ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ “บ. แสนสิริ” ที่ “BBB-” และคงอันดับเครดิตองค์กรที่ “BBB” ด้วยแนวโน้ม “Positive”

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday April 16, 2009 17:29 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--16 เม.ย.--ทริสเรทติ้ง บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศอันดับเครดิตให้แก่หุ้นกู้ไม่มีประกันในวงเงินไม่เกิน 1,500 ล้านบาทของ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “BBB-” พร้อมทั้งคงอันดับเครดิตองค์กรของบริษัทที่ระดับ “BBB” ด้วยแนวโน้ม “Positive” หรือ “บวก” โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะผู้นำที่แข็งแกร่งของบริษัทในตลาดคอนโดมิเนียม ตลอดจนตราสัญลักษณ์ที่ได้รับการยอมรับในตลาดพัฒนาที่อยู่อาศัย และความสามารถในการทำกำไรที่เพิ่มขึ้นแม้จะต่ำกว่าคู่แข่ง อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวซึ่งจะส่งผลกระทบให้อุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ซบเซา รวมทั้งจากวงจรธุรกิจที่มีความผันผวน และนโยบายของธนาคารพาณิชย์ที่เพิ่มความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อซึ่งจะทำให้ผู้ซื้อบ้านกู้เงินได้ยากขึ้น ทั้งนี้ ในการให้อันดับเครดิต ทริสเรทติ้งยังพิจารณาถึงการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นในตลาดคอนโดมิเนียมจากการที่อุปสงค์เริ่มล้นตลาดด้วย แนวโน้มอันดับเครดิต “Positive” หรือ “บวก” สะท้อนถึงความคาดหวังว่าบริษัทแสนสิริจะยังคงสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งของฐานะทางการเงินด้วยการบริหารการก่อสร้างโครงการคอนโดมิเนียมหลายโครงการให้เป็นไปตามแผนงาน โดยที่ในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว บริษัทจะสามารถรักษารายได้จากการมียอดขายรอการส่งมอบจากโครงการคอนโดมิเนียมหลายแห่ง ความเสี่ยงจากการโอนโครงการคอนโดมิเนียมจะลดลงจากมาตรการทางภาษีของภาครัฐและนโยบายการเก็บเงินล่วงหน้าซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้ซื้อสามารถเลือกชำระราคาเป็นเงินก้อนทันทีล่วงหน้าเพื่อได้ส่วนลดเป็นการตอบแทน นอกจากนี้ ยังคาดว่าความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจะดีขึ้นจากประโยชน์ที่ได้ทั้งจากภาวะเงินเฟ้อที่ลดลง มาตรการด้านภาษีของภาครัฐ และนโยบายที่มุ่งเน้นการควบคุมต้นทุนดำเนินงานที่เข้มงวดยิ่งขึ้นของบริษัท นอกจากนี้ในระยะสั้นยังคาดว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจะลดลงต่ำกว่า 50% เมื่อการก่อสร้างโครงการคอนโดมิเนียมหลายแห่งแล้วเสร็จและมีการโอนให้แก่ผู้ซื้อในช่วงเวลาที่มาตรการภาษียังไม่หมดอายุ ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทแสนสิริเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทย ณ เดือนธันวาคม 2551 บริษัทมีโครงการบ้านจัดสรรและคอนโดมิเนียมสำหรับขายจำนวน 55 โครงการ คิดเป็นมูลค่ารวม 48,578 ล้านบาท โดยแบ่งออกเป็นโครงการคอนโดมิเนียม 47% บ้านเดี่ยว 44% และทาวน์เฮ้าส์ 9% ของมูลค่าโครงการทั้งหมด ราคาขายเฉลี่ยของที่อยู่อาศัยโดยรวมลดลงเป็น 4.4 ล้านบาทต่อหน่วย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงกลยุทธ์ที่เน้นตลาดที่อยู่อาศัยราคาปานกลางมากขึ้น ณ เดือนธันวาคม 2551 บริษัทมียอดขายรอการรับรู้รายได้ใกล้เคียง 17,000 ล้านบาท และมีมูลค่าโครงการในปัจจุบันพร้อมขายอีก 12,693 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นโครงการบ้านเดี่ยวมากที่สุดถึงเกือบ 69% ของมูลค่าคงเหลือ รองลงมาได้แก่คอนโดมิเนียม 22% และทาวน์เฮ้าส์ 9% บริษัทมีความได้เปรียบในการแข่งขันจากการมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับและการมีกลยุทธ์ทางการตลาดที่แข็งแกร่งเป็นสำคัญ แม้ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมจะชะลอตัว