กรุงเทพฯ--24 เม.ย.--สหมงคลฟิล์ม
ประเภท ลึกลับ/ระทึกขวัญ
สัญชาติ อเมริกัน
อำนวยการสร้าง ไมเคิล เบย์ (Transformers, Armageddon, Pearl Harbor)
กำกับการแสดง โจนาส อาเคอร์ลันด์ (Spun)
นำแสดง เดนนิส เคว็ด (Frequency, The Day after Tomorrow, Traffic, The Rookie)
จางจือยี่ (Memoir of a Geisha, House of Flying Daggers, The Banquet)
แพ็ททริค ฟูกิต (Almost Famous, Wristcutters: A Love Story)
ปีเตอร์ สตอร์มาร์ (Constantine, Minority Report, Bad Boy II, Fargo)
กำหนดฉาย 7 พฤษภาคม 2009
จัดจำหน่าย มงคลเมเจอร์
ตั้งแต่การจากไปของภรรยา ชีวิตครอบครัวของ ไอแดน เบรสลิน (เดนนิส เคว็ด) ตำรวจนักสืบประสบการณ์สูง ดูเหมือนจะห่างเหินกับ อเล็คส์ (ลู เทเลอร์ พุคซี่) และ ณอน (เลียม เจมส์) ลูกชายทั้งสองของเขา ในขณะที่ชีวิตการทำหน้าที่พิทักษ์ความสงบ เขาก็พบว่าตัวเองเกี่ยวข้องกับการสอบสวนเพื่อตามหาฆากรต่อเนื่องจิตไม่ปกติ ที่สังหารเหยื่อโดยอ้างอิงจากคำทำนายในพระคำภีร์ที่กล่าวถึง "สี่อัศวินแห่งวันโลกาวินาศ"
ทั้งสี่อัศวินนั้นประกอบไปด้วย “อัศวินม้าขาว” เจ้าแห่งการล่อลวงและเป็นผู้นำทัพเข้าสู่สงคราม “อัศวินม้าแดง” นักรบสุดเจ้าเล่ห์ ที่ประสงค์ให้มนุษย์ฆ่าฟันกันเอง แม้อาจดูไม่มีพิษมีภัย แต่ความนิ่งเฉยนั้นก็ฉาบไปด้วยแรงแค้นที่อยู่ภายในจิตใจ “อัศวินม้าดำ” ผู้ครอบงำจิตใจและทรราชย์แห่งความมืด จิตใจไม่ปกติและก้าวนำความคิดของทุกคนเสมอ และ “อัศวินม้าเขียวซีด” เพชรฆาตสังหารที่มีกำลังมหาศาล มุ่งหวังที่จะทำให้เหยื่อตายอย่างทรมาณ
ยิ่ง เบรสลิน ถลำลึกลงไปในเรื่องนี้มากเท่าไร เขาก็ค้นพบถึงความสัมพันธ์อันน่าสะพรึงกลัว ระหว่างเขากับผู้ต้องสงสัยทั้ง 4 คน... อัศวิน 4 ตน เหยื่อ 4 คนที่ไม่เกี่ยวข้องกัน และความลับที่ปวดร้าวทั้ง 4 เรื่อง จำไว้ว่า คุณต้องมาเป็นประจักษ์พยานด้วยตัวเอง
ภาพยนตร์เรื่องนี้ เป็นผลงานการกำกับของ โจนาส อเคอร์ลันด์ (Spun) จากบทภาพยนตร์ของ เดวิด คาลาแฮม ซึ่งถูกควบคุมการผลิตโดยบริษัท Platinum Dunes ที่มี ไมเคิล เบย์ (Transformers), แอนดริว ฟอร์ม (The Texas Chainsaw Massacre) และ แบรด ฟูลเลอร์ (The Amityville Horror) ดำรงตำแหน่งเป็นทีมผู้สร้าง และยังได้รับความร่วมมือจากบริษัท Mandate Pictures ที่มี โจ เดรก (Stranger Than Fiction, 30 Days of Night) และ นาธาน คาเฮน (The Grudge, Stranger Than Fiction) และบริษัท Radar Pictures ที่มี เท็ด ฟิลด์ (The Amityville Horror, The Last Samurai) และ โจ โรเซนเบิร์ค (Waist Deep, The Heartbreak Kid) ซึ่งทั้งหมดดำรงตำแหน่งเป็นทีมผู้อำนวยการสร้าง นอกจากนั้นยังมีผู้ร่วมสร้างอย่าง เคลลี่ โคน๊อป และ นิโคล บราวด์ จาก Mandate Pictures และไมค์ เวเบอร์จาก Radar Pictures อีกด้วย
ภาพยนตร์เรื่อง “Horsemen” หนังอาชญากรรม-ทริลเลอร์ ที่นำแสดงโดย เดนนิส เคว็ด (The Day After Tomorrow, Far From Heaven, Traffic) และ จางจื่ออี้ (Memoirs of a Geisha, Crouching Tiger, Hidden Dragon) โดยหนังยังมีนักแสดงสมทบชั้นนำ ไม่ว่าจะเป็น ลู เทเลอร์ พุคชี่ (Thumbsucker), คลิฟฟอร์ด คอลลิน จูเนียร์ (Capote), แบร์รี่ ชาบาการ์ เฮนลี่ย์ (Miami Vice), แพคทริค ฟูกิต (Saved, Almost Famous) และ ปีเตอร์ สตอร์มาร์ (Fargo) ผู้ซึ่งกลับมาร่วมงานกับผู้กำกับโจนาส อเคอลันด์ อีกเป็นครั้งที่สอง นับตั้งแต่ภาพยนตร์เรื่อง Spun
ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังเป็นการกลับมาร่วมมือกันของผู้กำกับ อเคอร์ลันด์ , ผู้กำกับภาพ อีริค บรอมส์ และผู้ควบคุมการออกแบบเครื่องแต่งกาย บี ที่เคยร่วมงานกันมาแล้วจากภาพยนตร์เรื่อง Spun โดยในส่วนของทีมงานอื่นๆ ก็ยังมีผู้กำกับศิลป์ แซนดี้ ค๊อกเรน (Chaos Theory) และผู้ควบคุมการตัดต่อภาพ จิม เมย์ (The Chronicles of Narnia: The Lion, the Witch and the Wardrobe)
