กรุงเทพฯ--29 เม.ย.--PRdd
นายไพศาล ครุฑดำรงชัย รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายที่ปรึกษาการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทหารไทย จำกัด เปิดเผยว่า ขณะนี้ บริษัทฯ ได้วางแผนงานเชิงรุกในตลาดกองทุนสำรองเลี้ยงชีพอย่างเต็มตัว ภายหลังได้มีการพัฒนาระบบเทคโนโลยีภายในให้มีความสมบูรณ์แบบมากขึ้น เพื่อรองรับกับนโยบายการลงทุนรูปแบบใหม่ในแบบ Master Fund ที่เปิดโอกาสให้สมาชิกสามารถเลือกนโยบายการบริหารของตนเอง (Employee’s Choice) ตามความเสี่ยงที่รับได้ของแต่ละบุคคล
กองทุนสำรองเลี้ยงชีพแบบ Master Fund จะมีลักษณะเป็นกองทุนร่วมทุน (Pool Fund) ที่นายจ้างสามารถจดทะเบียนเข้าร่วมเป็นสมาชิกกองทุนเพียงครั้งเดียว โดยมีนโยบายการลงทุนให้เลือก 7 นโยบาย ประกอบด้วย กองทุนประเภทตราสารหนี้ที่เน้นความเสี่ยงต่ำ มีสภาพคล่องสูง จำนวน 2 นโยบาย คือ นโยบายที่ 1 ลงทุนในกองทุนเปิดทหารไทยธนรัฐ นโยบายที่ 2 ลงทุนในกองทุนเปิดทหารไทยธนบดี ซึ่งทั้ง 2 กองทุนเหมาะกับผู้ที่ต้องการความมั่นคงสูงและมีความเสี่ยงต่ำ เพราะได้รับการจัดอันดับเครดิตสูงสุดจากฟิทซ์ เรตติ้ง คือ AAA(tha)/ V1+(tha) นอกจากนี้ นโยบายที่ 3 จะเน้นลงทุนในหุ้นเต็มอัตรา ได้แก่ กองทุนเปิดทหารไทย SET 50 ที่ลงทุนในหุ้นสามัญที่ให้ผลตอบแทนใกล้เคียงดัชนี SET 50 เช่นเดียวกับนโยบายที่ 4 คือ กองทุนเปิด JUMBO 25 ที่ลงทุนในหุ้นสามัญ 25 ตัวแรกที่คัดเลือกจากเกณฑ์มูลค่าตามราคาตลาด ผลประกอบการ การจ่ายเงินปันผล สภาพคล่องของหลักทรัพย์ และการควบคุมการกระจุกตัวของหลักทรัพย์ในแต่ละอุตสาหกรรม
สำหรับ นโยบาย ที่ 5 จะลงทุนในกองทุนเปิดทหารไทยโกลด์ฟันด์ ที่ลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนต่างประเทศที่ลงทุนในทองคำแท่ง และนโยบายที่ 6 จะลงทุนในหุ้นต่างประเทศ ผ่านกองทุนเปิดทหารไทย World Equity Index ที่ลงทุนผ่านกองทุน Lyxor ETF MSCI World เพื่อให้ได้ผลตอบแทนใกล้เคียงดัชนี MSCI World ส่วนนโยบายที่ 7 จะลงทุนในกองทุนเปิดทหารไทย Emerging Markets Equity Index เพื่อลงทุนในหุ้นต่างประเทศผ่านกองทุน iShares MSCI Emerging Market Index Fund เพื่อสร้างผลตอบแทนของกองทุนให้ใกล้เคียงดัชนี MSCI Emerging
“จุดเด่นของบลจ.ทหารไทย อยู่ที่บริษัทฯมีนโยบายการลงทุนที่หลากหลายให้สมาชิกเลือก ผ่านกองทุนที่จัดตั้งไว้แล้ว แต่ละนโยบายเน้นการลงทุนในประเภทหลักทรัพย์และระดับความเสี่ยงที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน (Defined Asset Class) ทำให้สมาชิกสามารถตัดสินใจเลือกได้อย่างไม่ยุ่งยาก โดยนายจ้างจะนำส่งเงินโดยจัดทำเช็คเพียง 1 ใบ และบริษัทฯจะทำหน้าที่กระจายเงินของสมาชิกไปยังกองทุนที่เลือก เมื่อกองทุนมีขนาดใหญ่ขึ้น จะส่งผลให้สามารถต่อรองกับบริษัทต่างๆที่เกี่ยวข้องในการบริหารเงินลงทุนได้มากขึ้นทำให้ค่าใช้จ่ายโดยรวมลดลง นอกจากนี้ บริษัทฯยัง ไม่คิดค่าใช้จ่ายในการจัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เนื่องจากเงินกองทุนจะถูกนำไปลงทุนในหน่วยลงทุนในกองทุนที่จัดตั้งไว้จึงไม่ถูกเรียกเก็บซ้ำซ้อน “ นายไพศาลกล่าว พร้อมให้รายละเอียดว่า
บริษัทฯ ยังมีบริการให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการลงทุนและวิธีการเลือกนโยบายการลงทุนให้เหมาะกับความต้องการ นอกจากนี้ สมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพยังจะได้รับบริการด้านต่างๆเช่นเดียวกับผู้ถือหน่วยบลจ.ทหารไทย ไม่ว่าจะเป็น Call Center, The Library และ โปรแกรม Fund Link ฯลฯ
“ที่ผ่านมา นโยบายการลงทุนของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพจะกำหนดโดยคณะกรรมการกองทุนและจะกำหนดเป็นนโยบายเดียวสำหรับสมาชิกกองทุนทุกคน ซึ่งอาจไม่สอดคล้องกับสมาชิกแต่ละคนที่มีความแตกต่างกันทั้งอายุ ความต้องการ ระยะเวลาการออม จำนวนเงินออม ความเสี่ยงที่รับได้ ตลอดจนความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการลงทุน อีกทั้งสมาชิกในแต่ละวัยอาจมีเป้าหมายในการออมที่แตกต่างกัน ดังนั้น การจัดรูปแบบการลงทุนที่แตกต่างให้สมาชิกแต่ละคนเลือกตามกรอบนโยบายจะเป็นทางออกที่เหมาะสม เพราะสมาชิกจะสามารถเปลี่ยนแผนการลงทุนที่เหมาะสมกับตัวเองได้ตลอดเวลา” นายไพศาลกล่าว
ปัจจุบัน บลจ.ทหารไทยมีลูกค้าที่ไว้วางใจเข้าเป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพภายใต้การบริหารงานจำนวนกว่า 300 บริษัทฯ มีจำนวนสมาชิกประมาณ 43,000 ราย มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารงานประมาณ 4,400 ล้านบาท โดยในปีนี้ บริษัทฯได้พัฒนาระบบและความพร้อมด้านบุคลากรเพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าระดับเล็กถึงกลางมากขึ้น ซึ่งคาดว่า จะมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารงานเพิ่มขึ้นประมาณ 4,000 ล้านบาท
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ
PRdd ที่ปรึกษาประชาสัมพันธ์
ลัคคณา บุษบา
โทร.02-953-8633, 02-953-8723