กรุงเทพฯ--26 มี.ค.--มาสเตอร์คูล อินเตอร์เนชั่นแนล
นายนพชัย วีระมาน กรรมการผู้จัดการ บริษัท มาสเตอร์คูล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายพัดลมไอน้ำหรือระบบทำความเย็นภายนอกอาคาร รวมถึงออกแบบ ติดตั้ง ให้บริการหลังการขาย และบริการให้เช่า โดยใช้ตราสินค้าชื่อ “MASTERKOOL” เปิดว่า บริษัทได้ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับระบบทำความเย็นภายนอกอาคารมาเป็นเวลากว่า 7 ปีแล้ว และมีการพัฒนาและปรับปรุงผลิตภัณฑ์ของบริษัทเพื่อให้ตอบสนองความต้องการของลูกค้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะพัดลมไอน้ำ “มาสเตอร์คูล” ซึ่งเป็นระบบทำความเย็นนอกอาคารที่ใช้เทคโนโลยีแรงดันสูงและหัวฉีดขนาดเล็กมาก ทำให้เกิดอนุภาคขนาดเล็กสามารถดูดความร้อนจากอากาศและระเหยไปอย่างรวดเร็ว ระบบนี้นำความเย็นไปในวงกว้าง 30-50 ตารางเมตร ด้วยความเย็น 5-10 องศาเซลเซียส ที่ได้รับความนิยมจากกลุ่มลูกค้าอย่างแพร่หลาย จนทำให้บริษัทมีฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ในปัจจุบัน แม้ว่าบริษัทฯ จะมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งการให้บริการหลังการขายที่ทำให้ลูกค้าได้รับความสะดวกสบาย จากทีมงานที่มีประสิทธิภาพ และเทคโนโลยีที่มีความทันสมัย จนกระทั้งสามารถตอบสนองความต้องการในรูปแบบต่างๆให้กับลูกค้าได้เป็นอย่างดี แต่บริษัทฯ มีนโยบายที่จะพัฒนาต่อไปอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บริษัทฯให้ความสำคัญในการพัฒนาองค์กรและบุคลากรของบริษัทเพื่อให้มีศักยภาพและเกิดประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น รวมไปถึงการพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆเพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน บริษัทจึงมีความจำเป็นที่จะต้องลงทุนเพิ่มในด้านต่างๆ เพื่อให้สามารถรองรับความต้องการของลูกค้าที่มีหลากหลายและเพิ่มขึ้นด้วย
นายนพชัย กล่าวว่า บริษัทฯ ขอขอบคุณบริษัทร่วมทุน เค-เอสเอ็มอี จำกัด ซึ่งบริหารงานโดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการเงินร่วมลงทุนข้าวกล้า จำกัด ที่ให้ความสำคัญกับการลงทุนในธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก เพื่อให้เกิดการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง และสามารถแข่งขันในอุตสาหกรรมได้ทั้งในและต่างประเทศ บริษัทฯมีความยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่บริษัทร่วมทุน เค -เอสเอ็มอี จำกัด ได้เล็งเห็นถึงศักยภาพ และความสามารถในการดำเนินธุรกิจ จนทำให้ธุรกิจการเติบโตอย่างต่อเนื่องของบริษัท จึงเข้ามาร่วมลงทุนในครั้งนี้
บริษัทฯ จะนำเงินที่ได้จากการร่วมลงทุนครั้งนี้ จำนวน 8.80 ล้านบาทเพื่อใช้ในการพัฒนาเทคโนโลยีและรูปแบบผลิตภัณฑ์ รวมทั้งลงทุนเพื่อปรับพื้นฐานโครงสร้างธุรกิจสำหรับการพัฒนาช่องทางการสร้างรายได้แบบยั่งยืนในอนาคต โดยผู้บริหารบริษัทฯ มีวิสัยทัศน์ที่จะสร้างคุณค่า และรูปแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ ให้กับลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ทั้งนี้ปัจจุบัน บริษัทมีทุนจดทะเบียน 44.40 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้ 10 บาทต่อหุ้น โดยปี 2550 บริษัทมีรายได้รวมเท่ากับ 112.61 ล้านบาท และในปี 2551 มีรายได้รวมเท่ากับ 135.10 ล้านบาท โดยในปี 2552 บริษัทคาดว่าจะมียอดรายได้เพิ่มขึ้นจากปี 2551 กว่าเท่าตัว