จุดกำเนิด
ในผลงานการกำกับเรื่องแรก Spun (2002) ผู้กำกับ โจนาส อเคอร์ลันด์ ได้ชักชวนคนดูให้เข้าไปสู่สังคมที่เต็มไปด้วยความรุนแรง, น่ารังเกียจ, เป็นพิษ และความไร้ซึ่งสาระของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์ การติดยาแอมเฟตามีน, คนติดยา, คนปรุงยา และหญิงขายบริการของพวกเขา นี้คือโลกที่สามารถหมุนได้ด้วยตัวเอง
The Horsemen คือภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของ อเคอร์ลันด์ โดยเขาได้มองโลกที่แตกต่างกันออกไปจากเดิม เพราะครั้งนี้จะเป็นการสำรวจโลกแห่งความเป็นจริง ที่เป็นจุดกำเนิดของความบูดเบี้ยวในจิตใจมนุษย์ เมื่อตำรวจคนหนึ่งหมกมุ่นอยู่กับการหาบทสรุปของฆาตกรรมต่อเนื่องที่ทั้งโหดร้ายและแปลกประหลาด ซึ่งอ้างอิงมาจากพระคำภีร์ใหม่ในตอนที่พูดถึง "สี่อัศวินแห่งวันโลกาวินาศ" เขาถูกอาชญากรรมนี้ครอบงำจิตใจจนสูญเสียการทำเป็นผู้ปกครองที่ดีให้กับลูกทั้งสอง และที่ร้ายไปกว่านั้น เขาอาจกลายเป็นหนึ่งในเหยื่อสำหรับเหตุการณ์นี้ด้วย
ผู้กำกับ อเคอร์ลันด์ เล่าว่า "ความหลากหลายขององค์ประกอบในเรื่อง เหมาะกับสไตล์การกำกับของผม มันคือลูกผสมระหว่างหนังอาชญากรรมระทึกขวัญและหนังดราม่าที่พูดถึงปัญหาครอบครัว โดยมันสามารถสร้างเหตุการณ์ที่ทั้งหลอนและอบอุ่นได้ในเวลาเดียวกัน ความจริงแล้ว ครั้งแรกที่ผู้อำนวยการสร้างเข้ามาติดต่อให้ผมรับหน้าที่กำกับ พวกเขาบอกว่ามันคือส่วนผสมระหว่าง Seven, Kramer vs Kramer และสารคดี Paradise Lost: The Child Murders at Robin Hood Hills เมื่อได้ยินครั้งแรกมันฟังดูอาจจะแปลกไปหน่อย แต่กลายเป็นว่าพอได้ลงไปสัมผัสกับมัน ก็ทำให้ผมเห็นด้วย 100 เปอร์เซ็น"
หลังจากที่ Radar Pictures และ Mandate Pictures ร่วมงานกับ Platinum Dunes ซึ่งเป็นสตูดิโอของผู้กำกับ ไมเคิล เบย์ ก็ทำให้โปรเจคนี้คืบหน้าอย่างรวดเร็ว
แอนดริว ฟอร์ม ผู้อำนวยการสร้างจาก Platinum Dunes เล่าถึงเสน่ห์ของโปรเจ็คนี้ว่า "พวกเราหลงรักบทภาพยนตร์เรื่องนี้ทันที สำหรับผมแล้ว ตัวเองไม่สามารถวางบทภาพยนตร์ลงได้เลย มันมีการหักมุมที่เยี่ยมยอด และมันยังเกี่ยวกับหัวข้อที่ผมไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีอยู่ในโลกใบนี้ ซึ่งทำให้ผมรู้สึกอินไปกับมัน ทั้งตัวละคร, สถานที่ และเรื่องอันน่าสยดสยองที่เกิดขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่างตราตึงอยู่ในสมองผมแม้ว่าจะอ่านมันจบไปนานแล้ว มันเป็นการค้นพบที่วิเศษสุด และผมก็รู้สึกยินดีที่พวกเราเป็นกลุ่มคนที่ค้นพบมัน"
เขาเล่าต่อว่า "พวกเราต้องทำมันให้สมจริงที่สุด และพยายามไม่ใช้ลูกเล่นอะไรให้มากมาย มันเป็นภาพยนตร์ที่ใส่ใจในเรื่องบทพูดและ โจนาส ก็รู้สึกตื่นเต้นมากที่ได้ทำงานในโปรเจ็คที่มีอารมณ์ร่วมเช่นนี้ เขาชอบที่จะพูดคุยกับนักแสดง รวมถึงมีส่วนร่วมในการถ่ายทำ, การจัดแสง, การสำรวจสถานที่ถ่ายทำ...ทุกอย่าง มันเป็นเรื่องของความใส่ใจในรายละเอียด และนั้นก็เป็นรูปแบบที่พวกเรานำมาใช้ในการทำงาน"
“ผมชอบใช้สตอรี่บอร์ดในการกำหนดแนวทางกำกับ" อเคอร์ลันด์ ได้เล่าให้ฟังว่า บทภาพยนตร์ถูกเปลี่ยนให้อยู่ในรูปแบบของสตอรี่บอร์ดหมดแล้ว ก่อนที่จะมีการเริ่มถ่ายทำเสียอีก "และผมก็ยังสนใจในการจับจุดเด่นของแต่ละสถานที่ ผมเป็นแฟนพันธ์แท้ในเรื่องของการถ่ายภาพแบบพาโนรามา รวมถึงการโคลสอัพแบบใกล้ชิดที่สุด ภาพยนตร์เรื่องนี้เต็มไปด้วยความแตกต่าง จากพื้นที่ในเขตหนาวอันอ้างว้าง จนถึงห้องสอบสวนของตำรวจที่ทั้งอึดอัดและคับแคบ ผมชอบการถ่ายแบบโคลสอัพ ที่คุณแทบจะได้ยินเสียงหายใจหรือสัมผัสผิวหนังของนักแสดงได้เลย"
