดูด น่าสนใจนะคะ ด้วยความที่มันก็ดูจิตๆ อยู่แล้ว ก็เลยขอให้ดูสวยขึ้นมานิดนึง แต่ก็ยังมีเวอร์ชั่นที่ต้องแต่งเอฟเฟ็คต์ปากฉีกกรามฉีกห้อยลงมาครึ่งหนึ่งเลย หน้าก็จะเป็นรอยเขียวๆ ช้ำๆ อยู่ดีนะคะ ภาคนี้ยิ่งสวยขึ้นก็จะยิ่งโหดเฮี้ยนมากขึ้น มีความอาฆาตแค้นมากขึ้นหลายเท่าเลยค่ะ
ความน่าสนใจของบุปผาภาค 3 พลอยว่าน่าสนใจมากเลยนะคะ บุปผาราตรีกลับมาครั้งนี้ เราจะมีความสนุกมากกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นมุขตลก มุขอัพเดทมากๆ หรือมุขที่เกิดขึ้นในยุคสมัยนี้ พี่ต้อมก็จะเอามากัดมาเหน็บให้เราได้ขำกันนะคะ แล้วก็ความน่ากลัวก็จะน่ากลัวมากขึ้น แล้วก็ไม่ใช่เป็นแบบการ์ตูน แต่ว่าความเป็นตะลึงตึงโป๊ะตกใจมันก็ยังมีอยู่ ความขำยังมีอยู่ แต่ว่าความน่ากลัวจะเพิ่มมากขึ้น โหดมากขึ้น ดูไปแล้วก็ต้องคิดกันว่า บุปผานี่มันโหดจังเลยอ่ะ น่ากลัวมากกว่าเดิม ทุกคนต้องกลัวบุปผา แต่ว่าความตลกความสนุกสนานก็จะมีเหมือนเดิม มีมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ
ทุกคนก็รอคอยกันมานานแสนนานแล้ว 4 ปีเต็มๆ จากภาค 2 นะคะ รับรองภาคนี้สนุกสนานมีครบทุกรสเลย ไม่ว่าจะเป็นความน่ากลัว สยดสยอง หรือว่าความตลก หรือว่าเรื่องราวเกี่ยวกับความรักนะคะ ก็อยากให้มาดูกัน เพราะภาคนี้พลอยพูดได้เลยว่า แตกต่างจากภาคที่ผ่านมา แล้วก็ครบรส มีนักแสดงมากหน้าหลายตาเพิ่มขึ้นด้วย รวมทั้งยังได้มาริโอ้มาร่วมแสดงด้วย รับรองเข้มข้นมากขึ้นกว่าเดิมแน่นอนค่ะ”
ประวัติย่อ: พลอย เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์ เกิดเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2525 น้องสาวคนเดียวของนักแสดงสาว นุ่น-สินิทธา พลอยเริ่มเข้าวงการจากการถ่ายโฆษณาตอนอายุ 11 ขวบ จากนั้นก็มีงานถ่ายมิวสิควิดีโอและถ่ายโฆษณา เรื่อยมาจนขึ้นแท่นเป็นนางเอกภาพยนตร์และละครมากมายหลายเรื่อง
ด้วยความสามารถที่หลากหลาย เธอผ่านงานในวงการบันเทิงมาอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นละคร, ภาพยนตร์, ถ่ายแบบ, พิธีกร และดีเจ จนปัจจุบันชื่อของเธอสามารถขึ้นแท่น “นักแสดงหญิงแถวหน้าของเมืองไทย” ได้อย่างสมศักดิ์ศรี
