กรุงเทพฯ--4 พ.ค.--โรงพยาบาลสมิติเวช
เกณฑ์การตัดสินภาวะอ้วนในเด็กทำได้ยากกว่าผู้ใหญ่ เนื่องจากเด็กเป็นวันที่กำลังเจริญเติบโต มีน้ำหนักและส่วนสูงเพิ่มขึ้นตลอด ปัจจุบันตัวชี้วัดความอ้วนที่นิยมใช้กันในเด็กคือน้ำหนักตัวที่เหมาะสมกับความสูงนั้นๆ (Weight for Height) และมวลดัชนีกาย (Body Mass Index หรือ BMI) ซึ่งคำนวณได้จากน้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัมหารด้วยส่วนสูงเป็นเมตรยกกำลังสอง (ก.ก./ตารางเมตร2) ผู้ใหญ่จะถือว่ามีภาวะน้ำหนักเกิน (Overweight) เมื่อ BMI มีค่าเกิน 25 และ จะอ้วนเมื่อ BMI เกิน 90 โดยปกติทั้งเด็กชายและหญิงจะมี BMI เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ตามวัย โดยมีค่าต่ำสุดในช่วง 13.5-18 กก./ตารางเมตร 2 ระหว่างอายุ 4-6 ขวบ หลังจาก BMI จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ในประเทศไทยเราถือว่าเด็กอ้วนเมื่อน้ำหนักตัวที่เหมาะสมกับความสูงนั้นๆ มีค่าเกิน 120 % ของปกติส่วนในบางประเทศ เช่น อเมริกา ถือเกณฑ์เด็กอ้วนเมื่อ BMI เกิน 95%ของค่าปกติในช่วงอายุนั้นๆ เป็นที่น่าเสียดายว่าปัจจุบันในประเทศไทยยังไม่มีกราฟมาตรฐานของ BMI ในแต่ละช่วงอายุ ดังนั้นเมื่อผู้ปกครองสงสัยว่าลูกจะอ้วนหรือเปล่าควรให้กุมารแพทย์เป็นผู้ประเมิน เพื่อวินิจฉัยหรือส่งต่อให้แพทย์เฉพาะทางประเมินและรักษาต่อไป
ปัจจุบันเด็กไทยประมาณ 14-15% เป็นเด็กอ้วนซึ่งสาเหตุหลักๆในเด็กพบว่า 95% เกิดจากได้รับพลังงานจากอาหารเกินกว่าที่ร่างกายไป ร่วมกับมีปัจจัยเสี่ยงบางอย่าง เช่น ประวัติอ้วนในครอบครัวพบว่าเด็กมี่มีพ่อหรือแม่อ้วนจะมีโอกาสเป็นเด็กอ้วนเพิ่มขึ้น 4-5 เท่าเทียบกับเด็กปกติแต่จะเพิ่มขึ้นเป็น 13 เท่า ถ้าทั้งพ่อและแม่อ้วน อย่างไรก็ตามยังมีโรคอ้วนในเด็กอีกส่วนหนึ่งที่เกิดจากความผิดปกติของต่อมไร้ท่อ เช่นภาวะพร่องไทรอยด์ฮอร์โมนหรือ Growth hormone, โรค Cushing’s syndrome, ความผิดปกติของการหลั่งอินซูลิน, ภาวะพร่องหรือดื้อต่อฮอร์โมนเลปติน (Leptin) หรือโรคทางพันธุกรรมบางอย่างที่มีภาวะอ้วนเป็นหนึ่งในอาการแสดงของโรค เช่น Prader — Willi Syndrome