เขาเล่าต่อว่า "พื้นฐานของผมนั้นมาจากการตัดต่อ ดังนั้นผมจึงพยายามเล่าเรื่องผ่านทางการตัดต่อมากกว่าตอนถ่ายทำ คือปกติแล้วผมจะเตรียมงานทุกอย่างให้ดีเพื่อที่จับภาพที่ดีที่สุดระหว่างถ่ายทำ ซึ่งทำให้ผมสามารถจัดโทนและจังหวะในช่วงเวลาการตัดต่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ หลายปีที่ผ่านมาผมได้เรียนรู้ว่า มันมีหลายเทคนิคและวิธีการทำที่คุณสามารถใช้ในการเล่าเรื่อง และนี้ก็เป็นวิธีที่เหมาะที่สุดสำหรับผม ซึ่งบทภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ยิ่งเอื้ออำนวยและเปิดโอกาสให้ผมได้ถ่ายทอดสไตล์การทำงานของตัวเองออกมา"
เดนนิส เคว็ค พูดถึงผู้กำกับคนนี้ว่า "โจนาส เป็นอัจฉริยะในเรื่องผลงานด้านภาพ เขารู้ว่าต้องทำอย่างไรในการเล่าเรื่องผ่านภาพ เขารู้ว่าเมื่อใดที่ต้องอุบเอาไว้ก่อน ซึ่งจะทำให้คนดูรู้สึกอยากรู้มากขึ้น เขารู้ว่ารายละเอียดชิ้นไหนที่เมื่อเผยแพร่ออกไปแล้ว จะมอบประสบการณ์ที่มีเลือดมีเนื้อให้กับคนดู"
เคว็ด เล่าต่อว่า "ผมรู้สึกว่าผู้อำนวยการสร้างเป็นส่วนที่สำคัญใ นการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ให้ออกมาอย่างที่เป็นอยู่ พวกเราต่างให้ความร่วมมือกัน และผมคิดว่ามันเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ในการมีความคิดสำหรับการสร้างภาพยนตร์เรื่องๆหนึ่งที่เหมือนกัน"
ฟูลเลอร์ ผู้อำนวยการสร้างได้พูดถึงนักแสดงนำคนนี้ว่า "คุณรู้ไหม ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นรูปเป็นร่างอย่างจริงจัง เมื่อ เดนนิส ตกลงที่จะเข้าร่วมในโปรเจ็คนี้ โดยตัวละครที่ชื่อ เบรสลิน มีระดับของอารมณ์ที่หลากหลาย ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ เดนนิส มีความเชี่ยวชาญ เขาเป็นนักแสดงที่รับบทได้ทุกแนว และก็ยังแสดงได้อย่างไม่มีที่ติ ทั้ง ดราม่า, คอเมดี้, ภาพยนตร์ครอบครัว, หนังแอ็คชั่น เขาเป็นนักแสดงที่เดินเข้ามาในกองถ่ายด้วยการเป็นตัวละครที่เขาเล่นเลย และวิญญาณของตัวละครนั้นก็จะไม่ออกจากร่างเขาจนกว่าจะปิดกล้อง"
เคว็ด เล่าถึงตัวละครที่เขารับบทว่า "ผมเคยรับบทเป็นตำรวจมาก่อน ซึ่งก็ทำให้ผมเข้าใจในสิ่งที่พวกเขาคิด พวกเขามีปัญหาส่วนตัวและปัญหาด้านอาชีพการงานเหมือนกับเราทุกคน เบรสลิน คือชายผู้สูญเสียภรรยาที่เขารักยิ่งชีพ ตอนนี้เขาต้องรับภาระเลี้ยงลูกชายวัยรุ่นทั้งสองด้วยตัวคนเดียว ในขณะเดียวกัน เขาต้องเผชิญหน้ากับความจริงจังในหน้าที่การงานทุกวัน ผมคิดว่านั้นเป็นสิ่งที่ทำให้คุณสติแตกได้อยู่เหมือนกัน"
เขาเสริมต่อว่า "การต่อสู้ที่แท้จริงของ เบรสลิน คือความไม่ลงรอยกันระหว่างเขากับลูกชายทั้งสอง และยังมีเรื่องของฆาตกรรมต่อเนื่องที่ยิ่งทำให้ปัญหาในบ้านของเขาดูไร้ทางแก้ไขมากขึ้น ซึ่งการสื่อสารกับใครไม่ได้เลยของ เบรสลิน ก็ยิ่งทำให้จิตใจของเขาย่ำแย่ลงไปอีก"
เมื่อได้ เคว็ด มารับบทนำแล้ว ผู้สร้างก็สามารถรวมรวบกลุ่มนักแสดงสมทบ ที่มาช่วยเพิ่มสีสันให้กับภาพยนตร์ และ จางจื่ออี้ นักแสดงสาวชาวจีนก็เป็นคนต่อมาที่เข้ามาร่วมในโปรเจ็คนี้ โดย จาง รับบทเป็น คริสติน ลูกเลี้ยงจิตใจไม่ปกติของครอบครัวชาวอเมริกัน ที่รับบทโดย ปีเตอร์ สตอร์มาร์ ซึ่งความท้าทายของ จาง คือนี้เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่เธอต้องพูดเป็นภาษาอังกฤษตลอดทั้งเรื่อง
