ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ด้อยสิทธิชุดใหม่ “ธ. ธนชาต” ที่ระดับ “A”

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday March 19, 2009 07:44 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--19 มี.ค.--ทริสเรทติ้ง บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรและตั๋วแลกเงินของ ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “A+” และคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ด้อยสิทธิชุดเดิมของธนาคารที่ระดับ “A” ในขณะเดียวกันยังจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ด้อยสิทธิชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 2,000 ล้านบาทของธนาคารที่ระดับ “A” ด้วย โดยแนวโน้มอันดับเครดิตยังคงเป็น “Stable” หรือ “คงที่” อันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งซึ่งเป็นผลมาจากความสามารถและประสบการณ์ของผู้บริหารในธุรกิจหลักคือสินเชื่อเช่าซื้อ รวมทั้งเครือข่ายธุรกิจที่ขยายตัวขึ้น และโครงสร้างธุรกิจที่เหมาะสมต่อการสร้างความแข็งแกร่งให้แก่การเกื้อหนุนทางธุรกิจในกลุ่มธนชาต อันดับเครดิตยังได้รับแรงหนุนจากสถานะเครดิตที่แข็งแกร่งของผู้ถือหุ้นเชิงกลยุทธ์รายใหม่คือ Bank of Nova Scotia (BNS) จากประเทศแคนาดาซึ่งถือหุ้นธนาคารในสัดส่วน 48.99% อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งดังกล่าวมีข้อจำกัดจากภาวะเศรษฐกิจและปัจจัยแวดล้อมทางธุรกิจธนาคารพาณิชย์ที่เอื้ออำนวยน้อยลง ตลอดจนความไม่แน่นอนของธุรกิจหลักทรัพย์ และการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงในธุรกิจสินเชื่อเพื่อผู้บริโภคซึ่งอาจเป็นข้อจำกัดในการขยายธุรกิจและการทำกำไรของกลุ่มธนชาต แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนบทบาทของธนาคารในการเป็นผู้ดำเนินธุรกิจด้านการเงินและธนาคารพาณิชย์ที่สำคัญของกลุ่มธนชาต โดยคาดว่าธนาคารจะยังคงสามารถรักษาตำแหน่งทางการตลาดที่แข็งแกร่งในธุรกิจหลักคือการให้สินเชื่อเช่าซื้อได้ต่อไปโดยยังคงความสามารถในการควบคุมคุณภาพสินทรัพย์เอาไว้ได้ อัตราผลตอบแทนที่สูงขึ้นจากความสามารถในการเพิ่มรายได้ค่าธรรมเนียมและการผสานประโยชน์ภายในกลุ่มธนชาตคาดว่าจะช่วยบรรเทาภาระต้นทุนทางการเงินของธนาคารในการขยายเครือข่ายบริการในช่วงของการขยายธุรกิจลงได้ ทริสเรทติ้งรายงานว่า ในช่วงระหว่างปี 2548-2551 ธนาคารธนชาตประสบความสำเร็จในการสร้างเครือข่ายสาขา เครือข่ายเครื่องถอนเงินอัตโนมัติ (เอทีเอ็ม) และหน่วยแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ การใช้ประโยชน์จากเครือข่ายสาขาให้มีประสิทธิภาพมีพัฒนาการอย่างค่อยเป็นค่อยไปดังจะเห็นได้จากสถานะทางการตลาดโดยรวมของกลุ่ม ตลอดจนการกระจายตัวทางธุรกิจ และฐานะทางการเงินที่ดีขึ้นในปี 2551 ในเดือนกรกฎาคม 2550 บริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของธนาคารได้ลงนามในสัญญาร่วมทุนกับ BNS เพื่อลงทุนในธนาคาร มีผลทำให้โครงสร้างผู้ถือหุ้นของธนาคารเปลี่ยนแปลงไป โดย ณ วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2552 ธนาคารมีสัดส่วนการถือหุ้นโดยบริษัททุนธนชาต 50.92% และโดย BNS 48.99% ทั้งนี้ รูปแบบธุรกิจและฐานะทางการเงินของธนาคารได้รับแรงหนุนจากโครงสร้างธุรกิจที่เหมาะสมของธนาคารและการสนับสนุนเชิงกลยุทธ์จาก BNS ธนาคารธนชาตมีความพร้อมเป็นอย่างดีในการประกอบธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์และธนาคารยังบรรลุผลในการพัฒนาธุรกิจที่เกื้อหนุนกันในกลุ่มด้วย การมีกลุ่มบุคลากรด้านสินเชื่อเช่าซื้อที่แข็งแกร่งและระบบปฏิบัติการที่มีประสิทธิภาพช่วยให้ธนาคารสามารถรักษาสถานะผู้ประกอบการรายใหญ่ที่สุดในธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์ จากผลของกลยุทธ์ธุรกิจที่ดีของกลุ่มธนชาตทำให้ฐานะธุรกิจและการเงินของธนาคารและบริษัทในเครือยังคงปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง การนำเสนอผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่รวมหลายบริการไว้ด้วยกันและกลยุทธ์การเสนอผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย (Cross Selling) ช่วยทำให้สถานะทางการตลาดของบริษัทในเครือของธนาคารทั้งในธุรกิจหลักทรัพย์ บริหารกองทุน ลีสซิ่ง ประกันชีวิต และประกันภัยพัฒนาดีขึ้น ณ เดือนธันวาคม 2551 ธนาคารมีมูลค่าสินเชื่อจากงบการเงินรวมจำนวนทั้งสิ้น 276,430 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% จาก 228,986 ล้านบาท ณ เดือนธันวาคม 2550 สินเชื่อเช่าซื้อของธนาคารเติบโตอย่างแข็งแกร่งที่ระดับ 21% หรือเท่ากับ 203,829 ล้านบาท จาก 167,956 ล้านบาท จากมูลค่าสินเชื่อทั้งหมดของธนาคาร สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์มีสัดส่วน 74% ซึ่งอยู่ในระดับคงที่จาก ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2549 ซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์ที่จะคงความเป็นผู้นำในตลาดธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ เมื่อพิจารณาจากงบการเงินรวม ธุรกิจหลักทั้ง 4 ประเภทของธนาคาร (สินเชื่อเช่าซื้อ ประกันชีวิต หลักทรัพย์ และบริหารสินทรัพย์) ช่วยให้ธนาคารสามารถกระจายฐานรายได้ได้อย่างเต็มที่ โดย ณ เดือนธันวาคม 2551 ธนาคารมีฐานรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยคิดเป็นสัดส่วน 49% ของรายได้ทั้งหมด ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 43% ณ เดือนธันวาคม 2550 อันเป็นผลมาจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากธุรกิจประกันชีวิตเป็นส่วนใหญ่ ในส่วนของโครงสร้างเงินทุนนั้น ธนาคารสามารถบรรลุแผนการปรับโครงสร้างทางการเงินด้วยเช่นกัน โดยสามารถขยายขนาดของเงินฝากออมทรัพย์ได้อย่างมีนัยสำคัญโดยมีฐานลูกค้าเงินฝากรายย่อยที่กระจายตัวมากขึ้น ซึ่งเงินฝากออมทรัพย์จัดเป็นแหล่งเงินทุนที่มีเสถียรภาพและต้นทุนต่ำสำหรับธนาคารพาณิชย์ ณ เดือนธันวาคม 2551 เงินฝากของธนาคารมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นทั้งสิ้น 43% จากปี 2550 และมีบัญชีเงินฝากออมทรัพย์มากกว่า 27% ของเงินฝากรวม หลังจากการเพิ่มทุนด้วยการเข้ามาถือหุ้นของ BNS ในเดือนกรกฎาคม 2550 ฐานเงินกองทุนของธนาคารก็มีความแข็งแกร่งขึ้น เห็นได้จากอัตราส่วนของผู้ถือหุ้นต่อสินทรัพย์รวมที่เพิ่มขึ้นจาก 5.9% ในปี 2549 เป็น 7.0% ในปี 2550 อย่างไรก็ตาม สัดส่วนดังกล่าวลดลงเป็น 5.6% เนื่องจากธนาคารมีสินทรัพย์ที่เติบโตเป็นอย่างมากถึง 25.8% ในขณะเดียวกัน อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงก็เพิ่มขึ้นจาก 11.1% เป็น 12.0% และลดลงเป็น 11.18% ในปี 2551 เนื่องจากธนาคารใช้เป็นเงินทุนในการขยายพอร์ตสินเชื่อ การที่ธนาคารมีคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีและมีการตั้งสำรองเผื่อหนี้สงสัยจะสูญที่เพียงพอจึงส่งผลให้อัตราส่วนสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (หนี้จัดชั้นค้างชำระมากกว่า 3 เดือน + ยอดคงค้างสินเชื่อที่ปรับโครงสร้างหนี้ + สินทรัพย์รอการขาย) ต่อเงินกองทุนและสำรองเผื่อหนี้สงสัยจะสูญของธนาคารอยู่ในระดับเพียง 0.3 เท่า ซึ่งเพียงพอต่อการรองรับความเสี่ยงในการดำเนินงานที่อาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยแวดล้อมทางธุรกิจ — จบ ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) (TBANK) อันดับเครดิตองค์กร: คงเดิมที่ A+ อันดับเครดิตตราสารหนี้: ตั๋วแลกเงิน 1,200 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2552 คงเดิมที่ A+ TBANK155A: หุ้นกู้ด้อยสิทธิ 5,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2558 คงเดิมที่ A หุ้นกู้ด้อยสิทธิในวงเงินไม่เกิน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2562 A แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