เด็กกลุ่มที่เสียงต่อโรคอ้วนคือ เด็กที่แรกเกิดมีน้ำหนักตัวมากหรือน้อยกว่าปกติ, เด็กที่มีพ่อแม่อ้วน, เด็กที่มีเริ่มอ้วนตั้งแต่อายุน้อยๆ ก็ยิ่งมีโอกาสเป็นผู้ใหญ่อ้วนมากขึ้น นอกจากนี้โภชนาการเกินในวัยทารกเป็นอีกปัจจัยหนึ่งพบว่า ทารกที่กินนมผสมจะมีโอกาสเป็นเด็กอ้วนได้ง่ายกว่าเด็กที่กินแต่นมแม่ และเด็กที่กินนมแม่เป็นระยะเวลานานจะมีโอกาสเป็นเด็กอ้วนได้น้อยกว่าเด็กที่กินนมเพียงระยะเวลาสั้นๆ
แค่ไหนถือว่าอ้วน
ผลกระทบหรือภาวะแทรกซ้อนในเด็กอ้วน
ผลกระทบที่สำคัญที่สุดคือการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่อ้วนในต่างประเทศมีการศึกษาพบว่าผู้ใหญ่อ้วนมากๆ จะมีอายุสั้นกว่าปกติถึง 5-20 ปี ภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อย ในเด็กอ้วนคือความผิดปกติของข้อที่รับน้ำหนักมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อเข่า นอกจากนี้บางคนยังนอนกรนหรือหยุดหายใจตอนกลางคืนจากภาวะทางเดินหายใจถูกอุดกั้นซึ่งถ้าเป็นเรื้อรังโดยไม่ได้แก้ไขอาจเกิดภาวะหัวใจวายตามมาได้ นอกจากนี้ยังอาจเป็นโรคเบาหวาน ( Type 2 Diabetes) ซึ่งปัจจุบันเริ่มพบในเด็กอายุน้อยลงเรื่อยๆ คนอ้วนบางรายอาจมีผิวหนังบริเวณคอ, รักแร้ , ขาหนีบ ข้อพับดำคล้ำ (Acanthosis Nigricans) ซึ่งเกิดจากภาวะฮอร์โมนอินสุลินในเลือดสูง สีคล้ำดูเผินๆ เหมือนขี้ไคล แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ ไม่สามารถทำให้จางลงได้ด้วยการขัดถูหรือทาครีมรักษา แต่จะจางลงได้เมื่อลดน้ำหนัก ผิวหนังสีคล้ำนี้เป็นสัญญาณเตือนว่าถ้าไม่ลดน้ำหนัก ในที่สุดเด็กคนนั้นก็จะมีโอกาสเป็นโรคเบาหวานสูงในอนาคต โดยอาจมีอาการเริ่มต้นคือกินจุแต่ผอมลง หิวน้ำบ่อย ปัสสาวะบ่อย บางรายอาจรดที่นอนตอนกลางคืน ภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ที่อาจพบได้คือไขมันในเลือดสูง ซึ่งส่วนใหญ่พบว่าดีขึ้นเมื่อลดน้ำหนัก มีเพียงร้อยรายที่จำเป็นต้องทานยารักษา ภาวะไขมันแทรกในตับ (Fatty liver) ก็เป็นอีกภาวะหนึ่งที่พบได้ในเด็กอ้วนที่มีไขมันในเลือดสูง ภาวะนี้อาจหายได้เช่นกันเมื่อลดน้ำหนัก
วิธีการรักษาและแก้ไข
ปัจจุบันยาลดความอ้วนในเด็กยังมีที่ใช้น้อยมากและมีข้อบ่งชี้ในโรคอ้วนบางอย่างเท่านั้น ดังนั้นในเด็กส่วนใหญ่จะเน้นที่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นหลัว ในเด็กเล็ก การควบคุมน้ำหนักเป็นวิธีหนึ่งที่ใช้ได้ โดยอาศัยหลักการว่าเมื่อเด็กโตขึ้น ส่วนสูงเพิ่มขึ้นทำให้ BMI ลดลง ส่วนในเด็กโตหรือวัยรุ่น การควบคุมน้ำหนักอาจไม่พียงพอ ต้องลดน้ำหนักโดยการควบคุมอาหารร่วมกับการออกกำลังกาย
ในแง่ของอาหาร การดื่มน้ำอัดลมหนึ่งกระป๋องต่อวันสามารถทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นถึง 7 กิโลกรัมต่อปี ดังนั้นวิธีง่ายที่สุดในการควบคุมอาหารคือ งดดื่มน้ำหวาน , น้ำผลไม้, หรือน้ำอัดลม ถ้าอยากดื่มน้ำอัดลมอาจเปลี่ยนเป็นชนิด diet ที่มีสารให้ความหวานเทียมแทนน้ำตาล หรือถ้าอยากดื่มน้ำผลไม้ ให้เปลี่ยนเป็นเจือจางเท่าตัวหรือกินผลไม้เป็นลูกๆ แทนซึ่งมีประโยชน์มากกว่า เนื่องจากผลไม้จะมีเส้นใยอยู่ด้วย ซึ่งย่อยและดูดซึมช้าทำให้อิ่มท้องได้นานกว่า นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ทอดหรือมีไขมันสูงโดยเฉพาะ fast food เนื้อสัตว์ที่เคยทอด อาจเปลี่ยนวิธีปรุงเป็นต้มแทน หรือใช้กระทะ Teflon ที่ไม่ติดน้ำมัน เพื่อให้ใช้น้ำมันน้อยลง
นอกจากนี้การออกกำลังการอย่างน้อย 20-30 นาที ต่อวัน 4 วันต่อสัปดาห์ก็ทำให้ร่างการเผาผลาญพลังงานส่วนเกินได้มากขึ้น ช่วยให้การลดน้ำหนักได้ดีขึ้นด้วย
ที่สำคัญที่สุดในการรักษาโรคอ้วนในเด็กก็คือ ผู้ปกครองและสมาชิกในครอบครัวต้องให้กำลังใจและปฏิบัติตนให้เป็นตัวอย่างแก่เด็กด้วย
โดยประมาณ 14-15% เป็นเด็กอ้วนซึ่งสาเหตุหลักๆในเด็กพบว่า 95% เกิดจากได้รับพลังงานจากอาหารเกินกว่าที่ร่างกายไป ร่วมกับมีปัจจัยเสี่ยงบางอย่าง เช่น ประวัติอ้วนในครอบครัวพบว่าเด็กมี่มีพ่อหรือแม่อ้วนจะมีโอกาสเป็นเด็กอ้วนเพิ่มขึ้น 4-5 เท่าเทียบกับเด็กปกติแต่จะเพิ่มขึ้นเป็น 13 เท่า ถ้าทั้งพ่อและแม่อ้วน อย่างไรก็ตามยังมีโรคอ้วนในเด็กอีกส่วนหนึ่งที่เกิดจากความผิดปกติของต่อมไร้ท่อ เช่นภาวะพร่องไทรอยด์ฮอร์โมนหรือ Growth hormone, โรค Cushing’s syndrome, ความผิดปกติของการหลั่งอินสุลิน, ภาวะพร่องหรือดื้อต่อฮอร์โมนเลปติน ( Leptin ) หรือโรคทางพันธุกรรมบางอย่างที่มีภาวะอ้วนเป็นหนึ่งในอาการแสดงของโรค เช่น Prader — Willi Syndrome
เด็กกลุ่มที่เสียงต่อโรคอ้วนคือ เด็กที่แรกเกิดมีน้ำหนักตัวมากหรือน้อยกว่าปกติ, เด็กที่มีพ่อแม่อ้วน, เด็กที่มีเริ่มอ้วนตั้งแต่อายุน้อยๆ ก็ยิ่งมีโอกาสเป็นผู้ใหญ่อ้วนมากขึ้น นอกจากนี้โภชนาการเกินในวัยทารกเป็นอีกปัจจัยหนึ่งพบว่า ทารกที่กินนมผสมจะมีโอกาสเป็นเด็กอ้วนได้ง่ายกว่าเด็กที่กินแต่นมแม่ และเด็กที่กินนมแม่เป็นระยะเวลานานจะมีโอกาสเป็นเด็กอ้วนได้น้อยกว่าเด็กที่กินนมเพียงระยะเวลาสั้นๆ