จาง พูดถึงการที่เธอต้องมาพูดภาษาอังกฤษทั้งเรื่อว่า "ฉันขอสารภาพตามตรงว่า ภาษาอังกฤษไม่ใช่ภาษาที่ฉันถนัดใช้เลย ซึ่งในเรื่องนี้นั้นก็มีบทพูดที่ค่อนข้างจริงจังมากมาย จริงๆแล้วฉันไม่เคยต้องพูดอะไรแบบนั้นในภาพยนตร์จีนที่ตัวเองเคยแสดงมาเลย เพราะฉะนั้น The Housemen ถือว่าเป็นโปรเจ็คที่พิสูจน์ความสามารถฉันจริงๆ"
จาง ซึ่งฝันร้ายเกือบทุกคืนตลอดระยะเวลาการถ่ายทำได้เล่าว่า "มันช่วยเปิดโอกาสให้ฉันได้แสดงในบทที่ดูจริงจัง ซึ่งเป็นสิ่งที่ฉันต้องการเล่นมาโดยตลอด นี้คือภาพยนตร์ที่ทั้งจริงจังและมีบรรยากาศที่มืดหม่น คนดูจะต้องสงสัยว่า แท้จริงแล้ว คริสติน เป็นปีศาจร้ายหรือว่าเป็นเหยื่อ? เธอเป็นคนวิกลจริตหรือปกติ? เธอมีอารมณ์รุนแรงหรือเยือกเย็น? ในฐานะที่ตัวเองเป็นนักแสดงแล้ว มันก็เป็นเรื่องน่ายินดี สำหรับการมีอิสระในการสร้างสรรค์ตัวละครที่ตัวเองรับบท ซึ่งมันก็ต่างจากตัวตนที่แท้จริงของฉันอย่างสิ้นเชิง"
อเคอร์ลันด์ พูดถึงซุปเปอร์สตาร์สาวชาวจีนว่า "ผมรู้ว่า จื่ออี้ ต้องดิ้นรนทั้งกายและใจ ในการเรียนรู้บทภาพยนตร์ที่เป็นภาษาอังกฤษ แต่ด้วยความพยายาม รวมถึงพรสวรรค์ของนักแสดงที่มีอยู่ในตัวเธอ ผลที่ได้นั้นก็ออกมาอย่างเยี่ยมยอด พวกเราทุกคนไม่รู้สึกเลยว่าภาษาอังกฤษไม่ใช่ภาษาแม่ของเธอ"
นอกจากนั้นแล้ว นักแสดงคนอื่นๆใน The Horsemen ก็ล้วนแต่เป็นนักแสดงที่มีประสบการณ์ แอนดรูว ฟอร์ม ผู้อำนวยการสร้าง ได้พูดถึงกลุมนักแสดงชุดนี้ว่า "พวกเราโชคดีที่มีนักแสดงอย่าง ปีเตอร์ สตอร์มาร์ และ แพ็คทริค ฟูกิต ที่เคยร่วมงานกับผู้กำกับมาในโปรเจ็คที่แล้ว ซึ่งมันก็ช่วยสร้างความรู้สึกที่เป็นกันเองในกองถ่าย รวมถีง ลู เทเลอร์ พุคชี่ ซึ่งเป็นนักแสดงดาวรุ่งที่มีพรสวรรค์ ผมเชื่อว่าความเข้มแข็งของบทภาพยนตร์ ได้ช่วยดึงดูดให้พวกเขาเข้ามารับบทเป็นแต่ละตัวละครในเรื่องนี้"
วินนิเพ็ค เมืองน้ำแข็ง
ช่วงปลายเดือนมกราคม ปี 2007 The Horsemen ก็เริ่มทำการถ่ายทำ โดยทั้งทั้งงานสร้างและทีมงานนักแสดงจากทั่วทุกมุมโลก ก็ได้มุ่งหน้าไปสู่เมืองวินนิเพ็ค, ประเทศแคนาดา แต่ทุกคนที่รวมถึงทีมงานพื้นเมืองที่อยู่ในเมืองนี้ จะต้องรับมือกับความหนาวสุดขั้วที่ถาโถมเข้าใส่กองถ่ายภาพยนตร์
“โอเค ผมคงบอกได้แค่ว่า ทีมงานที่มาจากสวีเดน และทีมงานจากแคนาดาดูจะเตรียมพร้อมรับมือกับความหนาวได้ดีกว่าชาติอื่นๆ เพราะว่าพวกเราคุ้นเคยกับการทำงานภายใต้สภาวะอากาศแบบนี้" อเคอร์ลันด์ เล่าพลางหัวเราะ "ผมคิดว่ากลุ่มคนที่บ่นเป็นหมีกินผึ้งดูจะมีแต่ทีมงานที่มาจากแคลิฟอร์เนียหรือเท็กซัส แต่ผมก็เข้าใจพวกเขาน่ะ"
เขาเสริมว่า "อย่างไรก็ตาม พวกเราไม่เคยถูกสภาพอากาศเล่นงานจนต้องทำให้ปิดกองเลย ความจริงแล้ววันที่อากาศหนาวที่สุดก็ยังสามารถให้ฟุตเตจที่เยี่ยมที่สุดให้กับเราซะอีก"
วันที่ 29 มกราคม ปี 2007 คือวันแรกของการถ่ายทำ ซึ่งก็เป็นช่วงเวลาที่หนาวที่สุดของเมืองวินนิเพ็ค โดยช็อตที่แรกทีมงานไปถ่ายทำคือ บ่อน้ำแข็งในแถบมานิโตบ้า ซึ่งอยู่ห่างจากวินนิเพ็คไปประมาณหนึ่งชัวโมง ด้วยอุณภูมิที่ติดลบ 35 องศาเซลเซียส ทีมงานทุกคนต่างก็ต้องสวมใส่ชุดกันหนาว ในแบบที่ใช้กันในขั้วโลกตั้งแต่หัวจดเท้าจนไม่มีใครจำใครได้ และนั้นก็เป็นวันที่มีสภาพอากาศดีที่สุดแล้ว
จางจื่ออี้ เล่าถึงประสบการณ์ในเมืองน้ำแข็งนี้ว่า "คำจำกัดความของเมืองนี้ก็คือ "แข็ง" โดยเฉพาะวันที่พวกเราต้องถ่ายทำกันนอกสถานที่ ก็เหมือนกับเราทำงานอยู่ในตู้แช่แข็งขนาดมหึมา พวกเราต้องสวมชุดหลายชั้น และยังต้องมีแผ่นความร้อนที่ช่วยให้เราอบอุ่น วันที่ เดนนิส กับฉันถ่ายทำกันในสวนสาธารณะ ฉันค่อนข้างมั่นใจว่าหน้าของตัวเองคงหลุดออกไปได้แล้ว เพราะฉันไม่สามารถขยับกล้ามเนื้อส่วนใดบนใบหน้าได้เลย และเมื่อตัวละครของฉันต้องร้องไห้ในฉาก น้ำตาที่ไหลออกมาก็แข็งตัวในทันที นั้นแหละคือความหนาวที่แท้จริง!"
