กรุงเทพฯ--20 มี.ค.--คอมมูนิเคชั่น แอนด์ มอร์
ผศ.พญ. สุวิรากร โอภาสวงศ์ อาจารย์พิเศษศูนย์ผิวหนัง มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เปิดเผยว่า ปัจจุบันเทคโนโลยีทางการแพทย์ด้านความงามก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว มีการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาใช้อย่างแพร่หลาย ทำให้บางครั้งอาจกลายเป็นดาบสองคม หากมีการนำไปใช้อย่างไม่ถูกต้อง อาจจะมีเป็นผลเสียมากกว่าผลดี ดังนั้น คุณสาวๆต้องระวังอย่าหลงเชื่อคำโฆษณาชวนเชื่อง่ายๆ ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังว่าจะรักษาด้วยวิธีใดจึงจะเหมาะกับสภาพผิวของตน
ทั้งนี้ เทคโนโลยีทางการแพทย์ด้านความงามที่ทางการแพทย์นำมาใช้ในปัจจุบัน เพื่อช่วยให้การรักษาและฟื้นฟูสภาพผิวให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นนั้น มีอยู่มากมายหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น เลเซอร์ ฉายแสง คลื่นเสียง และคลื่นวิทยุ เป็นต้น ซึ่งการใช้นำไปใช้นั้น แพทย์ผิวหนังจะพิจารณาวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับตามอาการของผู้ป่วยแต่ละราย เช่น
หากมีปัญหาสิว แพทย์จะสอบถามและตรวจว่าเป็นสิวชนิดใด มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ยาทา ยากิน กดสิว เจาะสิว ฉีดยาเข้าที่หัวสิวหรือไม่ หากมีการอุดตันของสิว ก็อาจเลือกใช้การลอกหน้าด้วยกรดผลไม้ หรือ AHA (Alpha Hydroxy Acid) หรือ BHA (Beta Hydroxy Acid) เพื่อช่วยผลัดผิวเก่าชั้นบนให้หลุดลอกเร็วขึ้น ซึ่งจะช่วยลดการอุดตันของสิว หรืออาจใช้วิธีการลอกหน้าด้วยสารอื่นที่เหมาะสม ขึ้นอยู่กับความลึกของผิวที่ต้องการลอก ตามการวิเคราะห์ของแพทย์
นอกจากนี้แพทย์อาจใช้เครื่องมือเพื่อช่วยผลักยาหรือสารบำรุงเข้าสู่ผิวเพื่อให้สามารถซึมลงสู่ผิวหนังได้ดีขึ้น ซึ่งทำได้ทั้งการผลักด้วยกระแสไฟฟ้าอย่างอ่อน และคลื่นเสียง โดยหากเป็นการผลักยาด้วยกระแสไฟฟ้าอย่างอ่อน จะเรียกว่า การทำไอออนโตโฟรีซิส (Iontophoresis) ซึ่งจะอาศัยหลักการที่ทำให้ผิวหนังมีประจุไฟฟ้าชนิดหนึ่ง โดยที่ขั้วและน้ำยามีประจุไฟฟ้าตรงข้ามกัน ทำให้ยาหรือสารบำรุงผิวถูกผลักเข้าสู่ผิวได้ดียิ่งขึ้น ส่วนการผลักยาด้วยคลื่นเสียง เรียกว่า โฟโนโฟรีซิส (Phonophoresis or Ultrasound) ซึ่งอาศัยหลักการใช้คลื่นเสียงความถี่สูงทำความสะอาดผิวก่อน แล้วจึงผลักสารอาหารและวิตามินเข้าสู่ผิว ทั้งสองไอออนโตโฟรีซิส และโฟโนโฟรีซิส ถือเป็นการรักษาเสริมที่ต้องใช้ควบคู่กับการทานยารักษาสิวหรือทายาสิว เพื่อให้ผลการรักษาดียิ่งขึ้น
ผศ.พญ. สุวิรากร กล่าวต่อว่า สำหรับในผู้ที่เป็นสิวมากจนเกิดหลุมสิว แพทย์อาจพิจารณาให้ขัดผิวด้วยเกล็ดอัญมณี (MD หรือ Microdermabrasion) เพื่อช่วยผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนๆ ไม่มีบาดแผล และช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้หลุมสิว ทำให้รอยหลุมสิวตื้นขึ้น รอยแผลเป็นดีขึ้น การขัดผิวด้วยเกล็ดอัญมณีจะใช้ผงขัดผิวที่มีความละเอียดมาก หรืออาจขัดผิวโดยใช้หัวขัดโดยตรง การขัดผิวจะทำให้หลุมสิวตื้นขึ้น รอยแผลเป็นดีขึ้น ส่วนการกรอผิวหน้าด้วยวิธีแบบเก่า จะใช้เครื่องกรอ โดยกรอเอาผิวชั้นบนออกซึ่งจะกรอค่อนข้างลึกและต้องรอให้มีการสร้างเซลล์ผิว
ใหม่ขึ้นมาทดแทน จะได้ผลดีในคนผิวขาว แต่เมื่อมาทำในบ้านเราแล้วพบว่าผิวที่ขึ้นใหม่เกิดการดำง่ายกว่าปกติ ปัจจุบันจึงไม่ได้รับความนิยม จึงพัฒนาเครื่องกรอแบบ Microdermabrasion ค่อยๆ กระตุ้น โดยต้องใช้จำนวนครั้งมากกว่าเดิม
นอกจากนี้ยังมีการใช้แสงเลเซอร์ มาช่วยในการรักษาสิวโดยตรงหรือช่วยรอยแดงจากสิว เนื่องจากเลเซอร์มีหลายชนิด ดังนั้นแพทย์จะเป็นผู้แนะนำว่าควรใช้เลเซอร์ชนิดใด นอกจากนี้ในกรณีที่บางคนที่ไม่สามารถทานยาได้หรือไม่อยากทานยา ปัจจุบันมีการรักษาสิวด้วย Blue Light โดยเป็นการฉายแสงที่มีความยาวคลื่นเฉพาะที่สามารถลดแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิว (P. Acne) จึงเป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับการรักษาสิวอักเสบที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาชนิดอื่นๆข้อเสีย คือ คนไข้ต้องมาทำบ่อย สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง โดยอาการสิวจะดีขึ้นเมื่อฉายแสงไปแล้ว 8-10 ครั้ง
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเทคโนโลยีในการรักษาผิวหน้าจะก้าวหน้าไปเพียงใด การดูแลตัวเองก็ยังคงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนอย่างเพียงพอ หลีกเลี่ยงสุรา บุหรี่และแสงแดดจัด รวมทั้งการเลือกใช้เครื่องสำอางที่เหมาะสมกับสภาพผิวยังเป็นปัจจัยสำคัญที่สุด หากต้องการรักษาและฟื้นฟูสภาพผิว ควรปรึกษาและรับคำแนะนำจากแพทย์ผิวหนังเพื่อเลือกใช้วิธีการรักษาที่เหมาะสมกับสภาพผิว ทั้งนี้เพื่อให้ผลการรักษาที่ดีที่สุดและคุ้มค่าที่สุดอีกด้วย
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 02-658-4633-4