กรุงเทพฯ--13 มี.ค.--ปภ.
กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย โดยวิทยาลัยป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ดำเนินโครงการฝึกอบรมให้ความรู้ด้านการรายงานสถานการณ์สาธารณภัยแก่บุคลากรในสังกัด เพื่อเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับระบบการรายงานสถานการณ์สาธารณภัยผ่านโทรศัพท์ โทรสาร และอินเตอร์เน็ต ตลอดจนสามารถวิเคราะห์ ประเมิน ติดตามและรายงานสถานการณ์สาธารณภัยได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว
มีประสิทธิภาพ และเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
นายอนุชา โมกขะเวส อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เปิดเผยว่า การบริหารจัดการสาธารณภัย เพื่อลดความสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สิน หรือบรรเทาความรุนแรงจากภัยพิบัติถือเป็นภารกิจสำคัญของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องดำเนินการอย่างเป็นระบบทุกด้าน
โดยเฉพาะการรายงานสถานการณ์สาธารณภัยที่ต้องอาศัยผู้ปฏิบัติงานที่มีความรู้ ความเข้าใจในระบบการรายงานข้อมูลด้านสาธารณภัย การวิเคราะห์และประเมินสถานการณ์สาธารณภัยได้อย่างถูกต้อง แม่นยำ เพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยสั่งการแก้ไขปัญหาสาธารณภัยได้อย่างเป็นระบบ และมีประสิทธิภาพ ดังนั้น กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
โดยวิทยาลัยป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจึงได้จัดโครงการฝึกอบรมให้ความรู้ด้านการรายงานสถานการณ์สาธารณภัยให้กับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านการรายงานสาธารณภัยของศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ๑๘ ศูนย์เขต และสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด ๗๕ จังหวัด จำนวน ๖ รุ่น รวม ๑๘๖ คน ในระหว่างเดือนมกราคม-กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๒ ณ
วิทยาลัยป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยวิทยาเขต ๖ แห่ง ได้แก่ วิทยาเขตเชียงใหม่ พิษณุโลก ขอนแก่น ปราจีนบุรี ภูเก็ต และสงขลา สำหรับรูปแบบการอบรม แบ่งเป็น การศึกษาอบรมโดยวิธีบรรยาย การสาธิต การรับฟังข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะ และการตอบข้อซักถาม ครอบคลุมขอบเขตวิชาที่ศึกษา ๔ หัวข้อ ดังนี้ ๑)การรายงานสถานการณ์สาธารณภัย
๒)การรายงานข้อมูลสาธารณภัยทางอินเตอร์เน็ต(GIS/MIS) ๓)การรับแจ้งและการรายงานทางสายด่วนนิรภัย ๑๗๘๔ ๔)ปัญหา อุปสรรค และแนวทางแก้ไข ทั้งนี้ การดำเนินโครงการดังกล่าวจะทำให้ผู้ปฏิบัติงานด้านการรายงานสถานการณ์สาธารณภัยมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับระบบการรายงานข้อมูลด้านสาธารณภัยทางโทรศัพท์ โทรสาร และอินเตอร์เน็ต
อีกทั้งยังมีศักยภาพและความพร้อมในการวิเคราะห์ ติดตาม รายงานสถานการณ์สาธารณภัยได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว มีประสิทธิภาพและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้บังคับบัญชาในการวินิจฉัยสั่งการ ควบคุม และระงับสถานการณ์สาธารณภัย และประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ
สามารถให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้อย่างทันท่วงที ซึ่งจะช่วยลดความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินจากเหตุภัยพิบัติได้ในระดับหนึ่ง