The Horsemen ถ่ายทำกันในวินนิเพ็คประมาณ 8 สัปดาห์ ซึ่งเป็นระยะเวลาที่นานพอ ในการที่ทีมงานจะได้สัมผัสกับฤดูใบไม้ผลิ โดยทีมงานได้ใช้สถานที่ทางประวัติศาสตร์ต่างๆเช่น โรงแรมเบลล์, โรงละคร the Metropolitan และ Holy Trinity Church อันงดงาม ที่ถูกสร้างตามศิลปะแนว neo-gothic
อเคอร์ลันด์ พูดถึงการตัดสินใจในการใช้สถานที่แห่งนี้ว่า "ผมยอมรับว่าตัวเองรู้สึกไม่แน่ใจในการไปถ่ายทำที่วินนิเพ็คในตอนแรก เมื่อตอนที่สตูดิโอขอให้ผมไปสำรวจสถานที่ก่อนการถ่ายทำ ผมก็รู้สึกในแง่ลบและยังไม่แน่ใจ แต่พวกเขาก็บอกให้ผมเปิดใจให้กว้างและลองไปดูก่อน ผมไปเป็น 3 วัน และเมื่อกลับมายังลอสแองเจลิส มันก็กลับทำให้ผมคิดในแง่บวกสุดๆ เพราะมันมีทุกสิ่งทุกอย่างที่เราต้องการในการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้"
สี่อัศวินแห่งวันโลกาวินาศ
“ผู้ร้ายของภาพยนตร์เรื่องนี้คือการถูกทอดทิ้ง" แบร็ด ฟูลเลอร์ ได้พูดถึงหัวใจของเรื่อง "มันอยู่ในความสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็น ความสัมพันธ์ของพ่อและลูก, แม่และลูก หรือแม้กระทั่งฆาตกรและเหยื่อ มันก่อตัวขึ้นภายในจิตใจ และส่งผลกระทบไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง การถูกมองข้ามสามารถนำไปสู่อารมณ์ที่รุนแรง โดยเริ่มจากความรู้สึกเศร้าโศก (grief), ความทุกข์ (sorrow), ความรู้สึกผิด (guilt) และไปลงเอยที่การแก้แค้น (revenge) ซึ่งการฆาตกรรมต่อเนื่องกับคำทำนายของ “สี่อัศวินแห่งวันโลกาวินาศ” ก็ถูกหยิบมาเปรียบเทียบกันในเรื่องนี้"
ฟอร์ม เสริมว่า "มันเป็นเรื่องน่ากลัว ที่จะคิดว่าการทอดทิ้งเพียงเล็กน้อย รวมถึงการขาดความอบอุ่นจะช่วยผลักดันให้ใครบางคนทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด คุณจะเห็นได้จากพาดหัวข่าวทุกวันนี้ อาชญากรรมรุนแรงที่กระทำโดยคนในครอบครัวทำต่อสมาชิกคนอื่น หรือนักเรียนในโรงเรียนกราดยิงใส่คุณครูและเพื่อนนักเรียน เหมือนกัยว่าพวกเรากำลังถลำลึกลงไปในโลกอันน่าพิศวง มีบทพูดหนึ่งในภาพยนตร์ที่ผมรู้สึกกระทบจิตใจที่พูดว่า 'ไม่ได้มีอัศวินเพียงแค่สี่คนเท่านั้น แต่มันมีเป็นล้านคนบนโลกใบนี้' มันทำให้คุณรู้สึกสงสัยว่า ข้างนอกอาจมีสิ่งที่รอวันระเบิดออกเป็นชิ้นๆอยู่ มันคือคอนเซ็ปที่ช่วยตรึงรากฐานให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้กับโลกแห่งความเป็นจริง ถึงแม้ว่าคำทำนายเรื่องอวสานโลกนั้นจะมีอยู่จริง แต่มันคงทำให้คุณรู้สึกสงสัยแน่นอน"
เหมือนกับคนที่ตั้งสมมุติฐาน หรือศาสตร์จารย์ในแต่ละยุคสมัยที่ได้ตีความเอาเรื่องของ “สี่อัศวินแห่งวันโลกาวินาศ" ที่อยู่ในพระคำภีร์ ทีมผู้สร้างเองก็ได้ตีความในรูปแบบของตัวเอง โดยยังเชื่อมความสัมพันธ์เหล่านั้นกับตัวละครและสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย
"ดำ, แดง, เขียวซีด และ ขาว ทุกสียังอยู่ครบถ้วน" ฟูลเลอร์ ได้พูดถึงการตีความของพวกเขา "ด้วยความสามารถในการเล่าเรื่องด้วยภาพของ โจนาส และการออกแบบการสร้างที่ดูขึงขังของ แซนดี้ ค๊อกเรน โดยสีเหล่านั้นถูกใช้เพื่อเพิ่มเหตุผลและความน่าตื่นเต้นรอบๆบรรยากาศของฉากฆาตกรรม พวกเราพยายามอ้างอิงคำทำนายในพระคำภีร์ ในแบบที่ไม่เทศนาคนดูด้วยบทพูดที่อยู่ในไบเบิ้ล และพยายามที่จะเน้นถึงช่วงที่สำคัญในรูปแบบภาพเคลื่อนไหวให้มากที่สุด"
พิธีการบูชายัน
