กรุงเทพฯ--31 ม.ค.--กิมเอ็ง
กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ประกาศแผนงานพร้อมเดินหน้ารักษาแชมป์ “โบรกเกอร์อันดับ 1” ต่อเนื่องเป็นปีที่ห้า ชูสูตรสำเร็จ — คนเก่ง มุ่งมั่น จริงใจ ร่วมใจ เครื่องมือพร้อม เครือข่ายกว้างไกล — เตรียมขยายสาขาเพิ่มอีก 2 — 3 สาขา พร้อมเดินหน้าซื้อขายอนุพันธ์เต็มที่ปีนี้
นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “กิมเอ็งประสบความสำเร็จสามารถครองแชมป์โบรกเกอร์อันดับ 1 ได้อีกเป็นสมัยที่สี่ โดยมีส่วนแบ่งการตลาดของปี 2548 ที่ 10.16 % ปีนี้วางเป้าหมายรักษาแชมป์ห้าสมัย หวังส่วนแบ่งตลาดที่ประมาณ 11% ปีนี้จะเน้นสร้างเจ้าหน้าที่การตลาดคุณภาพ พัฒนาเทคโนโลยี และสร้างเครือข่ายขยายสาขาต่อเนื่อง โดยบริษัทฯ มุ่งเน้นการพัฒนาเจ้าหน้าที่ให้มีความรอบรู้อย่างมีคุณภาพ อีกทั้งยังได้พัฒนาระบบซื้อขายทางอินเทอร์เน็ตที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดั่งใจ พัฒนาเว็บไซต์ใหม่ที่มีความทันสมัยกว่าเดิม พร้อมเดินหน้าเต็มที่ทั้งระบบซื้อขายและระบบปฏิบัติการสำหรับการรองรับตลาดตราสารอนุพันธ์ อีกทั้งบริษัทฯ ยังมีเป้าหมายขยายสัดส่วนลูกค้าสถาบันเพิ่มขึ้นเป็น 25 % โดยปัจจุบันสัดส่วนลูกค้าของบริษัทฯ เป็นลูกค้ารายย่อยประมาณ 80 % และลูกค้าสถาบัน 20 % และยังมีการศึกษาธุรกรรมใหม่ๆ ต่อเนื่อง อาทิ ธุรกรรมการให้บริการยืมหุ้น (SBL) การให้บริการกองทุนส่วนบุคคล รวมทั้งการจัดตั้งบริษัทจัดการกองทุนรวม เป็นต้น
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้ปรับเพิ่มการวิเคราะห์หุ้นที่ครอบคลุมจำนวนบริษัทจดทะเบียนที่มากขึ้นเป็น 144 บริษัท รวมทั้งการพัฒนารูปแบบวิเคราะห์หุ้นผ่านเว็บไซต์บนอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ที่ชื่อว่า KELIVE TV ซึ่งเป็นอีกบริการหนึ่งที่โดดเด่น นักลงทุนสามารถชมบทวิจัยแบบถ่ายทอดสด ย้อนหลัง เทปการสัมมนาที่น่าสนใจ ข้อมูลบริษัทจดทะเบียน ฯลฯ โดยเป็นศูนย์กลางข้อมูลข่าวสาร ความรู้ในการลงทุนด้านหลักทรัพย์แก่นักลงทุนทั่วไป โดยเป็นบริการที่ไม่เก็บค่าใช้จ่ายและเปิดให้แก่บุคคลทั่วไป ซึ่งมีกระแสตอบรับที่ดีมากอย่างต่อเนื่อง โดยมีผู้เข้ามาใช้บริการเฉลี่ยวันละ 2,300 ราย ซึ่งบริษัทฯ ก็มุ่งมั่นที่จะพัฒนา KELIVE TV อย่างต่อเนื่อง ให้มีเนื้อหาที่หลากหลายมากขึ้นเพื่อให้เป็นประโยชน์แก่ลูกค้าและนักลงทุนทั่วไป
นางบุญพร บริบูรณ์ส่งศิลป์ กรรมการผู้จัดการ สายการตลาดหลักทรัพย์ กล่าวว่า “ปีที่ผ่านมานับเป็นปีที่ภาวะการซื้อขายหลักทรัพย์มีปัจจัยลบรุมเร้ามาก ทั้งอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ราคาน้ำมันปรับตัวสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และปัญหาทางการเมือง สภาวะการลงทุนไม่เอื้ออำนวยส่งผลให้ภาพรวมการซื้อขายหลักทรัพย์ผันผวนและส่งผลกระทบกับภาวะการลงทุน แต่บริษัทฯ ก็สามารถดำเนินงานตามแผนงานที่ได้ตั้งไว้ทั้งการเปิดสาขาใหม่ จำนวน 3 สาขาตามเป้าหมาย คือ สาขาสีลม (อาคารธนิยะ), สาขาอาร์ ซี เอ ถนนพระราม 9 และสาขาชิดลม (อาคารเมอร์คิวรี่) ส่งผลให้ปัจจุบันมีสาขาทั้งสิ้น 39 สาขา รวมสำนักงานใหญ่ ปีนี้บริษัทฯ วางเป้าหมายที่จะเพิ่มสาขาอีกประมาณ 2 - 3 สาขา และมีเป้าหมายที่จะขยายฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นอีก โดยปัจจุบันบริษัทฯ มีลูกค้าที่เปิดบัญชีอยู่ประมาณ 55,000 ราย คิดเป็นลูกค้าที่มีการซื้อขายประมาณ 42 % นอกจากนี้ การพัฒนาเจ้าหน้าที่การตลาดใหม่ คือหัวใจสำหรับงานบริการ ซึ่งบริษัทฯ กระทำอย่างต่อเนื่อง โดยปีที่ผ่านมา มีอัตราการขยายตัวของเจ้าหน้าที่การตลาดถึง 24 % โดยเจ้าหน้าที่การตลาดเพิ่มขึ้นจาก 496 คน ในสิ้นปี 2547 เป็น 615 คน ในสิ้นปี 2548
