กรุงเทพฯ--7 ธ.ค.--เจดี พาร์ทเนอร์
CCP คาดธุรกิจคอนกรีตปี 2550 ยังสดใส หลังยอดขายงานเอกชนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง บวกกับเม็ดเงินลงทุนเมกะโปรเจกภาครัฐ จึงตั้งเป้าการเติบโตปีหน้า 10-15%
ผลิตภัณฑ์คอนกรีตชลบุรีเผยยอดขายสินค้าคอนกรีตครึ่งปีหลังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง มียอดงานในมือกว่า 1,600 ล้านบาท ตั้งเป้าปี 2550 โต 10 - 15% ตามภาพรวมตลาดคอนกรีตที่มีแนวโน้มขยายตัว จากปัจจัยบวกงบประมาณโครงการเมกะโปรเจกส่วนต่อขยายรถไฟฟ้า และงานซ่อมแซมจากภัยน้ำท่วม ที่ช่วยกระตุ้นการเติบโตของธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง รวมทั้ง การฟื้นตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ รับการกลับมาของกำลังซื้อผู้บริโภคหลังราคาน้ำมันและอัตราดอกเบี้ยชะลอตัว
นายชาคริต ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายปฏิบัติการ บริษัท ผลิตภัณฑ์คอนกรีตชลบุรี จำกัด (มหาชน) หรือ “CCP” เปิดเผยการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจคอนกรีต ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัทฯ ว่า ยอดขายในครึ่งปีหลังยังเติบโตอยู่ในระดับที่น่าพอใจ โดยในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา ยอดขายกลุ่มธุรกิจคอนกรีตอยู่ที่ 425.40 ล้านบาท ใกล้เคียงกับไตรมาส 2 ซึ่งอยู่ที่ 428.36 ล้านบาท แม้ว่าจะอยู่ในช่วงฤดูฝนที่โครงการก่อสร้างต่างๆ มักชะลอตัวล่าช้ากว่าปกติ ขณะที่ต้นทุนขายลดลง และค่าใช้จ่ายในการขาย การบริการและการบริหารเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย อันเป็นผลมาจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาที่ผ่านมา ประกอบกับการที่บริษัทฯ นำระบบ SAP (System Application Products) มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการคลังสินค้า โดยในไตรมาส 3 ที่ระบบดังกล่าวทำงานได้สมบูรณ์ พบว่าบริษัทฯ สามารถควบคุมต้นทุนขายได้ดีขึ้น
สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจคอนกรีตในไตรมาส 4 พบว่า บริษัทฯ ยังสามารถประมูลรับงานได้อย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีมูลค่างานในมือ จากสินค้าคอนกรีตผสมเสร็จ สินค้าคอนกรีตสำเร็จรูปโครงสร้างงานระบบ และสินค้าคอนกรีตสำเร็จรูปตกแต่งบ้าน รวมประมาณ 1,630 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ถึงเดือนธันวาคม ปี 2550 และบริษัทฯ คาดการณ์ว่า จากสภาวะเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มดีขึ้น ทั้งราคาน้ำมันและอัตราดอกเบี้ยที่เริ่มคงที่และมีทิศทางลดลงในอนาคต ซึ่งมีผลต่อกำลังซื้ออสังหาริมทรัพย์ของผู้บริโภค และความมั่นใจในการขยายการลงทุนของภาคธุรกิจเอกชน ประกอบกับความความคืบหน้าของโครงการเมกะโปรเจก โดยเฉพาะส่วนต่อขยายรถไฟฟ้า ซึ่งมีความชัดเจนจากรัฐบาลว่าบางส่วนจะสามารถเริ่มดำเนินได้ในปีหน้านี้ นับเป็นปัจจัยบวกที่ช่วยกระตุ้นให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ในปี 2550 มีสัญญาณฟื้นตัวดีขึ้นจากช่วงที่ผ่านมา ซึ่งจะเอื้อให้ความต้องการใช้คอนกรีต ทั้งคอนกรีตผสมเสร็จ และคอนกรีตสำเร็จรูป ขยายตัวตามไปด้วย
