กรุงเทพฯ--3 พ.ค.--ตลาดหลักทรัพย์ฯ
สายงานวิจัยและข้อมูลสารสนเทศ ตลาดหลักทรัพย์ฯ จัดทำรายงาน SET Note ระบุ 30 ปีลงทุนในหุ้นให้ผลตอบแทนสูงกว่า พันธบัตร เงินสด และทองคำ ย้ำได้ผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝากธนาคารถึง 3 เท่า แม้จะต้องเผชิญความเสี่ยงจากความผันผวนมากกว่า
ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ช่วยผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า สายงานวิจัยและข้อมูลสารสนเทศ ได้จัดทำ SET Note ฉบับที่ 5 ปี 2549 ศึกษาผลตอบแทนการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ ของไทยตลอด 30 ปีตั้งแต่ ปี 2518 ถึง 2548 ได้แก่ หุ้น พันธบัตร เงินสด และทองคำ พบว่าหากนักลงทุนถือครองในระยะยาวแล้วหุ้นจะเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดในรอบ 30 ปีกว่าร้อยละ 2,900 ในขณะที่ พันธบัตร เงินสด และทองคำ ให้ผลตอบแทน 30 ปีร้อยละ 1,825 800 และ 150 ตามลำดับ
“จากผลการศึกษาของสายงานวิจัยฯ พบว่าสำหรับประเทศไทยนั้นหุ้นเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดในระยะยาวทั้งในรูปของตัวเงิน ผลตอบแทนที่แท้จริงและผลตอบแทนที่แท้จริงหลังหักภาษี ซึ่งผลการศึกษาดังกล่าวสอดคล้องกับกรณีศึกษาในหลาย ๆ ประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ และ ญี่ปุ่น ที่หุ้นเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนระยะยาวสูงที่สุด อย่างไรก็ตามหุ้นเองก็เป็นหลักทรัพย์ที่มีความผันผวนของราคาสูงกว่าหลักทรัพย์ประเภทอื่น ๆ” ดร.เศรษฐพุฒิ กล่าว
บทวิเคราะห์ SET Note ชี้ให้เห็นว่าถึงแม้ว่าหุ้นจะป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนเมื่อถือครองในระยะยาวสูงกว่าสินทรัพย์ประเภทอื่นแต่นักลงทุนต้องเผชิญความเสี่ยงจากความผันผวนของผลตอบแทนหุ้นที่มากกว่าสินทรัพย์ประเภทอื่นในบางช่วงเวลา
ทั้งนี้ในรายงานการศึกษาได้ทำการแบ่งช่วงเวลาในการพิจารณาออกเป็น 3 ช่วง ได้แก่ ช่วงก่อนวิกฤติการณ์ทางการเงิน (ปี 2518 ถึง 2539) ช่วงวิกฤตการณ์ (ปี 2540 ถึง 2543) และหลังวิกฤติการณ์ (ปี 2544 ถึง 2548) เพื่อศึกษาผลตอบแทนของสินทรัพย์ในช่วงเวลาต่าง ๆ พบว่าในระยะยาว 30 ปี หุ้นจะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงสุดถึงร้อยละ 12 ต่อปี แต่หากแบ่งช่วงเวลาการถือครองเป็นช่วงต่าง ๆ พบว่าในบางช่วงนั้นหุ้นกลับให้ผลตอบแทนต่ำที่สุด เนื่องจากหุ้นเป็นสินทรัพย์ที่มีผลตอบแทนแปรผันตามภาวะเศรษฐกิจและอ่อนไหวต่อปัจจัยต่างๆ มากกว่าสินทรัพย์ประเภทอื่น ๆ ในขณะที่ผลตอบแทนจากสินทรัพย์ประเภทอื่น ๆ จะให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างคงที่
ผู้ช่วยผู้จัดการฯ กล่าวต่อว่า “ผู้ลงทุนอาจต้องเผชิญกับภาวะความผันผวนของผลตอบแทนจากหุ้นในบางช่วงเวลา เช่นในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจที่ผ่านมาผลตอบแทนจากหุ้นต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับสินทรัพย์อื่น โดยในช่วง ปี 2540 ถึง 2544 มีผลตอบแทนน้อยกว่าสินทรัพย์ประเภทเงินฝากกว่าร้อยละ 10 และร้อยละ 7 เมื่อเทียบกับการถือครองพันธบัตร ทั้งที่ช่วงก่อนวิกฤตินั้นให้ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีถึงร้อยละ 16 มากกว่าถือครองเงินฝาก พันธบัตร และทอง ที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยไม่เกินร้อยละ 10 อย่างไรก็ตาม หลังวิกฤติเป็นต้นมาหุ้นก็กลับมาเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดอีกครั้งเฉลี่ยถึงร้อยละ 20 ต่อปี ในขณะที่สินทรัพย์อื่น ๆให้ผลตอบแทนค่อนข้างคงที่มาตลอด ”
ถึงแม้ว่าหุ้นจะมีความผันผวนสูง แต่หากผู้ลงทุนถือครองหุ้นนานขึ้น โอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนมากกว่าสินทรัพย์อื่นๆ ก็จะสูงขึ้นด้วย โดยโอกาสของการได้รับผลตอบแทนที่ผู้ลงทุนจะลงทุนในหุ้นแล้วได้ผลตอบแทนสูงกว่าพันธบัตรมีถึงร้อยละ 53 หากถือครองเป็นระยะเวลา 2 ปี และ สูงขึ้นเป็นร้อยละ 59 หากลงทุนระยะเวลา 5 ปี
สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่http://www.set.or.th/th/products_services/research/files/setnote5_2006.pdf
ติดต่อส่วนสื่อมวลชนสัมพันธ์ ฝ่ายสื่อสารองค์กร :
ลดาวัลย์ กันทวงศ์ โทร. 0-2229—2036 /
กุลวิดา จินตกะวงส์ โทร. 0-2229 —2037 /
ณัฐพร บุญประภา โทร. 0-222 2049/
วรรษมน เสาวคนธ์เสถียร โทร. 0-2229 — 2797