กรุงเทพฯ--25 มี.ค.--บลจ.ไทยพาณิชย์
นางโชติกา สวนานนท์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยถึงนโยบายของบริษัทฯในปี 2552 ว่า บริษัทฯจะสานต่อนโยบายเดิม พร้อมเพิ่มศักยภาพและสร้างความแข็งแกร่งให้กับบริษัทในระยะยาว โดยจะให้ความสำคัญกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นลูกค้า ผู้ขายหน่วยลงทุนและพนักงาน เพื่อมอบผลประโยชน์สูงสุดแก่ผู้ลงทุน
นางโชติกากล่าวว่า จากประสบการณ์การทำงานมากว่า 13 ปี ในธุรกิจกองทุน ทำให้เล็งเห็นว่าปัจจัยสำคัญในการผลักดันให้องค์กรก้าวสู่ความสำเร็จคือ บุคลากรที่นอกจากจะต้องมีความรู้ความสามารถแล้ว ยังต้องทำงานในลักษณะทีมเวิร์คภายใต้วัฒนธรรมองค์กรเดียวกัน และที่สำคัญคือต้องมีหัวใจของการบริการ
ดังนั้น ในการเข้ามาบริหารงานที่บลจ.ไทยพาณิชย์ จึงได้วางนโยบายการดำเนินธุรกิจเชิงรุก โดยจะให้ความสำคัญกับการแบ่งกลุ่มลูกค้าอย่างชัดเจน โดยแบ่งเป็น กลุ่มลูกค้ารายย่อย ลูกค้าสถาบัน และ ลูกค้าที่มีเงินลงทุนสูง (High Networth) โดยมีแผนงานเพื่อรองรับกับการเติบโตอย่างมั่นคง 4 ด้าน ได้แก่ ด้านที่หนึ่ง คือ การพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ถือหน่วยอย่างต่อเนื่อง โดยจะเน้นกองทุนประเภทความเสี่ยงต่ำแต่ยังสามารถให้อัตราผลตอบแทนที่สูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารพาณิชย์
ด้านที่สองคือ การเพิ่มศักยภาพทีมงานให้มีความแข็งแกร่งมากขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าแต่ละกลุ่ม โดยเฉพาะความสามารถในการให้คำปรึกษาด้านการจัดการลงทุน (Investment Management) เพื่อให้คำแนะนำลูกค้าในการจัดสรรเงินลงทุน (Asset Allocation) ส่วนลูกค้ารายย่อยจะมีทีมงานออกไปให้คำแนะนำด้านการลงทุนผ่านพนักงานสาขาของธนาคาร
สำหรับการดำเนินงานด้านที่สาม คือ การพัฒนาช่องทางการจำหน่ายใหม่ๆ เพิ่มจากการขายผ่านสาขาของธนาคารไทยพาณิชย์เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นตัวแทนขายหรือ Selling Agent ลูกค้ากลุ่ม Private Wealth ลูกค้านิติบุคคล และสถาบัน รวมไปถึงการพัฒนาช่องทางอิเล็คทรอนิคส์ (E-Channel) พร้อมพัฒนาบริการต่างๆในช่องทางดังกล่าวเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้ามากขึ้น
“ในส่วนของแผนงานด้านที่สี่ คือ การสร้างองค์กรให้มีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น โดยจะพัฒนากระบวนการทำงานเพื่อให้สอดรับกับการดำเนินธุรกิจและเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ นอกเหนือจากการบริหารจัดการที่ดีแล้ว ยังต้องมีวัฒนธรรมองค์กรที่เน้นการทำงานเป็นทีม มีความรับผิดชอบ ซื่อสัตย์ และ มีคุณธรรม” นางโชติกากล่าวพร้อมเสริมว่า
ในช่วงที่ผ่านมาธนาคารไทยพาณิชย์ได้ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ทั้งด้านการขายผ่านสาขาเกือบ 1,000 สาขาทั่วประเทศ รวมทั้งสนับสนุนด้านการบริการผ่านระบบที่สมบูรณ์แบบ เช่น การทำธุรกรรมออนไลน์ผ่าน SCB Easy Net อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ มีแผนจะออกบริการใหม่ๆ รวมทั้งยังสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้ามากยิ่งขึ้น ดังนั้น ในช่วงต่อไปก็จะเห็นกิจกรรม CRM ที่บลจ.ไทยพาณิชย์จะจัดขึ้นเพื่อลูกค้าแต่ละกลุ่มมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ ในปี 2552 บริษัทฯมองว่า สถานการณ์ด้านธุรกิจกองทุนรวมมีการแข่งขันรุนแรงมากขึ้น เนื่องจากผลิตภัณฑ์ที่ดีและมีความเสี่ยงต่ำจะหายากขึ้น และอีกปัจจัยหนึ่งที่อาจเป็นคู่แข่งในตลาดคือการออกหุ้นกู้ภาคเอกชนที่ให้ผลตอบแทนสูงเพื่อจูงใจนักลงทุนซึ่งอาจตัดสินใจลงทุนโดยตรง อย่างไรก็ตาม บริษัทฯยังคงตั้งเป้าอัตราการขยายตัวของสินทรัพย์รวมในปีนี้อยู่ที่ 20 % ซึ่งเทียบเท่ากับเป้าอัตราเติบโตของธุรกิจกองทุนโดยรวม หรือมีเงินลงทุนใหม่ประมาณ 7.5 หมื่นล้านบาท
ปัจจุบัน บลจ.ไทยพาณิชย์ มีขนาดมูลค่าทรัพย์สินสุทธิภายใต้การบริหารจัดการ 386,512,051,898.56 บาท (เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2551 จำนวน 28,054,619,665.10 บาท) แบ่งเป็นธุรกิจกองทุนรวม มีส่วนแบ่งทางการตลาดอันดับ 1 มีขนาดมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 322,174,895,717.77 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2551 จำนวน 23,835,166,747.86 บาท) ธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ มีขนาดมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 59,823,157,397.70 บาท (เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2551 จำนวน 5,802,914,943.37 บาท) และ ธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลมีขนาดมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 4,513,998,783.09 บาท (ลดลงจากสิ้นปี 2551 จำนวน 1,583,462,026.13 บาท) (ข้อมูล ณ 20 มีนาคม 2552)
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ
ที่ปรึกษาประชาสัมพันธ์
สุนทรี ชินประหัษฐ์ 081-655-2991
สุจิรา วิโรจนะ 081-629-1821 หรือ 083-493-7312