กรุงเทพฯ--15 ก.พ.--ทริสเรทติ้ง
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ยืนยันอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท ทางด่วนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BECL) ที่ระดับ “A-” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตสะท้อนกระแสเงินสดที่บริษัทได้รับอย่างสม่ำเสมอจากผลของความต้องการใช้ถนนในเขตกรุงเทพฯ ที่อยู่ในระดับสูง รวมถึงการเป็นผู้ประกอบการระบบทางด่วนเพียงระบบเดียวที่เชื่อมต่อกับทางพิเศษเฉลิมมหานคร (First Stage Expressway System -- FES) ซึ่งทำให้เกิดโครงข่ายถนนที่เชื่อมโยงกันทั่วกรุงเทพฯ และการมีคณะผู้บริหารที่มีประสบการณ์ นอกจากนี้ การจัดอันดับเครดิตยังคำนึงถึงโครงสร้างหนี้ในปัจจุบันของบริษัทซึ่งกำหนดเวลาชำระหนี้ให้สอดคล้องกับกระแสเงินสดของบริษัท อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากจำนวนหนี้สินที่ยังคงอยู่ในระดับสูง รวมทั้งความไม่แน่นอนของนโยบายรัฐบาลที่เกี่ยวกับระบบการขนส่งในอนาคต และการแทรกแซงของรัฐในการปรับค่าผ่านทาง
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงปริมาณการจราจรที่คาดว่าจะยังคงหนาแน่นอย่างต่อเนื่องซึ่งจะส่งผลให้บริษัทมีกระแสเงินสดที่เพียงพอในการชำระหนี้ ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะยังคงดำเนินนโยบายการลงทุนในอนาคตและจ่ายเงินปันผลอย่างระมัดระวังต่อไป
ทริสเรทติ้งรายงานว่า BECL จัดตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อดำเนินการก่อสร้างและบริหารโครงการทางพิเศษศรีรัช (Second Stage Expressway System -- SES) และส่วนเชื่อมขยายต่างๆ รวมทั้งธุรกิจที่เกี่ยวข้องภายใต้สัญญาโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 2 กับการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) โดยทางพิเศษศรีรัชเป็นทางยกระดับขนาด 6 ช่องจราจร ความยาวทั้งสิ้นประมาณ 38.5 กิโลเมตร แบ่งออกเป็น 4 ส่วน ซึ่งเชื่อมต่อกับทางพิเศษเฉลิมมหานครที่ก่อสร้างและบริหารโครงการโดย กทพ. โครงการดังกล่าวก่อให้เกิดเส้นทางเชื่อมต่อจากศูนย์กลางของกรุงเทพฯ ไปยังทิศเหนือ ตะวันออก ตะวันออกเฉียงเหนือ และตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้เกิดโครงข่ายถนนที่ครอบคลุมพื้นที่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลเพื่อเป็นทางเลือกในการเดินทางของประชาชนเมื่อการจราจรบนถนนปกติหนาแน่น นอกจากนี้ บริษัทยังได้จัดตั้ง บริษัท ทางด่วนกรุงเทพเหนือ จำกัด (NECL) เพื่อให้เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้างและบริหารโครงการทางพิเศษอุดรรัถยา (ทางด่วนสายบางปะอิน-ปากเกร็ด) หรือทางด่วนส่วน C+ ซึ่งมีระยะทางรวม 32 กิโลเมตร ภายใต้สัญญาในลักษณะ Build-Transfer-Operate (BTO) จาก กทพ. เป็นเวลา 30 ปี ปัจจุบันบริษัทถือหุ้นใน NECL ประมาณ 53.33% ของทุนจดทะเบียน
ทริสเรทติ้งกล่าวว่าปัจจัยที่มีผลต่อผลประกอบการของ BECL ได้แก่ปริมาณการจราจร อัตราค่าผ่านทาง และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ซึ่งในระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ปริมาณการจราจรบนทางด่วนมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมาโดยตลอด ถึงแม้ว่าราคาน้ำมันเชื้อเพลิงจะปรับตัวสูงขึ้นอย่างมากในปี 2548 แต่ปริมาณการจราจรบนทางด่วนโดยเฉลี่ยในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2548 ยังคงเพิ่มขึ้น 2.5% เมื่อเปรียบเทียบกับระยะเวลาเดียวกันของปีก่อน เป็น 905,339 คันต่อวัน ทริสเรทติ้งคาดว่าการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของเศรษฐกิจภายในประเทศ รวมทั้งการขยายตัวของที่อยู่อาศัยในเขตปริมณฑล และการจราจรที่ติดขัด จะส่งผลต่อความต้องการใช้ทางด่วนในอนาคต ผลประกอบการของ BECL คาดว่าจะยังคงแข็งแกร่งจากการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของปริมาณการจราจร ตลอดจนการปรับตัวเพิ่มขึ้นของอัตราค่าผ่านทาง และความสามารถของคณะผู้บริหารในการควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน
BECL มีรายได้จากค่าผ่านทางซึ่งได้รับเป็นเงินสด โดยในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2548 บริษัทมีรายได้โดยเฉลี่ย (หลังหักส่วนแบ่งรายได้ให้ กทพ.) 18 ล้านบาทต่อวัน ภาระหนี้ของบริษัทเป็นเงินกู้ระยะยาวโดยมีกำหนดผ่อนชำระหมดภายในปี 2559 ซึ่งสอดคล้องกับความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดของบริษัท ณ วันที่ 30 กันยายน 2548 ภาระหนี้ของบริษัทอยู่ที่ 30,609 ล้านบาท ภาระในการ ชำระหนี้ของบริษัทมีความแน่นอนจากการมีอัตราดอกเบี้ยแบบคงที่และได้รับการกำหนดให้สอดคล้องกับรายได้ของบริษัท อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่เดือนกันยายน 2553 เป็นต้นไป อัตราดอกเบี้ยจะปรับเป็นแบบลอยตัวที่ MLR-2% อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมของบริษัทในปี 2547 อยู่ที่ระดับ 12.94% ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 9.13% ในปี 2546 แม้ว่าภาระหนี้ของบริษัทจะอยู่ในระดับค่อนข้างสูง แต่ก็ได้รับการบรรเทาลงโดยกระแสเงินที่ค่อนข้างสม่ำเสมอและคาดเดาได้ ทริสเรทติ้งกล่าว--จบ--