ฟูลเลอร์ ได้พูดถึงการฆาตกรรมต่อเนื่อง ที่อ้างอิงมาจากคำทำนายที่อยู่ในบทที่หกของพระคำภีร์ใหม่ โดยรูปแบบของเหยื่อทุกรายที่ถูกสังหารนั้น สามารถสืบรอยหาต้นตอไปถึงพิธีกรรมบูชายัน ที่คิดค้นขึ้นโดยชาวมานดาน (Mandan) เผ่าอินเดียนแดงที่สูญพันธ์ไปแล้ว พวกเขาเรียกพิธีกรรมนี้ว่า "การแขวน" (suspension) ซึ่งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมามันก็กลายเป็นพิธีกรรมที่กลายเป็นที่นิยม
อเคอร์ลันด์ เล่าว่า "มันไม่ยากเลยที่จะไปค้นคว้าหาข้อมูล สิ่งเดียวที่ผมทำก็คือการเข้าไปค้นหาข้อมูลบนอินเตอร์เน็ต และผมก็พบว่ามีกลุ่มคนกว่าหนึ่งร้อยคนพยายามที่จะทำพิธีบูชายันเช่นนั้น ขอสารภาพตามตรงว่าผมรู้สึกสะอิดสะเอียนในตอนแรก แต่ด้วยการที่มันเป็นส่วนที่สำคัญของเรื่อง ทำให้ผมต้องรู้เรื่องเกี่ยวกับมันให้มากที่สุด การได้พูดคุยกับผู้คนที่เคยผ่านพิธีกรรมนี้มาแล้ว รวมถึงการที่ผมได้ไปเห็นพิธีบูชายันด้วยตาตัวเอง และมันก็ช่วยให้ผมเข้าใจพวกเขาได้มากขึ้น ผู้คนเหล่านี้ใช้เวลาอย่างมากในการเตรียมตัวสายที่จะใช้แขวนร่างกาย พวกเขาละเอียดอ่อนในเรื่องของรายละเอียด ตอนนี้ผมเข้าใจมันแล้ว สำหรับใครบางคนมันอาจจะเป็นแค่ความสนุกและความพอใจ สำหรับบางคนมันอาจจะเป็นวิธีในการเผชิญหน้ากับความกลัว สำหรับบางคนมันอาจจะเป็นการชำระล้างบาป และสำหรับบางคนก็ทำเพื่อใช้ในการแสดงโชว์
เขาเล่าต่อว่า "แต่ไม่ว่าจะเป็นสาเหตุไหนก็ตาม มันเป็นประสบการณ์ทางสายตาที่ผมจะไม่มีวันลืม ‘การแขวน’ คือสิ่งที่คุณต้องเห็นด้วยตัวเอง และผมคิดว่ามันจะมีประสิทธิภาพมากเมื่อมันปรากฎอยู่ในภาพยนตร์เรื่องนี้ พวกเราคิดว่ามันคงเป็นรูปแบบที่แปลกใหม่ สำหรับการสืบสวนเรื่องฆาตกรต่อเนื่อง ผมคิดว่ามันสามารถกระตุกต่อมความกลัวของคนดู แต่ขอทำความเข้าใจอย่างหนึ่งว่า พวกเราไม่ได้สนับสนุนให้ทุกคนเลียนแบบน่ะ เพราะก็อย่างที่คุณเห็น มันเป็นกิจกรรมที่อันตรายสุดๆ"
ผู้ร่วมอำนวยการสร้าง เจเรไมอาห์ แซมมูเอล ได้ออกไปค้นหาข้อมูลและได้พบกับผู้ชายคนหนึ่งใน เมืองพาซาดีน่า, แคลิฟอร์เนีย ที่อนุญาติให้ทีมงานบันทึกเทป “การแขวน” ของเขา
เขาเล่าถึงการพบปะกับผู้ชายคนนี้ให้ฟังว่า “ผมคาดหวังว่าจะได้ยินเสียงคนจิตไม่ปกติที่อยู่ปลายสายโทรศัพท์ อย่างไรก็ตาม เสียงที่ผมได้ยินนั้นต่างจากที่พวกเราคิดไว้มาก เขามีเสียงที่ผ่อนคลายเหมือนกับหมอฟัน เขาเป็นคนที่ยอดเยี่ยมและยังให้ข้อมูลที่มีค่า ดังนั้นเราจึงถามเขาว่า จะเป็นไปได้ไหมถ้าเราจะบันทึกภาพพิธีกรรมนี้ ซึ่งเขาก็ตอบตกลง"
เขาเล่าต่อว่า "ในวันอังคารตอนบ่ายแก่ๆ เขาและภรรยาที่น่ารักก็เดินทางมาถึง เขาเป็นชายที่ดูอ่อนโยน และดูเป็นคนนอบน้อม เพียงแต่มีการใช้เวลาว่างที่แปลกแปลกประหลาดเท่านั้น เขาเริ่มที่จะอธิบายถึงน้ำหนักที่เพดานสามารถรองรับน้ำหนักของร่างกายคนได้ เขาอธิบายเกี่ยวกับตะขอที่พวกเขาใช้ และวิธีการฆ่าเชื้อก่อนที่จะเกี่ยวเข้าไปในเนื้อ และเมื่อการเตรียมตัวที่แม่นยำเสร็จสิ้น เขาก็แสดงให้เราเห็น และเราก็ได้บันทึกเทปเพื่อนำมาใช้มาอ้างอิงในอนาคต"
การบันทึกเทป "การแขวน" กลายเป็นวัตถุดิบอันล้ำค่าสำหรับบริษัททำเอฟเฟ็ค KNB และ เจ็ค การ์เบอร์ ผู้ควบคุมเอฟเฟ็คในกองถ่ายจากบริษัท SFX โดยหลังจากที่ได้ศึกษาเทปแล้ว ทีมงาน SFX ก็เริ่มที่จะหาวิธีในการจำลองภาพตะขอที่ฝังเข้าไปในเนื้อมนุษย์, จำนวนเลือดที่ไหลออกมา รวมถึงท่าทางของเหยื่อที่จะต้องถูกแขวน