ผลงานภาพยนตร์: Goodbye Summer เอ้อเหอเทอมเดียว (2539), สตางค์ (2543), แมนเกินร้อย แอ้มเกินพิกัด (2546), เรื่องรักน้อยนิดมหาศาล (2546), บุปผาราตรี (2546), The Park สวนสนุกผี (2546), บุปผาราตรี เฟส 2 (2548), รักแห่งสยาม (2550), สี่แพร่ง ตอน Last Fright (2551), บุปผาราตรี 3.1 (2552)
เปิดซิง “มาริโอ้ เมาเร่อ” กับความสยองขวัญเลือดสาดขั้นเทพ
แจ้งเกิดเรียกเสียงกรี๊ดทั่วบ้านทั่วเมืองไปกับ “รักแห่งสยาม” เมื่อปีกว่าๆ ที่ผ่านมา หนุ่มสุดฮ็อต “มาริโอ้ เมาเร่อ” กำลังจะกลับมาเรียกเสียงกรี๊ดให้ดังขึ้นอีกหลายเท่า เมื่อเขาเปลี่ยนลุคก้าวข้ามมาลองลิ้มรสความสยองขั้นเทพเป็นครั้งแรกกับภาพยนตร์คูณสามซูเปอร์เฮี้ยนเรื่อง “บุปผาราตรี 3.1”
“ในเรื่องนี้โอ้ก็รับบทเป็น ‘หรั่ง’ นะครับ หรั่งก็เป็นวัยรุ่นคนหนึ่งที่จะมองเห็นโลกในอีกด้านหนึ่งตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก คือมองเห็นผีได้นั่นเองครับ หรั่งจะมีอาชีพเสริมคือวาดการ์ตูนผี และบังเอิญเกิดเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้เขาต้องย้ายเข้ามาอยู่ที่ออสการ์อพาร์ตเม้นต์ แล้วก็มาเจอกับพี่บุปผาที่ตัวเองแอบหลงรักมาตั้งแต่เด็กๆ หลังจากนั้นก็มีเรื่องราวของผีที่ตามมาหลอกหลอนหลากหลายรูปแบบเลยครับ เรื่องนี้โดนฟันด้วยครับ ต้องโดนผีฟันทั้งตัวเลย ก็เป็นครั้งแรกที่ได้เล่นอะไรโหดๆ มันๆ อย่างนี้ ก็สนุกดีครับ เลือดสาดเลยครับ (หัวเราะ)
เรื่องนี้เป็นหนังผีเรื่องแรกของโอ้ครับ ลุคก็จะออกเป็นแนวเซอร์ๆ เป็นเด็กที่ค่อนข้างมีเรื่องอะไรอยู่ในหัวตลอดเวลา เป็นเด็กที่มีปมมาตั้งแต่เด็กเพราะเขาได้เห็นอะไรที่ซับซ้อนมากขึ้นในโลกของวิญญาณครับ เรื่องนี้ต้องเปลี่ยนลุคจากเรื่องก่อนๆ คือเรื่องนี้จะแต่งตัวเซอร์ๆ ได้คุยกับพี่ต้อม เขาก็อยากให้โอ้ลองเล่นอะไรที่แปลกใหม่ดูครับ ก็ตื่นเต้นดีครับ แล้วก็ดีใจที่พี่ต้อมเค้าเลือกเราให้มาทำงานกับเค้าครับ
บรรยากาศในการทำงานกับทีมงานนี้ก็สนุกมากครับ พี่ๆ เขาเป็นกันเองมากเลยครับ ผมรู้สึกดีมากครับ พี่ๆ เค้าดูเหมือนไม่ตั้งใจ แต่จริงๆ เค้าตั้งใจมากครับ ผมทำงานแล้ว เห็นว่าพี่ๆ เค้าเป็นมืออาชีพจริงๆ ครับ แล้วก็ทางกองก็เลี้ยงอาหารดีมากครับ น้ำหนักเพิ่มเลยครับ (หัวเราะ) เพราะกองนี้จะกินตรงเวลามาก พอเที่ยงปุ๊บพี่ต้อมเค้าก็จะพักกองเลยไม่ว่าจะถ่ายถึงไหนก็ตาม
