กรุงเทพฯ--5 มิ.ย.--ก.ล.ต.
ก.ล.ต. สั่งให้บริษัท ปิคนิค คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (“PICNI”) แก้ไขงบการเงินไตรมาส 1 ปี 2549 เนื่องจากผู้สอบบัญชีรายงานว่า PICNI ไม่ได้ตั้งค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญของลูกหนี้บางรายการให้เป็นไปตามมาตรฐานการบัญชี และผู้สอบบัญชีไม่ได้รับเอกสารหลักฐานที่จำเป็นครบถ้วนจาก PICNI เพื่อการสอบทานงบการเงิน
ทั้งนี้ ให้ PICNI นำส่งงบการเงินที่แก้ไขแล้วต่อ ก.ล.ต. ภายในวันที่ 17 กรกฎาคม 2549 สืบเนื่องจากผู้สอบบัญชีรายงานว่า PICNI ไม่ได้ตั้งค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญของลูกหนี้บางรายการให้เป็นไปตามมาตรฐานการบัญชี และผู้สอบบัญชีไม่ได้รับเอกสารหลักฐานที่จำเป็นครบถ้วนจาก PICNI เพื่อการสอบทานงบการเงิน ทำให้งบการเงินดังกล่าวไม่เป็นไปตามมาตรา 56 แห่งพระราชบัญญัติ
หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ก.ล.ต. จึงสั่งการให้ PICNI แก้ไขงบการเงินในประเด็นที่ผู้สอบบัญชีรายงานว่าไม่เป็นไปตามมาตรฐานการบัญชี และสั่งให้ PICNI ให้ความร่วมมือแก่ผู้สอบบัญชี เพื่อให้ผู้สอบบัญชีได้รับเอกสารหลักฐานที่จำเป็นครบถ้วนในการสอบทานงบการเงิน ลูกหนี้ที่ผู้สอบบัญชีรายงานว่า PICNI ไม่ได้ตั้งค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญให้เป็นไปตามมาตรฐานการบัญชี ได้แก่
1. ลูกหนี้บริษัทโรงบรรจุก๊าซ 10 แห่งที่หยุดดำเนินงานแล้ว จำนวน 127 ล้านบาท
2. ลูกหนี้เงินมัดจำการซื้อถังบรรจุก๊าซขนาดใหญ่ ซึ่งได้ยกเลิกสัญญาเนื่องจากส่งมอบถังไม่ตรงกำหนด จำนวน 60 ล้านบาท
3. ลูกหนี้การค้าบริษัทที่เกี่ยวข้องกันแห่งหนึ่งซึ่งเป็นค่ารับเหมาติดตั้งระบบ จำนวน 254 ล้านบาท
เอกสารหลักฐานที่ผู้สอบบัญชีเห็นว่าได้รับไม่เพียงพอในการสอบทานงบการเงินได้แก่เอกสารเกี่ยวกับการสอบทานรายการ ดังนี้
1. มูลค่าและปริมาณของถังบรรจุก๊าซขนาดเล็กที่บันทึกไว้ในบัญชี จำนวน 2,382 ล้านบาท
2. การส่งมอบถังบรรจุก๊าซขนาดใหญ่ที่บริษัทย่อยในต่างประเทศได้จ่ายเงินมัดจำ จำนวน 235 ล้านบาท จากมูลค่าของสัญญา 240 ล้านบาท
3. งานระหว่างก่อสร้างคลังเก็บก๊าซของ PICNI จำนวน 336 ล้านบาท ที่จะยืนยันได้ว่า PICNI จะสามารถดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จเมื่อไร
4. มูลค่าของงานระหว่างก่อสร้างระบบท่อก๊าซปิโตรเลียมเหลว ระบบดับเพลิง ระบบไฟฟ้า ตลอดจนงานทดสอบถังเก็บและจ่ายก๊าซของบริษัทย่อย จำนวน 82 ล้านบาท
5. ภาระผูกพันหรือหนี้สินที่อาจเกิดขึ้นจากกิจการร่วมค้าซึ่งหยุดดำเนินการและอยู่ระหว่างการชำระบัญชี
6. การประเมินค่าความนิยมจากการซื้อกิจการในบริษัทย่อย จำนวน 700 ล้านบาท