การ์เบอร์ ที่เคยทำงานอยู่ใน Platinum Dunes ของ ไมเคิล เบย์ โดยเคยทำงานในส่วนของเอฟเฟ็คให้กับเรื่อง The Texas Chainsaw Massacre, Amityville and The Hitcher ได้อธิบายว่า “มันเป็นเรื่องปกติในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ที่เราจะใช้ลาเท็กซ์เข้าช่วยในการสร้างชิ้นส่วนจำลอง โดยพวกเราได้ใช้จำนวนลาเท็กซ์ที่พอเหมาะสำหรับการยืดหยุ่น เพื่อแสดงให้เห็นว่าเนื้อของมนุษย์นั้นจะขยายตัวได้มากแค่ไหนโดยที่ยังไม่ฉีก และพวกเรายังมีการใช้ซีจีเข้าช่วยเพิ่มในสิ่งที่ไม่สามารถสร้างขึ้นมาได้"
การ์เบอร์ ยอมรับว่า มันเป็นเรื่องลำบากสำหรับเขาในการนั่งดูเทปพิธีกรรม "ผมรู้สึกทรมานในการนั่งดูมาก แต่มันเป็นเรื่องที่จำเป็นในการทำให้เหมือนและสมจริง ผู้สร้างคงไม่อยากให้คนดูคิดว่า 'โอ้ ผิวหนังของมนุษย์คงไม่ยึดซะขนาดนั้นหรอก' แต่พวกเราได้ทำการค้นคว้าและเห็นด้วยตาตัวเองแล้ว และผู้ชมก็จะต้องรู้สึกแปลกใจว่า ผิวหนังของมนุษย์นั้นมันแข็งแรงได้ขนาดนี้เลยเหรอ"
เขาเสริมต่อว่า "ผมคิดว่าคนดูคงมีอารมณ์ร่วมไปกับความสยองที่จับต้องได้ และผมก็เชื่อว่าด้วยความสงสัยหลังจากที่พวกเขาได้ดูหนัง คงมีหลายคนที่จะไปเปิดดูพิธีกรรมนี้ในอินเตอร์เน็ต และพวกเขาก็จะแปลกใจว่าพวกเราทำมันได้เที่ยงตรงมากแค่ไหน"
อเคอร์ลันด์ สรุปว่า "การฆาตกรรมอันแสนทรมานเหล่านั้น เกิดขึ้นเพราะฆาตกรเองก็อยู่ในความเจ็บปวดที่สุดหยั่งถึง พวกเขารู้สึกว่าตัวเองถูกทอดทิ้ง, ถูกเข้าใจผิดและไม่มีใครรัก ผมว่าในช่วงชีวิตทุกคน ก็มีช่วงเวลาที่ถูกเข้าใจผิด หรือการไม่ถูกยอมรับจากคนในครอบครัว, เพื่อนฝูง หรือสังคม พวกเขาก็คงสามารถเชื่อมต่อระหว่างตัวละครในเรื่องกับชีวิตของตัวเองได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ผมรู้ดีว่าความสัมพันธ์ระหว่าง เบรสลิน กับลูกทั้งสองชองเขาจะเป็นจุดศูนย์กลางของเรื่องนี้ ทุกคนที่เป็นผู้ปกรองหรือเป็นผู้ถูกปกครองคงไม่มีใครชอบความเจ็บปวดหรอก มันเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่สำหรับผม และผมก็หวังว่าผู้คนมองเห็นมันในหนังเรื่องนี้ สำหรับความคิดเรื่องการสละเวลาที่มีค่าของตัวเองสักนิด ในการรักษาแผลใจของคนรอบตัวคุณ"
ทีมนักแสดง
เดนนิส เคว็ด (รับบทเป็น เบรสลิน)
นี้คือนักแสดงที่มีเสน่ห์ที่สุดคนหนึ่งในฮอลลิวู้ด โดยเขาได้รับรางวัลจาก New York Film Critics Circle และ The Independent Spirit Awards และยังถูกเสนอเข้าชิง Golden Globe Award and Screen Actor’s Guild Award รวมถึงรางวัลออสการ์ จากภาพยนตร์เรื่อง Far From Heaven ที่เขารับบทเป็นชายวัยกลางคน ที่ปกปิดเรื่องการเป็นีกร่วมเพศของตัวเองในยุค 1950
ผลงานภาพยนตร์ในปีที่ผ่านมาของเขาก็มี The Express ที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับ เออร์นี่ เดวิส นักอเมริกันฟุตบอลผิวดำคนแรกที่ได้รับรางวัล Heisman Trophy ซึ่งเสียชีวิตด้วยโรคลูคีเมีย, Vantage Point ภาพยนตร์ที่เล่าถึงการลอบสังหารประธานาธิปดีสหรัฐอเมริกาจากหลายมุมมอง ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Rashomon ของ อากิระ คุโรซาว่า และ Smart People ภาพยนตร์อินดี้รวมดาวเรื่องเยี่ยม ที่ถูกคัดเลือกให้เข้าฉายในเทศกาลหนังซันแด้นส์
ผลงานเรื่องอื่นๆของเขาก็ยังมี Frequency, The Day After Tomorrow, Yours, Mine and Ours, In Good Company, The Rookie, The Parent Trap, Wyatt Earp, The Right Stuff, Innerspace และ Great Balls of Fire
จางจื่ออี้ (รับบทเป็น คริสเทน)
