กรุงเทพฯ--9 เม.ย.--กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
นายกรัฐมนตรี เปิดงานวันผู้สูงอายุแห่งชาติ ปี ๒๕๕๒ ย้ำสังคมไทยควรยึดมั่นความกตัญญูรู้คุณต่อบรรพชน และบุพการี ยืนยันเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง พร้อมขยายวงเงินกู้ยืมกองทุนผู้สูงอายุ จากรายละ ๑๕,๐๐๐ บาท เป็น ๓๐,๐๐๐ บาท
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดงานวันผู้สูงอายุแห่งชาติ ปี ๒๕๕๒ ณ อาคารธันเดอร์โดม เมืองทองธานี จัดโดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่การเป็นประเทศ “สังคมผู้สูงอายุ” และประเด็นนี้กำลังได้รับความสนใจมากขึ้นทั้งในระดับชาติและระดับโลก เพราะมีผลผลกระทบอย่างกว้างขวางทั้งในระดับมหภาคและระดับจุลภาค การเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับสถานการณ์ต้องเริ่มต้นตั้งแต่ก่อนเข้าสู่วัยสูงอายุ การดูแลเอใจใส่จึงเป็นหน้าที่ของครอบครัว ชุมชน และรัฐบาลเองก็ต้องเอาใจใส่ ช่วยเหลือ เกื้อกูล เพื่อให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดี
“รัฐบาลได้มีนโยบายที่จะขยายโอกาสเพื่อให้ผู้สูงอายุทุกคนได้รับเบี้ยยังชีพเป็นรายเดือน ๆ ละ ๕๐๐ บาท อย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกัน ซึ่งได้มีการจดทะเบียนกันไปแล้วเมื่อเดือนมีนาคม จะเริ่มต้นจ่ายเบี้ยยังชีพให้ผู้สูงอายุได้ตั้งแต่เมษายน เป็นต้นไป สำหรับผู้สูงอายุที่พลาดโอกาสการลงทะเบียนในปีนี้ รวมทั้งผู้ที่กำลังจะเป็นผู้สูงอายุโดยจะมีอายุครบ ๖๐ ปี ภายหลังวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๒ ขอให้เตรียมตัวรอการลงทะเบียนรอบต่อไป ซึ่งจะยังคงดำเนินการต่อเนื่องในปีต่อไป” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อไปว่า รัฐบาลได้เห็นชอบให้มีการขยายเพดานวงเงินกู้ยืมจากกองทุนผู้สูงอายุ จากเดิมรายละไม่เกิน ๑๕,๐๐๐ บาท เป็นรายละไม่เกิน ๓๐,๐๐๐ บาท โดยไม่คิดดอกเบี้ย ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดทำหลักเกณฑ์การพิจารณาการให้กู้ยืม ทั้งนี้ เพื่อส่งเสริมให้ผู้สูงอายุที่มีความประสงค์และยังมีความสามารถในการประกอบอาชีพแต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ได้มีแหล่งเงินทุน เพื่อนำไปประกอบอาชีพสร้างรายได้
“สำหรับนโยบายของรัฐบาลเรื่องผู้สูงอายุระยะต่อไปนั้น ยังต้องมีการพิจารณาเรื่อง การสร้างความมั่นคงด้านรายได้ให้แก่ผู้สูงอายุอย่างยั่งยืน ด้วยการส่งเสริมให้มีระบบการออมระยะยาวที่รัฐบาลจะต้องเข้ามามีส่วนร่วมจ่ายเงินสมทบ เช่นเดียวกับกองทุนประกันสังคม หรือกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ หรือแม้แต่ให้การสนับสนุนการดำเนินงานกองทุนสวัสดิการระดับชุมชน ซึ่งมีการทำกันแล้วในหลายพื้นที่ ประชาชนมีการริเริ่มระบบการออม บริหารจัดการ และดูแลซึ่งกันและกันในชุมชนด้วย”
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังย้ำให้ทุกหน่วยงานที่มีภารกิจเกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุว่าควรที่จะต้องบูรณาการ การให้ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องผู้สูงอายุเข้าไปในกระบวนการทำงานกับทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและเยาวชนในระบบการศึกษา โดยจัดให้มีกิจกรรมการเรียน การสอน กิจกรรมเสริมหลักสูตร สร้างเสริมประสบการณ์ตรงให้เด็กและเยาวชนเอาใจใส่ ช่วยเหลือเกื้อกูล และรู้จักกตัญญูตอบแทนคุณในโอกาสต่าง ๆ และขอความร่วมมือให้ อสม. เข้ามามีบทบาทร่วมกันทำหน้าที่ดูแลสุขภาพให้กับผู้สูงอายุในแต่ละพื้นที่ด้วย