นางสาวปฐมาพร ไชยกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการเงินร่วมลงทุน ข้าวกล้า จำกัด ในฐานะผู้บริหารจัดการเงินร่วมลงทุนบริษัทร่วมทุน เค-เอสเอ็มอี จำกัด (K-SME Venture Capital) กล่าวว่า บริษัทฯ ได้ให้ความสำคัญกับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่มีศักยภาพ สามารถแข่งขันในธุรกิจได้ และมีความต้องการเงินทุนเพื่อขยายกิจการ โดยเฉพาะในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจมีการชะลอตัว ที่การหาแหล่งเงินทุนมีความเป็นไปได้น้อย อย่างไรก็ตามบริษัทมีหลักเกณฑ์ในการพิจารณาเลือกลงทุนในบริษัทอย่างเข้มงวด ซึ่งบริษัทฯ หรือธุรกิจที่กองทุนได้เข้าไปร่วมทุนนั้น จะต้องเป็นบริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโตที่สูง และเป็นธุรกิจที่น่าสนใจ เช่นเดียวกันกับบริษัท หรือธุรกิจอื่นๆ ที่กองทุนเคยเข้าไปลงทุน เช่น บริษัทบัณฑิต เซ็นเตอร์ จำกัด โดย K-SME Venture Capital มีนโยบายเข้าร่วมลงทุนประมาณ 10 — 50% ของทุนจดทะเบียนภายหลังการร่วมลงทุน
สำหรับบริษัท มาสเตอร์คูล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ทางบริษัทเห็นว่าเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เป็นธุรกิจที่น่าสนใจ และยังเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมด้วย อีกทั้งมีนโยบายที่จะนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ได้ นอกจากนี้บริษัท มาสเตอร์คูล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เป็นบริษัทที่มีการบริหารจัดการที่ดีตามคุณสมบัติของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่ K-SME Venture Capital จะเข้าร่วมลงทุน โดยในครั้งนี้ K-SME Venture Capital จะร่วมลงทุนประมาณ 8.80 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 9.91% ของทุนจดทะเบียน และเชื่อมั่นว่าจะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนในครั้งนี้ในระดับที่น่าพอใจ และเป็นไปตามเป้าหมายของบลท. ข้าวกล้า
นายสมภพ ศักดิ์พันธ์พนม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทแอสเซทโปร แมเนจเม้นท์ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า การร่วมทุนครั้งนี้ถือว่าได้ประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย ทั้งบริษัท มาสเตอร์คูล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ที่ต้องการเงินลงทุนเพื่อนำไปขยายธุรกิจ รวมไปถึงการสร้างฐานการเงินของบริษัทให้มีความแข็งแกร่งและน่าเชื่อถือจากผู้ถือหุ้นที่เป็นสถาบัน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าบริษัทฯ มีความมั่นคงและมีความสามารถในการแข่งขัน จนได้รับความไว้วางใจจากกองทุน ขณะเดียวกันก็เป็นการสนับสนุนให้เกิดการลงทุนในประเทศ โดยเฉพาะการลงทุนในธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่ยังต้องการเงินลงทุนเพื่อขยายธุรกิจ ตามนโยบายของภาครัฐ รวมทั้งกองทุน K-SME ได้ลงทุนตามนโยบายของกองทุนที่เน้นลงทุนใน SME ที่มีศักยภาพ มีการเติบโตที่ดีและเป็นธุรกิจที่มีความน่าสนใจ รวมไปถึงการลงทุนที่น่าจะได้รับผลตอบแทนในระดับที่ดี
นอกจากนี้บริษัท มาสเตอร์คูล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ยังมีแผนที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ เพื่อนำเงินที่ได้มาขยายธุรกิจเพิ่มขึ้น ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมการและปรับโครงสร้างภายในองค์กรต่างๆ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของการเข้าจดทะเบียน