แต่บริษัทแสนสิริยังคงมียอดขายที่เติบโตอย่างน่าพอใจจากการมียอดขายรอการส่งมอบในปริมาณมาก โดยบริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็น 15,037 ล้านบาทในปี 2551 จาก 13,550 ล้านบาทในปี 2550 อย่างไรก็ตาม ยอดการจองลดลงอย่างมากถึง 40% เหลือ 10,430 ล้านบาทในปี 2551 สืบเนื่องมาจากการลดการเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อให้สอดคล้องกับภาวะความต้องการที่เริ่มหดตัว โดยมีการเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมมูลค่า 5,608 ล้านบาทในปี 2551 ซึ่งสามารถสร้างยอดการจองถึง 4,659 ล้านบาทในช่วงดังกล่าว นอกจากนี้ แม้ว่าบริษัทจะได้รับประโยชน์จากมาตรการภาษีของภาครัฐ แต่ความสามารถในการทำกำไรก็ยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่าคู่แข่ง บริษัทมีอัตรากำไรจากการดำเนินงานในปี 2551 เพิ่มขึ้นเป็น 12.2% ในปี 2551 จาก 10.2% ในปี 2550 และหากไม่รวมค่าใช้จ่ายจากการปรับปรุงโครงการ “คอนโดวัน” จำนวน 429 ล้านบาทแล้ว อัตรากำไรจากการดำเนินงานของปี 2551 จะอยู่ที่ประมาณ 15% อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายของบริษัทลดลงเล็กน้อยจาก 3.3 เท่าในปี 2550 เป็น 2.8 เท่าในปี 2551 และกระแสเงินสดจากการดำเนินงานคงอยู่ที่ประมาณ 15%-18% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ในขณะที่อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนเพิ่มขึ้นจาก 47.5% ในเดือนธันวาคม 2550 เป็น 52.5% ในเดือนธันวาคม 2551 สืบเนื่องจากความต้องการใช้เงินลงทุนในการก่อสร้างโครงการคอนโดมิเนียมที่เพิ่มมากขึ้น ทริสเรทติ้งกล่าวว่า ภาวะของตลาดอสังหาริมทรัพย์สำหรับที่อยู่อาศัยในปีที่ผ่านมาค่อนข้างผันผวนอันเป็นผลมาจากปัญหาทางการเมืองในประเทศและวิกฤติการณ์ทางการเงินของโลก ในช่วงปลายปี 2551 อุปสงค์ของที่อยู่อาศัยเริ่มหดตัวลงเนื่องจากปัจจัยลบหลายประการที่ส่งผลกระทบต่อตลาดพร้อมๆ กัน นอกจากนี้ เหตุการณ์จราจลในช่วงกลางเดือนเมษายน 2552 จนนำไปสู่การประกาศพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งแม้ว่ารัฐบาลจะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ แต่เหตุดังกล่าวจะส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัวลงมากกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ รวมทั้งจะส่งผลกระทบในแง่ลบต่อความต้องการที่อยู่อาศัยด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ ยังทำให้เกิดข้อสงสัยถึงเสถียรภาพทางการเมืองในประเทศในช่วงเวลาที่เหลือของปี 2552 ด้วย ซึ่งหากสถานการณ์การเมืองยังไม่มีความแน่นอน ก็มีความเป็นไปได้สูงที่ความต้องการที่อยู่อาศัยจะเข้าสู่ภาวะชะงักงัน ทั้งนี้ คาดว่ารัฐบาลจำเป็นจะต้องออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อฟื้นฟูตลาดอสังหาริมทรัพย์สำหรับที่อยู่อาศัยเพิ่มเติมจากมาตรการทางภาษีในครั้งก่อนซึ่งอนุญาตให้ผู้ซื้อบ้านสามารถนำเงินซื้อบ้านในวงเงินสูงสุดไม่เกิน 300,000 บาทไปใช้ลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ แต่ก็คาดว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลจะปรับตัวลดลงเกิน 20% ซึ่งสอดคล้องกับการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศที่คาดว่าจะขยายตัวในอัตราติดลบในปี 2552 ดังนั้น ทริสเรทติ้งจึงมีความเห็นว่า ผู้ประกอบการควรต้องบริหารสภาพคล่องอย่างระมัดระวังและดำรงความยืดหยุ่นทางการเงินให้เพียงพอต่อภาระผูกพันทางการเงินต่างๆ ในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) (SIRI) อันดับเครดิตองค์กร: คงเดิมที่ BBB อันดับเครดิตตราสารหนี้: หุ้นกู้ไม่มีประกันในวงเงินไม่เกิน 1,500 ล้านบาท ไถ่ถอนภายในปี 2555 BBB- แนวโน้มอันดับเครดิต: Positive หรือ บวก

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