ฟิทช์ปรับลดอันดับเครดิตของตราสารหนี้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุนที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 (Hybrid Tier 1 Securities) ของธนาคารกรุงไทย

ข่าวเศรษฐกิจ Monday March 30, 2009 10:44 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--30 มี.ค.--ฟิทช์ เรทติ้งส์ บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ ได้ปรับลดอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศของตราสารหนี้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุนที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 (Hybrid Tier 1 Securities) ของ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (KTB) เป็น ‘BB+’ จาก ‘BBB-’ (BBB ลบ) และอันดับเครดิตภายในประเทศของตราสารหนี้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุนที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 เป็น ‘A(tha)’ จาก ‘A+(tha)’ ในขณะเดียวกัน ฟิทช์ได้ประกาศคงอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาว Issuer Default Rating (IDR) ของธนาคาร ที่ ‘BBB+’ แนวโน้มอับดับเครดิตเป็นลบ อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะสั้นที่ ‘F2’ อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศของหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่ ‘BBB’ อันดับเครดิตความแข็งแกร่งทางการเงิน (Individual Rating) ที่ ‘C/D’ อันดับเครดิตสนับสนุนที่ ‘2’ อันดับเครดิตสนับสนุนขั้นต่ำ (Support Rating Floor) ที่ ‘BBB+’ อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ ‘AA+(tha)’ แนวโน้มมีเสถียรภาพ อันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้นที่ ‘F1+(tha)’ และอันดับเครดิตภายในประเทศของหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่ ‘AA(tha)’ การปรับลดอันดับเครดิตของตราสารหนี้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุนที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 เป็นผลมาจากความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของการประกาศงดจ่ายดอกเบี้ยของตราสารหนี้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุนที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 เนื่องจากการชะลอตัวลงอย่างรุนแรงของภาวะเศรษฐกิจ โดยประมาณการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของฟิทช์ คาดว่าเศรษฐกิจของไทยจะหดตัวลง 3.8% ในปี 2552 ทั้งนี้ตามหลักเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย การจ่ายดอกเบี้ยของตราสารหนี้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุนที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 สามารถจ่ายจากกำไรหรือกำไรสะสมของธนาคาร แต่ในปีที่ธนาคารพาณิชย์นั้นมีผลการดำเนินงานขาดทุน การจ่ายดอกเบี้ยจะกระทำได้ก็ต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นรายกรณีไป โดยธนาคารแห่งประเทศไทยจะพิจารณาจากฐานะทางการเงินของธนาคารพาณิชย์ เช่น ฐานะเงินกองทุน ความสามารถในการทำกำไร และระดับกำไรสะสม เป็นต้น ด้วยกำไรสะสมของ KTB จำนวน 37.2 พันล้านบาท มีความเป็นไปได้ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยอาจอนุญาตให้ KTB ประกาศจ่ายดอกเบี้ยตราสารหนี้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุนที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 ถึงแม้ว่าธนาคารจะมีผลการดำเนินงานขาดทุน แต่อย่างไรก็ตามฟิทช์มองว่าด้วยแนวโน้มของผลการดำเนินงานและเงินกองทุนของธนาคารที่อาจอ่อนแอลงอย่างมากในอีกสองปีข้างหน้า ส่งผลให้ความเสี่ยงในการประกาศงดจ่ายดอกเบี้ยตราสารหนี้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุนที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 เพิ่มขึ้น ฟิทช์มองว่าอันดับเครดิตของ KTB มีพื้นฐานมาจากการถือหุ้นใหญ่และการสนับสนุนที่แข็งแกร่งของรัฐบาล รวมทั้งสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งขึ้นของธนาคาร KTB เป็นธนาคารขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศ โดยมีส่วนแบ่งการตลาด 16% และมีกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) ที่จัดตั้งโดยธนาคารแห่งประเทศไทยถือหุ้นในสัดส่วน 55% เมื่อพิจารณาถึงขนาดและความสำคัญของ KTB ต่อระบบการเงินและเศรษฐกิจ รวมทั้งการที่ทางรัฐบาลถือหุ้นใหญ่และมีอำนาจควบคุมธนาคาร ฟิทช์เชื่อว่ามีความเป็นไปได้อย่างสูงที่ธนาคารจะได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐหากมีความจำเป็น แต่อย่างไรก็ตามการสนับสนุนจากภาครัฐอาจจะไม่ครอบคลุมไปถึงหนี้ที่มีลำดับชั้นในการรับชำระคืนที่ต่ำ เช่น ตราสารหนี้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุน KTB มีผลการดำเนินงานที่ปรับตัวดีขึ้นในปี 2551 โดยธนาคารมีกำไรสุทธิ 12.3 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวจากปีก่อนหน้า โดยส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญที่ลดลง ถึงแม้ว่าธนาคารมีผลขาดทุนจากการด้อยค่าของเงินลงทุนในตราสารหนี้ประเภท Collateralized Debt Obligation หรือ CDO จำนวน 2.4 พันล้านบาทในปี 2551 การขยายตัวของสินเชื่อ (เพิ่มขึ้น 9.2% จากปี 2550) และต้นทุนเงินฝากที่ลดลงช่วยให้ KTB สามารถรักษาส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิที่ระดับ 3.6% ในปี 2551 อย่างไรก็ตามผลการดำเนินงานของ KTB คาดว่าจะอ่อนแอลงในปี 2552 เนื่องจากส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยสุทธิที่คาดว่าจะลดลงจากการขยายตัวของสินเชื่อที่ลดลง ในขณะที่แนวโน้มคุณภาพสินทรัพย์ที่อ่อนแอลงอาจส่งผลให้การตั้งสำรองหนี้ที่สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้น เนื่องจากอัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของ KTB ยังคงอยู่ในระดับต่ำที่ประมาณ 41% แม้อัตราส่วนสภาพคล่องของ KTB จะอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ เมื่อเทียบกับธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่อีก 3 แห่ง แต่จากการที่ธนาคารได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล ส่งผลให้ความเสี่ยงในด้านสภาพคล่องของธนาคารลดลงในระดับหนึ่ง KTB มีสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ลดลงมาอยู่ที่ 86 พันล้านบาท (8.3% ของสินเชื่อ) ณ สิ้นปี 2551 จาก 96.8 พันล้านบาท (10.1% ของสินเชื่อ) ณ สิ้นปี 2550 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการตัดสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ออกจากบัญชีและการปรับโครงสร้างหนี้ อย่างไรก็ตามคาดว่าสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของธนาคารจะเพิ่มขึ้นในปี 2552 อัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 และเงินกองทุนรวมในปัจจุบันที่ 10% และ 15% ตามลำดับ คาดว่าจะสามารถช่วยให้ธนาคารรับมือกับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจได้ในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตามอัตราส่วนเงินกองทุนของ KTB อาจปรับตัวลดลงอย่างมาก หากอัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของธนาคารเพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับที่ใกล้กับธนาคารพาณิชย์อื่น หรือ ธนาคารมีการขยายสินเชื่อเพื่อช่วยสนับสนุนให้เศรษฐกิจของประเทศมีเสถียรภาพ ติดต่อ Vincent Milton, พชร ศรายุทธ, กรุงเทพฯ +662 655 4759/61 หมายเหตุ : การจัดอันดับเครดิตภายในประเทศ (National Ratings) ใช้วัดความน่าเชื่อถือของบริษัทในประเทศที่อันดับเครดิตของประเทศนั้นอยู่ในระดับต่ำกว่าอันดับเครดิตระดับเพื่อการลงทุน หรือมีอันดับเครดิตอยู่ในระดับต่ำแม้จะอยู่ในระดับเพื่อการลงทุน อันดับเครดิตของบริษัทที่ดีที่สุดของประเทศจะอยู่ที่ระดับ “AAA” และการจัดอันดับเครดิตอื่นในประเทศ จะเป็นการเปรียบเทียบความเสี่ยงกับบริษัทที่ดีที่สุดนี้เท่านั้น อันดับเครดิตภายในประเทศนั้นถูกออกแบบมาเพื่อนักลงทุนภายในประเทศในแต่ละประเทศนั้นๆ และมีสัญลักษณ์ที่กำหนดไว้ต่อท้ายจากอันดับเครดิตสำหรับแต่ละประเทศ เช่น “AAA(tha)” ในกรณีของประเทศไทย อันดับเครดิตภายในประเทศนั้นไม่สามารถนำไปใช้เปรียบเทียบระหว่างประเทศได้ คำจำกัดความของอันดับเครดิตและการใช้อันดับเครดิตดังกล่าวของ ฟิทช์ เรทติ้งส์ สามารถหาได้จาก www.fitchratings.com อันดับเครดิตที่ประกาศ หลักเกณฑ์และวิธีการจัดอันดับเครดิต ได้แสดงไว้ในเว็บไซต์ดังกล่าวตลอดเวลา หลักจรรยาบรรณ การรักษาข้อมูลภายใน ความขัดแย้งทางผลประโยชน์ที่อาจเกิดขึ้น แนวทางการเปิดเผยข้อมูลระหว่างบริษัทในเครือ กฎข้อบังคับรวมทั้งนโยบายและกระบวนการที่เกี่ยวข้องอื่นๆของฟิทช์ ได้แสดงไว้ในส่วน ‘หลักจรรยาบรรณ’ ในเว็บไซต์ดังกล่าวเช่นกัน

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