นักแสดงสาวชาวจีนที่เป็นที่รู้จักกันทั่วโลกจากภาพยนตร์เรื่อง Crouching Tiger, Hidden Dragon ของผู้กำกับ หลี่อัน ที่ได้รับรางวัลออสการ์ในสาขาภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยม ซึ่งก็เป็นใบเบิกทางให้เธอได้ร่วมงานกับผู้กำกับชื่อดังมากมาย ไม่ว่าจะเป็น วัชเจียเหว่ย ในภาพยนตร์เรื่อง 2046 หรือว่าจะเป็น จางอื้โหมว ในภาพยนตร์เรื่อง The Road Home, Hero และ House of Flying Daggers
เธอยังมีผลงานในต่างประเทศอีก เช่น Rush Hour 2 แฟรนไชน์ของพระเอกนักบู๊ เฉินหลง ที่ถูกสร้างกันมาแล้วถึงสามภาค, Princess Raccoon ของผู้กำกับในตำนาน เซจุน ซูสูกิ ที่พูดถึงตำนานพื้นบ้านของญี่ปุ่น และล่าสุดคือ Memoirs of a Geisha ที่ทำให้เธอถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำ ในสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม
ผลงานเรื่องอื่นๆของเธอก็ยังมี The Banquet, Jasmine Women และ Purple Butterfly โดยเธอยังถูกโหวตให้เป็นหนึ่งผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในประเทศจีนมาตลอด 5 ปีที่ผ่านมา รวมถึงการได้เป็นคณะกรรมการที่อายุน้อยที่สุดในเทศกาลหนังเมืองคานส์
ลู เทเลอร์ พุคชี่ (รับบทเป็น อเล็ค)
ผลงาน Thumbsucker, Carriers, The Informers, The Crumscrubber, The Go-Getter, Fast Food Nation และ Personal Velocity
ปีเตอร์ สตอร์มาร์ (รับบทเป็น สปิตส์)
ผลงาน The Brothers Grimm, Constantine, Birth, Awakenings, Minority Report, The Lost World: Jurassic Park, Fargo, The Big Lebowski, Bad Boys II, Chocolat, Spun และ Armageddon
แพ็ททริค ฟูกิต (รับบทเป็น คอรี่ย์)
ผลงาน Almost Famous, White Oleander, Spun, Saved, The Amateurs, Wristcutters: A Love Story และ The Good Life
ทีมผู้สร้าง
โจนาส อเคอร์ลันด์ (ผู้กำกับ)
เขาเป็นผู้กำกับ/ตัดต่อที่ถูกงานเยอะที่สุดในขณะนี้ ภาพยนตร์เรื่องแรกของเขาอย่าง Spun ได้รับเสียงชื่อชมอย่างท่วมท้น รวมถึงเป็นการรวบรวมนักแสดงชั้นนำมากมาย เช่น มิคกี้ รูค, บริทานี่ย์ เมอร์ฟี่ย์, ปีเตอร์ สตอร์มาร์, แพ็ททริค ฟูกิต และ เจสัน ชวาร์ตซ์แมน
เขาเข้าสู่วงการด้วยการกำกับมิวสิควีดีโอเพลง Smack My Bitch Up ของ The Prodigy และเพลง Ray of Light ของ มาดอนน่า ซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัลมิวสิควีดีโอยอดเยี่ยมจาก Grammy Award โดยเขายังมีผลงานมิวสิควีดีโอให้กับนักร้องชื่อดังมากมายเช่น มาดอนน่า, คริสติน่า อากิเลร่า, พอล แม็คคาร์ทนี่ย์, เลนนี่ คราวิส, ออสซี่ ออสบอร์น, Blondie, U2, โรลลิ่ง สโตน และอื่นๆอีกมากมาย
ไมเคิล เบย์ (ผู้อำนวยการสร้าง)
ผลงาน Transformers, The Island, Pearl Harbor และ Armageddon
แอนดรูว ฟอร์ม และ แบร็ด ฟูลเลอร์ (ผู้อำนวยการสร้าง)
ผลงาน The Texas Chainsaw Massacre: The Beginning, The Texas Chainsaw Massacre, The Amityville Horror, The Hitcher และ The Unborn
เดวิด คัลลาแฮน (ผู้เขียนบท)
ผลงาน Doom และ Tell-Tale
แซนดี้ ค๊อกเรน (ผู้ออกแบบการสร้าง)
ผลงาน Chaos Theory, Paycheck, The Santa Clause 2, Along Came a Spider, Deep Rising, Look Who’s Talking Now และ This Boy’s Life
จิม เมย์ (ผู้ตัดต่อภาพ)
ผลงาน The Chronicles of Narnia: The Lion, the Witch and the Wardrobe, Van Helsing, Kangaroo Jack, Hitcher, The Texas Chainsaw Massacre: The Beginning, Pearl Harbor และ Armageddon
เอริค บรอม (ผู้กำกับภาพ)
ผลงาน Turn the Page, I'm Going to Tell You a Secret และ Spun
บี (ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย)
ผลงาน Domino, Spun, Out in Fifty และ Filth and Wisdom