ในส่วนของการซื้อขายผ่านอินเทอร์เน็ตของบริษัทฯ มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ในปี 2548 มีการส่งคำสั่งซื้อขายผ่านระบบอินเทอร์เน็ตทั้งประเทศอยู่ในช่วง 6 - 7 % ของการซื้อขายรวมทั้งประเทศ บริษัทฯ มีส่วนแบ่งการตลาดด้านอินเทอร์เน็ตอยู่ที่ 19.40 % ซึ่งสูงเป็นอันดับ 1 ของประเทศเมื่อเปรียบเทียบกับการซื้อขายผ่านระบบอินเทอร์เน็ตทั้งตลาดฯ ในขณะที่ปี 2547 บริษัทฯ มีส่วนแบ่งการตลาดที่ 16.90 %
สำหรับปี 2549 บริษัทฯ ประมาณการว่าส่วนแบ่งการตลาดด้านอินเทอร์เน็ตของบริษัทฯ น่าจะเพิ่มเป็น 22 % ของการซื้อขายผ่านอินเทอร์เน็ตทั้งประเทศ เนื่องจากบริษัทได้ตระหนักเป็นอย่างยิ่งว่า การขยายตัวของเครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงได้กระจายไปทั่วประเทศ ทำให้การซื้อขายหลักทรัพย์ผ่านอินเทอร์เน็ตด้วยอุปกรณ์ต่างๆ ทั้งโทรศัพท์มือถือ Pocket PC PDA สามารถใช้งานได้อย่างง่ายดาย จึงเป็นที่นิยมของนักลงทุนมากขึ้น ประกอบกับบริษัทได้ปรับปรุงโปรแกรมต่างๆ ให้มีรูปแบบการใช้งานที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น เช่น โปรแกรม KE Trade ลูกค้าสามารถปรับปรุงหน้าตา สีสัน เลือกข้อมูลที่จะนำมาแสดงได้ตามที่ต้องการ เป็นต้น นอกจากนี้บริษัทยังได้ลงทุนขยายด้านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเพื่อให้สามารถรองรับการเชื่อมต่อของลูกค้าได้อย่างกว้างขวางยิ่งขึ้นด้วย
นายสิทธิไชย มหาคุณ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ กล่าวเพิ่มเติมว่า “ผลงานทางด้านวาณิชธนกิจในปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้เป็นที่ปรึกษาการเงินและแกนนำในการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหลักทรัพย์ รวมถึงนำบริษัทเข้าจดทะเบียนทั้งในตลาดหลักทรัพย์ฯ และตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (MAI) จำนวน 14 บริษัท ตลอดจนบริษัทฯ ยังได้เข้าร่วมจัดจำหน่ายหลักทรัพย์อีก 14 บริษัท คิดเป็นมูลค่าระดมทุนรวมกว่า 17,000 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทฯ มีรายได้จากธุรกิจวาณิชธนกิจ 182.38 ล้านบาท สำหรับในปีนี้บริษัทฯ มีแผนการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ประมาณ 18 บริษัท คิดเป็นมูลค่าระดมทุนไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้านบาท โดยคาดว่าในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ ปีนี้ บริษัทฯ จะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัท รถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ซึ่งจะเป็นบริษัทจดทะเบียนที่จะมีการระดมทุนที่ค่อนข้างสูง โดยคาดว่าจะมีมูลค่าการระดมทุนสูงกว่า 5,000 ล้านบาท โดยหุ้นของบริษัท รถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) นี้จะได้เข้ามาจุดประกายและสร้างความคึกคักสำหรับการระดมทุนของบริษัทจดทะเบียนของปีนี้ เนื่องจากเป็นหุ้นสาธารณูปโภคขนาดใหญ่พอสมควรที่สถาบันให้ความสนใจ โดยคาดว่าจะมีการนำหุ้นส่วนหนึ่งกระจายสู่ประชาชนทั่วไปอีกด้วย โดยจะกำหนดวันเสนอขายแก่ประชาชนทั่วไปอีกครั้งหนึ่ง สำหรับหุ้นในส่วนของบริษัทอื่นๆ ที่อยู่ระหว่างการเตรียมการ จะได้มีการเสนอขายในช่วงเวลาที่เหมาะสมต่อไป โดยบริษัทดังกล่าวฯ จะกระจายอยู่ในหลายอุตสาหกรรม รวมถึงธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคม ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจหลักทรัพย์ ธุรกิจการเงิน ธุรกิจปิโตรเคมี ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ธุรกิจเทคโนโลยี ธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ เป็นต้น”
ฝ่ายสื่อสารองค์กร บมจ. หลักทรัพย์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย)
โทร. 02-658-6300 ต่อ 7401 — 7403, 5180--จบ--