ได้ทำงานร่วมกับพี่ต้อม ก็อย่างที่บอกพี่ต้อมเค้าเป็นผู้กำกับแนวหน้าของไทยนะครับ แล้วก็เป็นผู้กำกับที่ผมชื่นชอบและอยากร่วมงานกับเค้ามาก พอได้มาทำร่วมงานกัน ก็ดีใจมากๆ แล้วเค้าก็จะมีการทำงานสไตล์เค้านะครับ พอเที่ยงคืนปุ๊บ ก็เลิกกองครับ เพราะง่วงครับ (หัวเราะ) โอ้ว่าเป็นการดีนะครับ แบบว่าถ้าเค้าง่วงแล้วเค้าคิดว่ายื้อต่อไปมันก็ออกมาไม่ดี เค้าก็หยุดแค่นั้นครับ เหมือนเค้ารู้ว่าเค้ามาทำอะไร มาถ่ายอะไรแค่ไหน รู้ว่าควรจะถ่ายอะไรก่อนอะไรหลัง เหมือนพี่ต้อมเขาทำการบ้านมาดีมาก เลยทำให้ทุกอย่างลื่นไหล ทำให้เราไม่เหนื่อยเกินไปแล้วก็พยายามให้เราเซฟตัวเองด้วยครับ
จริงๆ โอ้ก็หนักใจตั้งแต่พี่เขาถามว่าอยากลองเล่นเรื่องนี้หรือเปล่า แล้วก็คิดถึงหนังภาคก่อนๆ ที่เราดูมันก็ดีมากแล้วเราก็ชอบมันมาก ก็เลยตั้งใจทำหนังเรื่องนี้ให้เต็มที่ แล้วเราก็ทุ่มสุดตัว ตั้งใจมีสมาธิมากๆ เวลาเล่นครับ การแสดงของโอ้เหรอครับ โอ้ว่าก็พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ นะครับ ทุกครั้งที่เราได้มาเข้าฉากได้มาแสดงในหนังที่เราชอบ ก็มีความสุขมากครับ ทุกวันนี้โอ้ก็รักการแสดงมากขึ้นเรื่อยๆ ก็พยายามทำให้มันดีมากขึ้นเรื่อยๆ ครับ โอ้ก็คาดหวังว่าหนังเรื่องนี้จะถูกใจใครหลายๆ คนแล้วก็อยากให้ติดตามเรื่องนี้เพราะว่าโอ้เล่นเต็มที่เลยครับ”
ประวัติย่อ: หนุ่มลูกครึ่งไทย-จีน-เยอรมนี มาริโอ้ เมาเร่อ เกิดเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2531 อาศัยอยู่เมืองไทยตั้งแต่เล็กจนโต เริ่มเข้าวงการจากการถ่ายโฆษณา และถ่ายแบบในนิตยสารจนกลายเป็นนายแบบวัยรุ่นที่มาแรงที่สุดแห่งยุค ด้วยรูปร่างหน้าตาที่เข้ากับคาแร็คเตอร์ทำให้ผู้กำกับ “มะเดี่ยว-ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล” เลือกเขาให้มารับบท “โต้ง” เด็กหนุ่มวัยค้นหาตัวเองผู้กำลังประสบปัญหาครอบครัวและความรักที่เขาต้องตัดสินใจเลือกทางใดทางหนึ่งให้กับชีวิตของเขาในภาพยนตร์ดราม่าเรื่องเยี่ยมแห่งปี “รักแห่งสยาม” ที่ทำให้เขาได้รับชื่อเสียงและคำชื่นชมอย่างมากมายหลังจากภาพยนตร์เรื่องแรกออกฉาย มาริโอ้ก็โด่งดังเป็นพลุแตก แจ้งเกิดขึ้นแท่น “นักแสดงวัยรุ่นสุดฮ็อตอันดับ 1” ของประเทศอย่างทันทีทันใดจนถึง ณ ขณะนี้
ผลงานภาพยนตร์: รักแห่งสยาม (2550), เฟรนด์ชิพ เธอกับฉัน (2551), ฝัน-หวาน-อาย-จูบ (2551), บุปผาราตรี 3.1 (2552)