นอกจากนี้ ในปลายปี - ต้นปี 2550 จะมีงบประมาณภาครัฐสำหรับงานซ่อมแซมถนนหลวงที่ได้รับความเสียหายจากภัยน้ำท่วมเข้ามาเพิ่มเติม อีกทั้ง จากสถานการณ์น้ำท่วมในปีนี้ที่ระดับน้ำมีความสูงมาก จนสร้างความเสียหายขยายไปยังพื้นที่ในหลายจังหวัดที่ไม่เคยประสบภัยน้ำท่วมมาก่อน เช่น จันทบุรี ได้สร้างกระแสตื่นตัวให้หลายจังหวัดมีแผนงานจะปรับปรุงระบบระบายน้ำเพื่อรับมือภัยน้ำท่วมที่อาจเกิดขึ้นอีกในอนาคต ซึ่งประเด็นดังกล่าว คาดว่าจะเป็นอีกปัจจัยบวกที่จะช่วยสนับสนุนยอดขายสินค้าคอนกรีตของบริษัท ซึ่ง CCP ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในผู้ผลิตรายใหญ่ในตลาด โดยที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้รับความไว้วางใจจากภาครัฐและบริษัทผู้รับเหมารายใหญ่ให้มีส่วนร่วมในโครงการภาครัฐและภาคเอกชนสำคัญต่างๆ ทั้ง เช่น Airport Rail Link, สถานีรถไฟฟ้า BTS ภาษีเจริญและส่วนต่อขยาย, หอควบคุมการบิน สนามบินสุวรรณภูมิ, ศาลาว่าการ กทม.2, มอเตอร์เวย์, สะพานอรุณอัมรินทร์, โครงการบำบัดน้ำเสียโคราช พัทยา พิษณุโลก และกาญจนบุรี เป็นต้น
จากความต้องการใช้คอนกรีตภายในประเทศโดยภาพรวมในปี 2550 ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ตามการขยายการลงทุนของทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน โดยเฉพาะในภาคตะวันออกซึ่งเป็นพื้นที่ตั้งของบริษัทฯ ที่ปัจจุบันพบว่า มีการขยายระบบคมนาคมทางบก และก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรม อสังหาริมทรัพย์ ทั้งบ้านจัดสรรและโรงแรม ภายในจังหวัดชลบุรี ระยองและจังหวัดใกล้เคียงเพิ่มขึ้นจำนวนมาก หลังจากการเปิดใช้สนามบินสุวรรณภูมิ จึงทำให้บริษัทฯ ตั้งเป้าการเติบโตของกลุ่มธุรกิจคอนกรีตในปี 2550 ไว้ที่ 10 - 15% โดยแผนงานสำคัญที่จะสนับสนุนให้สามารถบรรลุเป้าหมายดังกล่าวได้ นอกจากร่วมมือกับพันธมิตรผู้รับ เหมาก่อสร้างขนาดใหญ่เพื่อประมูลงานก่อสร้างสำคัญของภาครัฐ อย่างโครงการรถไฟฟ้า 5 สาย และเข้าร่วมประมูลงานเอกชนอย่างต่อเนื่องแล้ว บริษัทฯ จะเร่งทำการตลาดและเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายให้สินค้าคอนกรีตทุกประเภทของ CCP เป็นที่รู้จักแพร่หลายมากขึ้นในหมู่ผู้รับเหมาขนาดกลางและขนาดเล็ก
“CCP ชูจุดขายเรื่องคุณภาพคอนกรีตที่ได้มาตรฐานและตรวจสอบได้ โดยบริษัทฯ มีระบบควบคุมคุณภาพคอนกรีต 3 ขั้นตอนที่จะสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า เริ่มจากบริษัทฯ เป็นผู้ผลิตคอนกรีตผสมเสร็จรายแรกและรายเดียวในประเทศในขณะนี้ ที่มีการติดตั้งระบบไอที CDS (Centralized Data System) ในทุกโรงงานเพื่อควบคุมสูตรการผสมปูนให้ได้มาตรฐานเดียวกัน อีกทั้ง มีเจ้าหน้าที่ QC คอยสุ่มตรวจคุณภาพปูนจากทุกโรงงานและหน้างานของลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ รถผสมปูนทุกคันของบริษัทฯ มีการติดตั้งระบบ GPS (Global Positioning System) ตรวจสอบเส้นทางการวิ่งรถ เพื่อป้องกันปัญหาเรื่องปูนขาด เนื่องจากการเทปูนไม่ครบตามจำนวนได้ และด้วยมาตรฐานการควบคุมคุณภาพสินค้าที่มากกว่าและสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้นี้เอง บริษัทฯ เชื่อว่าจะเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยขยายฐานกลุ่มลูกค้าเป้าหมายให้เพิ่มมากขึ้นได้ตามแผนงานอย่างแน่นอน”นายชาคริตกล่าว
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
บริษัท เจดี พาร์ทเนอร์ จำกัด
โทร (02) 661-8803-5 โทรสาร (02) 661-8813
E-mail : sirirat@jaydeepartners.com